“เธอเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่จะตามไปหลังจากเสร็จงานแล้ว”
ซย่าชิงอียกยิ้ม “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าไปรอพี่ด้านในนะ ฉันฝากตั๋วไว้ที่พนักงานขายถ้าพี่มาถึงแล้วไปเอานะคะ”
“ได้ ถ้าไม่มีอะไรพี่วางสายก่อนนะ”
หลังจากวางสายเธอก็ยิ้มกับตั๋วในมืออย่างมีความสุข การที่พวกเขากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนเป็นสิ่งที่สบายใจที่สุดแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเธอก็สามารถบอกเขาได้ทุกเรื่องและไม่โดดเดี่ยวเมื่อมีเขาอยู่ข้างๆ
ไม่นานหลังจากนั้นป้ายไฟด้านหน้าของเธอก็ติดขึ้นบ่งบอกว่าโรงหนังกำลังจะเปิดให้เข้าชม เธอฝากตั๋วหนังที่เหลือไว้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วก่อนที่จะหยิบตั๋วของตัวเองเข้าไปในโรงหนัง
หนังที่เธอกำลังดูเป็นหนังสยองขวัญต่างประเทศ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็วและทำให้รู้สึกกลัวเล็กน้อยแม้จะเริ่มเรื่องไปได้ไม่เท่าไรก็ตาม เธอตั้งใจดูหนังด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังจนลืมไปชั่วขณะว่าโม่หันกำลังจะมา
สิบนาทีหลังจากหนังเริ่มฉาย โม่หันก้มหัวพลางเอ่ยขอโทษคนรอบข้างก่อนจะขยับผ่านหน้าผู้ชมบางส่วนเพื่อมาถึงที่นั่งของตน ในเวลาเดียวกันนั้นซย่าชิงอีที่ยังคงหมกมุ่นไปกับการดูหนังทั้งดวงตาที่เบิกโพลงและศีรษะที่อยู่ไม่ติดเบาะ
เขานั่งลงเสียงเบาและนั่งดูหนังตรงหน้าเงียบๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเมื่อเธอผ่อนคลายลงจากช่วงพักสั้นๆ ในหนังและรู้ตัวว่าโม่หันนั่งอยู่ข้างๆ เธอเรียบร้อยแล้วในท้ายที่สุด
“พี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอกระซิบถาม
“มาถึงสักพักแล้ว” สายตาของเขากำลังจ้องไปที่หนังตรงหน้า
“ฉันคิดว่าพี่จะต้องทำงานดึกกว่านี้เสียอีก”
“พี่มาหลังจากที่พี่เสร็จงานแล้ว”
เธอหันกลับไปดูหนังอีกครั้ง เมื่อเรื่องราวในหนังเริ่มเข้าสู่ช่วงที่น่ากลัวที่สุดแต่เขากลับยังนิ่งเฉย ทำเพียงมองอีกฝ่ายที่ขยับถอยหลังขณะที่สั่นกลัวไปทั้งตัว ท่าทางดูหวาดกลัวไม่น้อย
แสงสว่างจากหน้าจอที่สะท้อนในดวงตาของเธอขับเน้นแววตาเป็นประกายให้หัวใจของเขาเต้นแรง ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องพูดว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่แทนที่จะดูหนัง
เขารู้ตัวว่าถูกเธอดึงดูดเข้าหาอีกครั้งเสียแล้ว
ทันใดนั้นเองเธอก็สะดุ้งโหยงและจับมือของเขาที่วางไว้บนที่พักแขนเอาไว้
หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ พยายามจะดึงมือออกแต่เธอกลับไม่ยอมปล่อยทั้งยังจับแน่นขึ้นอีก เธอมองไปข้างหน้าด้วยความกลัวแทบตายขณะที่ยันตัวถอยหลังจนติดเบาะ ทว่าสายตาก็ยังจดจ้องภาพบนหน้าจออย่างไม่ละไปไหน ดูเหมือนเธอยังไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังจับมือเขาเอาไว้
เมื่อเขาดึงมือตัวเองออกมาไม่ได้จึงหันไปดูหนังต่อทั้งที่ฝ่ามือของเขายังวางทับบนมือของเธอจนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่าย
