ซย่าชิงอีรู้สึกใจหายเล็กน้อย “พี่สองคนคงไม่ได้กลับไปคบกันจริงๆ ใช่ไหม”
โม่หันไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงจ้องมองเธอ
เธอหันหน้าไปอีกทางในขณะที่เริ่มพูดออกมาตามตรงทีละนิด “ไม่รู้ล่ะ ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับเธอแน่ๆ ถ้าจะไปเที่ยวกันก็ไม่ต้องพาฉันไปด้วยนะคะ เดี๋ยวเธอก็ได้หาเรื่องฉันอีกเข้าจนได้”
“ถ้างั้นทำไมเธอถึงต้องโกรธขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“ฉันไม่ได้โกรธค่ะ!” เธอเอ่ยย้ำ
“ถ้าเธอไม่โกรธแล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร”
“ฉันบอกพี่ว่าฉันไม่ได้โกรธ!” เธอชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “ฉันจะไปนอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนตอนเช้า”
“เราไม่ได้กลับไปคบกัน พี่บอกเธอว่าเรื่องของเรามันจบไปแล้ว” เขาว่าขึ้น “เธอมาเพื่อบอกลาแค่นั้น”
เธอกล่าว “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่คะ ฉันจะไปเข้านอนแล้ว”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพบกัน เธอมาเพื่อบอกลาพี่เฉยๆ”
“มันเป็นเรื่องระหว่างพี่สองคน พี่ไม่ต้องมาบอกฉันก็ได้ค่ะ”
“แต่พี่อยากบอกเธอ”
โม่หันจดจ้องใบหน้าของเธอพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มลึกและน่าดึงดูด อีกฝ่ายสบตาเข้ากับเขาราวกับถูกสะกดเอาไว้ด้วยสายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้ง
ดูเหมือนเธอจะเคยเห็นสายตาแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน
“อย่าคิดมากแล้วก็ไปนอนพักผ่อนได้แล้ว” เขาเอ่ย
เธอไม่กล้าสบตากับเขาต่อและปิดประตูห้องนอน เอนตัวพิงกับบานประตูพลางเอื้อมมือไปปิดไฟ จ้องมองเข้าไปในความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมเสียงหัวใจของตัวเองที่ดังก้อง
ยกมือขึ้นแตะตำแหน่งของหัวใจอยู่เนิ่นนานก่อนกลับมาที่เตียงของตัวเอง
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาโม่หันต้องเตรียมเอกสารสัญญาในการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศสำหรับบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี หากการเซ็นสัญญาประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีเขาจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงินเดือนของพนักงานทั้งหมดในบริษัทไปเป็นปี
เขาเริ่มงานยุ่งมากขึ้นจนไม่มีแม้แต่เวลาทำอาหารให้ซย่าชิงอี ได้แต่พิมพ์งานในคอมพิวเตอร์ อ่านเอกสารกองโต และประชุมทางไกลกับตัวแทนบริษัทในต่างประเทศทันทีที่เขามาถึงบ้าน
เธอเองก็รู้ถึงสถานการณ์ดีและไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา เธอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและดูโทรทัศน์เหมือนอย่างเคย ระหว่างนั้นเองที่นึกได้ว่าเธอมีการบ้านที่ต้องทำส่งในคาบเรียนพรุ่งนี้จึงเดินเข้าไปหาในห้องของตัวเอง
ในที่สุดเธอก็เจอมันวางอยู่บนตู้เสื้อผ้า ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็คิดไม่ออกว่ามันไปอยู่บนนั้นได้อย่างไร เธอส่ายศีรษะไปมาเงียบๆ เขย่งตัวขึ้นและเอื้อมมือไปหยิบเท่าที่จะทำได้ แม้จะใช้แรงไปกว่าครึ่งแต่ก็ยังเอื้อมไปหยิบไม่ถึง เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะหยิบเก้าอี้ข้างตัวมาตั้งและเหยียบขึ้นไปหยิบการบ้านของเธอ
ยังไม่ทันจะได้โอกาสฉลองที่ได้การบ้านมาอยู่ในมือเสียที เธอที่ยืนอยู่ที่ขอบเก้าอี้ก็พลัดตกลงบนพื้นตามด้วยเก้าอี้ที่หล่นลงมาทับ
“อ๊ะ!” เธอนอนลงไปกองกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนเริ่มเหงื่อตก
โม่หันที่ได้ยินเสียงของเธอรีบวิ่งออกมาจากห้องอ่านหนังสือ “มีอะไร”
เธอชี้ที่ขาของตัวเอง “ขาฉัน! ขาฉัน!”
