ซย่าชิงอีครุ่นคิดครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เมาแม้แต่นิด ใบหน้าเธอคงจะขึ้นสีเพราะความเย็นในห้องอาหารมากกว่า มือของโม่หันเย็นเฉียบและทำให้เธอรู้สึกตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็แตะตัวเธอ
“ฉันไม่ได้…” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาอย่างไม่น่าเชื่อในยามที่เธอเอื้อนเอ่ย
เขายิ่งมีลางสังหรณ์ว่าคนตรงหน้าจะเมามากขึ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเธอ “เธอดื่มเองหรือมีใครขอให้เธอดื่มกัน… พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด ทำไมถึงไม่จำบ้างเลย!” โม่หันถอนหายใจพลางจ้องมองเธอที่ยังอยู่ในอาการมึนเมา “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพอสร่างเมาเธอก็จะลืมทุกอย่างที่พี่พูดแล้วอยู่ดี”
เขาว่าขึ้น “จากนี้ไปเธอต้องอยู่ข้างพี่เท่านั้น ห้ามไปสร้างเรื่องวุ่นวายที่ไหนอีก”
เธอลุกขึ้นยืนขณะที่ยังพิงตัวไว้กับกำแพง “ฉันไปสร้างเรื่องวุ่นวายที่ไหนกันคะ”
สายตาเสกลับมามองเธออีกครั้ง และรู้สึกว่าในวันนี้เธอทำตัวแปลกไปเมื่อเทียบกับยามที่เธอเมาปกติ “ช่างมันเถอะน่า เดี๋ยวงานเลี้ยงก็จะเลิกแล้ว และพวกเขาก็น่าจะกลับกันในไม่ช้านี้ พี่คงต้องอยู่ดูแลเธอคนเดียว”
แต่ทว่าซย่าชิงอีกลับเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นพร้อมกับสายตาที่สบเข้าหากัน ก่อนค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ “เรื่องวุ่นวาย… ที่พี่หมายถึง…”
เธอโน้มต้นคอของเขาลงมาพลางยืดตัวขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย “คือเรื่องนี้หรือเปล่าคะ”
สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเหมือนกับคิดไว้แล้วว่าเธอต้องทำเช่นนี้ เขาประคองเอวไว้และมองสบตาของอีกฝ่าย ก่อนที่จู่ๆ จะพบว่าสายตาของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่ได้เมาหลังจากที่ดื่มไปในคืนนี้ รู้สึกเหมือนกับเป็นจูบที่คนรักจะมอบให้แก่กันจริงๆ และเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำไปกับมัน
เหตุผลที่ทำให้ตัวเขากระโจนเข้าหามันด้วยความเต็มใจ
โม่หันเอ่ยแก้ให้เธอ “แบบนี้ต่างหากล่ะ”
มือของเขาเลื่อนไปกุมที่ท้ายทอยของเธอแน่นให้อีกฝ่ายพิงทั้งร่างแนบชิดกับตัวเอง เอียงองศาหน้าเล็กน้อยและประทับริมฝีปากลงบนอวัยวะเดียวกันของเธอ เธอไม่ได้ต่อต้านเขา ทั้งยังทิ้งตัวมาบนร่างของเขาราวกับไม่มีกระดูก เปิดปากปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธอในโพรงปากของตัวเอง เสียงหอบหายใจแผ่วเบาของเขาดังแว่วเข้าในหูให้เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยนอย่างที่พึงจะเป็นอย่างคาดไม่ถึง
หลังจากถูกอีกฝ่ายจูบรุกรานเข้ามาครู่หนึ่ง เธอก็รู้สึกร้อนเหงื่อไปทั่วร่าง อาการมึนหัวในตอนแรกที่มีมาตั้งแต่ในห้องยิ่งรุนแรงขึ้นจนรู้สึกขาดอากาศหายใจ ตอนนั้นเองที่เธอทุบเขาไม่กี่ครั้งเพื่อให้เขาหยุด
เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาพร่ามัว คราบน้ำลายยังคงเคลือบอยู่บนริมฝีปากของเขาที่สบตาเธอกลับมาเช่นกัน ทั้งคู่เอาแต่เงียบใส่กัน
จนกระทั่งเธอสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนที่จะสวมกอดเขา เอ่ยออกมาเสียงเบาในอ้อมแขนของอีกคน “มาลองกันเถอะค่ะ พี่โม่หัน”
คนฟังนิ่งค้าง ทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด
“ตอนที่จูบกันก่อนหน้านี้พี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าในปากของฉันไม่มีแอลกอฮอล์เลยสักนิด” เธอว่าเสียงเรียบในอ้อมกอดของคนตรงหน้า
โม่หันไม่รู้จริงๆ ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไร
“ฉันกำลังถามพี่ว่า…” เธอพูดขณะที่ปล่อยมือของเขาและกลับไปยืนตรงหน้าอีกฝ่าย