เขาดูหนังอย่างเงียบๆ จนจบเรื่องโดยไม่ขยับไหวติงใดๆ
เมื่อหนังจบลงซย่าชิงอียังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมตลอดเวลาที่ดูหนัง เธอเอาแต่จ้องรายชื่อทีมงานการผลิตภาพยนตร์ที่เลื่อนขึ้นมา แสงไฟในโรงสว่างขึ้นก่อนที่คนรอบข้างจะค่อยๆ ลุกออกไป เมื่อมีคนจะเดินผ่านหน้าพวกเขาออกไปตอนนั้นเองที่เธอหลุดออกมาจากภวังค์ในหนังและยกขาหลีกทางให้พวกเขาผ่านไป
“ไปกันเถอะค่ะ” เธอว่าพลางลุกขึ้นยืน มือของพวกเขายังไม่แยกออกจากกัน
เขาเหลือบมองเธอครู่หนึ่งก่อนลุกขึ้นตาม หันไปอีกทางซึ่งเขาเป็นคนเดินนำและเป็นฝ่ายจูงเธอตามมา
เมื่อออกมาจากโรงหนังเธอถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังจับมือของเขาไว้อยู่ กลุ่มคนมากมายที่กำลังเดินขวักไขว่อยู่บริเวณทางเข้าโรงหนังทำให้เธอโดนผลักไปทางโม่หันจนชนเขาเข้า เมื่อก้มมองลงถึงสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังจับมือกันอยู่
เขายังคงเดินไปข้างหน้านำเธอไปครึ่งก้าวในขณะที่เธอได้แต่เดินตามพลางจ้องมือของพวกเขาที่กุมกันไว้ เป็นเวลาสักพักที่เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอเป็นคนจับมือเขาไว้ตอนที่เธอตื่นเต้นระหว่างที่นั่งดูหนังอยู่
ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่ตอบสนองอะไรเลยล่ะ
แม้จะไม่ได้รู้สึกอะไรตอนที่ยังไม่รู้ตัวแต่เมื่อเห็นเขากุมมือเธอไว้ตอนนี้กลับทำให้เธอประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่อุณหภูมิในมือของเขาที่ส่งผ่านมาที่มือเธอยังรู้สึกร้อนไม่น้อย เธอค่อยๆ คลายมือลงและปล่อยมือของอีกฝ่ายออกเงียบๆ
โม่หันไม่ได้มองกลับมา เขายังทำตัวเหมือนเดิมขณะที่เดินไปข้างหน้านำเธอไปแม้ว่าปลายนิ้วของเขาจะสั่นไหวน้อยๆ เมื่อมือกลับมาอยู่ข้างตัวเอง
“ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะค่ะ” เธออยากจะทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้
“เธออยากกินอะไร” เขาถาม
“อะไรก็ได้ค่ะ ฉันหิวไม่มาก ร้านอาหารข้างหน้านี้ก็ได้ค่ะ” เธอชี้สะเปะสะปะไปทางด้านหน้า
“พี่ต้องกลับไปทำงานอีกหรือเปล่าคะ” เธอถามซ้ำ
“พี่จัดการงานเสร็จหมดแล้ว” เขาตอบกลับ
เธอชี้ไปที่ร้านอาหารจานด่วนแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้วภายในร้านจึงมีคนไม่มากนัก ทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านนักเมื่อเจ้าของร้านบอกว่าร้านเปิดถึงเที่ยงคืน
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะขณะที่รออาหารที่สั่งไว้ เธอลุกขึ้นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อนเดินออกไป
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำและกำลังเดินมาถึงกลางร้านอาหาร เธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งตรงข้ามโม่หันที่เธอนั่งก่อนหน้านี้
เธอเอียงศีรษะมองอย่างครุ่นคิด ได้ยินเพียงเสียงเท่านั้นแต่เมื่อขยับเข้ามาใกล้โต๊ะมากขึ้นก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือเฉินโหรว
คนรักเก่าของโม่หัน
“อุ๊ย นี่มันอะไรกัน โม่หันเนี่ยนะจะยอมออกมากินอาหารกับใครบางคนตอนดึกป่านนี้” เธอส่งยิ้มให้ทันทีเมื่อหญิงสาวอีกคนเห็นเธอเดินมาจากข้างหลัง