ในจังหวะที่เขากำลังแตะเข้าที่ขาของเธอ เจ้าตัวก็โพล่งขึ้นมา “อย่าเพิ่งจับค่ะ! รอแป๊บหนึ่ง มันเจ็บมากเลย!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันหล่นลงมาจากเก้าอี้และเก้าอี้ก็หล่นทับขาฉันอีกทีน่ะค่ะ”
“แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงไปยืนบนเก้าอี้!”
“ทำไมพี่ต้องโกรธด้วยล่ะคะ! การบ้านของฉันอยู่บนนั้น ฉันเอื้อมมือไปหยิบไม่ถึงเลยต้องยืนบนเก้าอี้ค่ะ”
“ถ้าเธอหยิบไม่ถึงทำไมถึงไม่เรียกพี่!” เขาพูดอะไรไม่ออก
“พี่ทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ฉันหยิบลงมาเองได้ค่ะ” เธอตอบกลับ
เขาหยุดพูดและมองไปที่ซย่าชิงอีที่กำลังนั่งกัดฟันอย่างทนกับความเจ็บปวดอยู่บนพื้น ก่อนอ่อนเสียงลง “เธอลองขยับขาดูหรือยัง”
อีกฝ่ายทนเจ็บขยับข้อเท้าไปมาเล็กน้อยและพบว่ายังขยับได้อยู่ ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเธอคงไม่ได้บาดเจ็บที่กระดูก “ฉันคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรนะคะ”
“ข้อเท้าบวมขนาดนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง”
“มันไม่ได้เจ็บเหมือนก่อนหน้านี้แล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวก็น่าจะอาการดีขึ้น”
เขาเข้าไปพยุงตัวเธอขึ้นมา “เธอเดินได้ไหม”
เธอลุกขึ้นยืนและจับที่ข้อศอกของเขาขณะที่ค่อยๆ ขยับเดินไปข้างหน้า แม้ว่าข้อเท้าจะยังเจ็บอยู่เล็กน้อยแต่อาการก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
“นั่งลงบนเตียง มาให้พี่ดูใกล้ๆ”
เธอทำตามคำของเขาในขณะที่ปล่อยให้เขาประคองข้อเท้าขึ้นมาดูใกล้ๆ กดลงบนบริเวณที่บวมและถาม “เจ็บหรือเปล่า”
ทันใดนั้นเธอก็ซุกลงบนเตียงดวยความเจ็บทันที “เจ็บค่ะ! เจ็บ! บวมขนาดนี้จะไม่เจ็บได้ยังไงล่ะคะ”
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ” เขาว่าขึ้น
เธอห้ามเขาไว้ “เราไม่ต้องไปกันหรอกค่ะ มันแค่บวมนิดหน่อยและกระดูกของฉันก็ไม่ได้เจ็บอะไรด้วย ดูสิ ตอนนี้ฉันขยับขาได้แล้ว” เธอยืดขาไปตรงหน้าเขาให้ดูว่าเธอสามารถบิดและขยับข้อเท้าไปมาได้แล้ว
“บวมขนาดนี้เธอต้องไปตรวจดูเสียหน่อย” เขาพยายามโน้มน้าวเธอ
“อย่างนั้นก็ไปพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วและฉันก็ไม่อยากจะขยับตัวไปไหนด้วย ไม่มียาอยู่ที่บ้านบ้างเหรอคะ ฉันจะลองทาดูก่อน ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นฉันจะไปตรวจที่โรงพยาบาล”
เขาเอาแต่เงียบอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอสักนิด
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ ไปเอายามาให้ฉันเถอะน่า มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่พี่คิดหรอกค่ะ” เธอดึงแขนเสื้อของเขา
เขายอมลงให้เธอ “ก็ได้ ทำตามที่เธอพูดไว้ด้วยแล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้อาการไม่ดีเธอต้องไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาล”
โม่หันหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาและคุกเข่าลงที่ขาของเธอ ทายาให้เธอด้วยท่าทางจริงจังและใช้ความอุ่นร้อนจากมือของตัวเองนวดบริเวณข้อเท้าเพื่อให้แน่ใจว่าตัวยาได้ซึมลงไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะยังรู้สึกเจ็บบ้างทว่าภายในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยเมื่อเห็นเรือนผมของอีกฝ่ายจากบนเตียง เธออดยิ้มออกมาไม่ได้
เธอเอ่ยเย้าอีกฝ่าย “นี่ มีผมขาวบนหัวพี่ด้วยล่ะ”
เขาทำเพียงก้มหน้านวดข้อเท้าให้เธอต่อไป
“ไม่เร็วเกินไปที่จะมีผมขาวตอนอายุสามปีหรือคะ” เธอหัวเราะร่า “พอมาคิดดูแล้วฉันก็อายุแค่ยี่สิบเอ็ดเอง พวกเราอายุห่างกันเยอะเหมือนกันนะคะ”
“เธอจะพูดว่าพี่แก่เหรอ”
เธอหลุดขำออกมาอีกครั้ง “ใครพูดว่าพี่แก่กันล่ะ อายุสามสิบยังไม่แก่เสียหน่อย ใช่ไหมล่ะคะ มันเป็นช่วงต้นของชีวิตพี่ด้วยซ้ำ ต่อให้พี่แก่ พี่ก็คงเป็นคนแก่ที่แข็งแรงที่สุด!”
ทันใดนั้นเขาก็เพิ่มแรงมือที่นวดข้อเท้าเธอจนเธอเจ็บและเตะเขาออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “ทำเบาๆ สิคะ” เธอรู้สึกมีความสุขไม่น้อยและคิดแผลงๆ โดยการทำเหมือนจะดึงถอนผมขาวของอีกฝ่ายออก “อยู่นิ่งๆ ค่ะ ให้ฉันดึงผมออกมาให้พี่ดูก่อน”
เขากดลงขาเธอให้อยู่นิ่งๆ ในขณะที่ค่อยๆ นวดยาลงบนข้อเท้าของเธอ “แค่พี่มีผมขาวก็ถือว่าเป็นคนแก่แล้วเหรอ คำพูดของเธอนี่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดเดียว”
เธอว่าอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้วเมื่อไหร่พี่จะเลิกนวดข้อเท้าของฉันแล้วเงยหน้ามาให้ฉันมองสักทีล่ะ พี่อาจจะมีตีนกาอยู่ก็ได้ แค่พี่ไม่ทันสังเกตเท่านั้นเอง”
เขาวางขาของเธอลงและแหงนหน้าขึ้นสบตาเธอ “ถ้างั้นก็มองเสียสิ”
“ได้เลยค่ะ อย่างนั้นฉันจะมองพี่ใกล้ๆ แล้วนะ”
เธอขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขาและสบตามองเข้าไปในแววตาลึกซึ้งของเขา ฝืนแรงดึงดูดที่พาให้สัมผัสเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ในขณะที่ค่อยๆ ไล้ไปตามดวงตาของเขาพร้อมน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อของเธอที่ดังขึ้น “มีรอยตีนกานิดหนึ่งจริงๆ ด้วยค่ะ”
เขาทำเพียงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ ไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวหรือไม่ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาน้อยลงไปทุกที ใบหน้าแนบชิดกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาของเธอ เจ้าตัวยังคงส่งยิ้มที่เผยให้เห็นฟันขาวมาให้
และจากนั้นเขาก็ขยับเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ
อย่างที่คาดไว้ ซย่าชิงอีหยุดหัวเราะพร้อมกับสติที่ค่อยๆ จางหายไปขณะที่จ้องมองมาที่เขานิ่ง ท่าทางเหม่อลอยของเธอทำให้เขาอยากจะจูบเธออีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจหวัง เขากลัวว่าเธอจะโกรธ
เธอได้แต่มองมาที่เขาและถามขึ้น “พี่ไม่ต้องไปทำงานต่อเหรอคะ”
คนฟังไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเธออย่างไรในขณะที่เธอดันตัวเขาออกไปให้มีระยะห่างระหว่างกัน “พี่กลับไปทำงานได้แล้วล่ะค่ะ สัญญานี้สำคัญมากไม่ใช่เหรอคะ ฉันไม่ควรรบกวนเวลาการทำงานของพี่”
เขาไม่รู้ว่าเธอโกรธหรือไม่แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังพูดออกมา “พี่ขอโทษ… อยู่ๆ พี่ก็อดไม่ได้ที่จะ…”