เมื่อมาเห็นหน้าเธอชัดๆ ดูเหมือนเฉินโหรวจะสวยขึ้นด้วยเครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนใบหน้าและชุดกระโปรงสั้นสีเขียวอ่อนที่ปิดเพียงสะโพกเผยให้เห็นทรวดทรงของเธอ เธออดที่จะยอมรับว่าโม่หันมีรสนิยมในการเลือกผู้หญิงที่ดีทีเดียว ถึงได้คว้าผู้หญิงสวยๆ แบบนี้มาเป็นแฟนได้
“เธอคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะนั่งตรงนี้นะ” เฉินโหรวยืนขึ้นข้างที่นั่งที่เธอนั่งก่อนหน้านี้
“ไม่หรอกค่ะ” ซย่าชิงอีส่ายหน้าและขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวข้างๆ
โม่หันที่นั่งตรงข้ามกับเธอมีท่าทีเย็นชาและไม่ปริปากออกมาสักคำ
“ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อหลายวันก่อน บังเอิญผ่านมาทางนี้หลังจากเลิกงานและเห็นโม่หันนั่งอยู่คนเดียวเลยมาทักทายเขาเสียหน่อย” เฉินโหรวมองที่โม่หันขณะที่พยายามหยอกเย้าเขา “แล้วคุณล่ะ ไหนๆ เราก็เจอกันแล้วคุณไม่คิดจะเลี้ยงอาหารแฟนเก่าหน่อยเหรอ คุณอดีตแฟนหนุ่ม”
“ไว้วันอื่นแล้วกัน” เขาตอบกลับ
“ทำไมเราไม่ทำวันนี้ไปเลยล่ะ ฉันหิวพอดีและเราจะได้ใช้โอกาสนี้คุยกันด้วย” เธอว่าขึ้น
ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาเลิกกันด้วยเหตุผลใดกันแน่จึงทำให้เธอยิ่งสับสนเมื่อเห็นพวกเขาพบกันอีกครั้ง รู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยราวกับไม่ควรอยู่กับพวกเขาในตอนนี้ด้วยความประหม่าขณะก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ
“พวกเธอสองคนมาทำอะไรกันป่านนี้ล่ะ ทำไมดึกขนาดนี้แล้วถึงยังอยู่ข้างนอกกัน”
โม่หันไม่ได้พูดอะไรพลางก้มหน้ากินอาหารเหมือนกับเธอ ความเงียบโรยตัวไปทั่วโต๊ะอาหารก่อนเธอจะตอบอีกฝ่าย “เอ่อ ฉันตั้งใจจะไปดูหนังกับเพื่อนแต่ว่าพวกเขาติดธุระเสียก่อน เลยขอให้พี่ออกมาดูเป็นเพื่อนเพราะเสียดายตั๋วน่ะค่ะ เราเพิ่งกลับมาจากดูหนัง”
เฉินโหรวยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเหลือบมองไปที่โม่หันและเอ่ยขึ้น “เขาน่ะเหรอ ดูหนังเนี่ยนะ”
“ค่ะ… จริงๆ แล้วพี่เขาไม่ได้ตั้งใจจะมา… แต่ฉันบังคับเขามาเอง” น้ำเสียงของเธออ่อนลงทันที
อีกฝ่ายจ้องมองเขาที่นั่งตรงข้าม “ฉันคิดไม่ถึงเลย โม่หัน ฉันไม่ยักรู้ว่าวันหนึ่งคนอย่างคุณจะไปดูหนังเป็นเพื่อนใครสักคนเลย”
เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองพูดอะไรผิดไปจึงรีบกล่าวแก้ตัว เมื่อได้ยินเฉินโหรวว่าเสียงเย็นมาจากด้านข้าง “ดูท่าแล้วพวกเธอสองคนจะคบกันแล้วสินะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
ซย่าชิงอีเบิกตากว้าง “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ไม่ใช่ๆ … คุณเข้าใจผิดแล้ว เราแค่ไปดูหนังกันเฉยๆ”
คนฟังเมินคำพูดของเธอไปขณะที่เอาแต่จ้องมองโม่หัน “พวกคุณคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ไปกันถึงไหนแล้ว ขึ้นเตียงกันหรือยัง”
เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอแทบจะระเบิดราวกับภูเขาไฟที่เดือดปุดๆ
“คุณเลิกวุ่นวายสักทีเถอะ!”