“พี่กลับไปทำงานให้เสร็จเถอะค่ะจะได้ไปนอนพักผ่อน” ท่าทางของเธอยังคงเหมือนปกติที่เคยเป็น เธอทำเพียงยกขาของตัวเองไว้บนเตียงก่อนที่จะขยับผ้าห่มขึ้นมาและซุกตัวลงไปข้างใน “ฉันจะเข้านอนแล้วค่ะ”
โม่หันมองเธอพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาหยิบยาที่อยู่บนพื้นก่อนที่จะเดินออกจากห้องของเธอและปิดประตูเบาๆ
เขาเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเล็กน้อย รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่วู่วามไปหน่อยและต่อให้เธอไม่ตบหน้าเขาเหมือนอย่างที่คิดไว้แต่ก็คงไม่เต็มใจให้เขาทำอย่างนั้นเช่นกัน
ดูจากท่าทางของเธอตอนนี้แล้ว เธอจะโกรธหรือเปล่านะ ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น
เขารู้สึกราวกับกำลังหาคำตอบที่ยากกว่าทุกคดีความที่เคยทำมา
วันถัดมาบรรยากาศในบ้านยังคงเหมือนเดิม ซย่าชิงอีนั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะและคุยกับโม่หันไปพลางราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังหัวเราะออกมาไม่หยุดระหว่างที่นั่งพักที่โต๊ะตอนที่เธอพูดบางอย่างที่น่าขบขันออกมา
“ขาของเธอดีขึ้นหรือยัง” เขาไม่ลืมที่จะถามถึงอาการบาดเจ็บของเธอ
คนถูกถามยืดขาออกมาให้เขาดูจากข้างโต๊ะ “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ดูสิ มันไม่บวมแล้วด้วย” เธอบิดข้อเท้าให้เขาดู “ฉันคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ น่าแปลกใจเหมือนกันนะคะ เมื่อคืนตอนที่ฉันเพิ่งล้มยังเจ็บมากอยู่เลยแต่พอมาเช้านี้กลับไม่เจ็บแล้ว”
“อย่าขยับมากนักสิ เดี๋ยวก็กล้ามเนื้อยึดอีกหรอก”
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ฉันจะระวังให้ดี ทายาต่ออีกไม่กี่คืนเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะค่ะ” เธอเอ่ยถาม “แล้วสัญญาที่บริษัทพี่กำลังเจรจาอยู่เป็นอย่างไรบ้างคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหรอก เราใกล้จะทำเสร็จแล้วล่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราน่าจะลงนามเรียบร้อยได้ภายในอาทิตย์หน้า”
“ค่ะ พี่จะเลี้ยงฉลองหลังจากการเซ็นสัญญาผ่านไปได้ด้วยดีไหมคะ”
“เราคงจะให้รางวัลกับพวกเขาเสียหน่อย แต่พี่ไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงเท่าไหร่ คงให้หลิวจื้อหย่วนเป็นคนจัดการทุกอย่างเหมือนเคย พี่แค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเท่านั้น”
“โห พี่นี่เป็นเจ้านายที่ดีจริงๆ เลยค่ะ” เธอเอ่ย “ฉันก็อยากไปงานเลี้ยงด้วยเหมือนกันค่ะ ไปกินอาหารอร่อยๆ ”
เธอกล่าวต่อ “อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงานของพี่มาสักพักแล้ว แอบคิดถึงพวกเขาเหมือนกัน พี่ให้ฉันไปด้วยได้ไหม อย่างไรพวกเขาก็รู้จักฉันอยู่แล้วนี่คะ”
“ก็ได้ ต่อไปเธอแค่บอกพี่ถ้าเธออยากไปงานเลี้ยงก็พอ” โม่หันรู้สึกสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมเธอถึงจำงานเลี้ยงที่บริษัทของเขาจัดได้ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดหากเธอต้องการจะเข้าร่วม