“ฉันวุ่นวายเหรอ! ตอนนี้ฉันเป็นตัววุ่นวายแล้วเหรอ! ฉันบอกคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตอนที่เราคบกันว่าเธอต้องเป็นตัวปัญหาแน่ๆ แต่คุณกลับไม่เชื่อฉัน แล้วดูตอนนี้สิ เราเลิกกันยังไม่ทันสามเดือนดี คุณก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว! คุณยังมีหน้ามาบอกว่าฉันสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเหรอโม่หัน” เฉินโหรวลุกขึ้นยืนทันที
ซย่าชิงอีว่าขึ้น “ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ เฉินโหรว ฉันไม่ได้คบกับพี่โม่หันและก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดด้วย”
โม่หันเอ่ย “ผมบอกคุณไปชัดเจนแล้วว่าเราเลิกกันเพราะอะไรแล้วนะ คิดว่าคุณจะเข้าใจแล้วเสียอีก ผมเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าคุณไม่เคยฟังคำพูดของผมเลย”
อารมณ์โกรธของเฉินโหรวพลุ่งพล่าน “เหตุผลหรือ! ฉันอาจจะเชื่อเหตุผลโง่ๆ ทั้งหมดของคุณก่อนที่จะมาเจอพวกคุณสองคน แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าคุณเลิกกับฉันเพราะผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม!” พูดจบเธอก็จ้องไปที่ซย่าชิงอีด้วยสายตาเกรี้ยวกราดราวกับจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ
ซย่าชิงอีมักจะไม่ถือสากับตรรกะความคิดของผู้หญิงที่อยู่ในอาการสติแตกจึงทำเพียงนิ่งเงียบสังเกตท่าทีของเฉินโหรว คนในร้านอาหารที่เหลือต่างหันมามองพวกเขาหลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
เขาพูดขึ้น “เราเลิกกันแล้วเฉินโหรว ไม่ว่าผมจะมีแฟนหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ทำไมคุณต้องโกรธขนาดนี้กันด้วย”
คู่สนทนายังคงจ้องมองเขาในขณะที่น้ำตาแทบจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
“ผมว่าวันนี้เราคงไม่ได้กินอาหารกันต่อแล้ว คงจะดีกว่าถ้าต่อไปเราจะไม่ต้องมาพบกันอีก” โม่หันลุกขึ้นพลางหยิบข้าวของของตัวเองก่อนจะลากซย่าชิงอีและเดินออกไป
คนถูกดึงตัวออกมาลังเลใจเล็กน้อยเมื่อโม่หันลากข้อมือให้เธอเดินจากมา เฉินโหรวยังคงนั่งอยู่ในร้านเมื่อเธอเห็นการกระทำของพวกเขา รู้สึกเดือดปุดๆ ในขณะที่จู่ๆ ก็โผเข้ามาผลักเธอกระเด็น เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงไปกองกับพื้น
“นังหน้าด้าน!” เฉินโหรวตะโกนลั่นใส่หน้าเธอ
โม่หันตะคอกใส่อีกฝ่าย “เฉินโหรว! พอเสียที!”