“ที่บอกว่าลอง… เธอหมายถึงอะไร”
เธอตอบ “เรามา… ลองคบกันดูไหมคะ… ฉันรู้ตัวว่าคิดกับพี่เหมือนพี่เป็นพี่ชายไม่ได้อีกแล้ว… ถ้าอย่างนั้นเรามาลองกันเถอะนะคะ ถ้าวันไหนพี่หมดรักฉันหรือฉันหมดรักพี่ขึ้นมา… เราก็ค่อยเลิกกันก็ได้… ตกลงไหมคะ”
“เธอคิดดีแล้วเหรอ” เขากล่าว
เธอพยักหน้ารับ “ค่ะ… ถ้าวันหนึ่งเราเลิกกันขึ้นมา… ฉันจะไม่ไปรบกวนชีวิตพี่และพี่ก็ไม่ควรเช่นกัน… แค่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตกลงไหมคะ”
เขารู้สึกว่าเธอดูจริงจังกว่าที่เคยเป็นมา
ทั้งสองยังคงเงียบใส่กันโดยที่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากระหว่างที่ยืนอยู่บริเวณทางเดิน หลังจากนั้นไม่นานคนก็เริ่มออกมาจากห้อง พวกเขาเห็นโม่หันและน้องสาวของเขายืนอยู่ไกลๆ ที่สุดทางเดินจึงก้าวเข้าไปหา “นี่… ทั้งสองคนมายืนทำอะไรที่นี่ล่ะครับ”
“กินกันเสร็จแล้วเหรอ” โม่หันถาม
“เสร็จสักพักแล้วล่ะครับ เรานั่งคุยกันต่อในห้องน่ะครับ ออกมาเพราะเห็นคุณสองคนยังไม่กลับเข้าไปสักที” หลิวจื้อหย่วนพูดและเอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีของซย่าชิงอี “ซย่าซย่า ทำไมหน้าเธอแดงจังเลยล่ะ”
เธอตอบกลับ “ในห้องมันคนเยอะน่ะ ฉันก็เลยร้อนนิดหน่อย”
พวกเขาเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมกับพนักงานอีกหลายคนที่เพิ่งออกมาจากห้องอาหาร ระหว่างทางซย่าชิงอีพูดน้อยอย่างน่าประหลาดใจ แม้แต่ตอนที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้วและอยู่ตามลำพังกันสองคน เธอก็ยังนิ่งเงียบในขณะที่โม่หันกำลังขับรถกลับบ้าน เธอพิงศีรษะไว้กับฝ่ามือของตัวเองและเริ่มมองไปด้านนอกหน้าต่างรถเงียบๆ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงห้ามทุ่มพร้อมสายลมที่พัดมาอ่อนๆ ในยามค่ำคืน อากาศชื้นโชยมาท่ามกลางแสงสว่างบนท้องถนนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา เขาขับรถไปช้าๆ อย่างดูไม่รีบร้อน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังค่อยๆ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ระหว่างทางด้านนอก
“เธอไม่ได้เสียใจที่พูดอย่างนั้นออกมาใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม
เธอหันไปมองอีกฝ่ายและหัวเราะ “ไม่ค่ะ แค่รู้สึกเหลือเชื่อเฉยๆ น่ะค่ะ”
“ตอนนี้เธอเป็นแฟนพี่แล้วนะ กลับตัวไม่ได้แล้วล่ะ” เขาว่าขึ้น
“ฉันรู้ค่ะ” เธอถามเขา “แต่ว่าฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อน ฉันไม่รู้ว่าต่อไปเราจะต้องทำตัวกันยังไงเลยค่ะ”
ครั้งนี้เป็นโม่หันที่หลุดเสียงหัวเราะออกมา “เราก็ทำตัวเหมือนอย่างที่เธออยากทำนั่นแหละ ตราบใดที่เธอไม่หนีพี่ไปไหนน่ะนะ”
เธอกล่าว “ถ้าฉันทำได้ไม่ดีอย่าโกรธฉันนะคะ ฉันจะค่อยๆ ปรับตัว”
อีกฝ่ายขยับเข้ามาจับมือเธอไว้พร้อมประสานนิ้วของพวกเขาเข้าด้วยกัน “จริงๆ แล้วเธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นหรอกนะ แค่มีเธออยู่ด้วยกันพี่ก็ดีใจแล้ว”
คนฟังมองมือของเขา “ถ้าฉันเกิด… จำเรื่องในอดีตได้ขึ้นมา… แล้วมีคนมาบอกฉันว่าเขาเป็นแฟนหรือสามีของฉันอีก พี่จะทำอย่างไรเหรอคะ”
เขาชะงักไปก่อนที่จะกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น และส่งยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเราค่อยมาดูกันว่าเธอชอบพี่หรือชอบคนคนนั้นมากกว่า… การตัดสินใจมันขึ้นอยู่กับเธอนะ”
รถยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า “อันที่จริงแล้ว… พี่ก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน… จะให้ทำตัวใจกว้างขนาดนั้นก็คงทำไม่ได้… ถ้าเธอเป็นแฟนของเขาพี่ก็จะรอจนกว่าจะเลิกกัน… หรือถ้าเธอแต่งงานกับเขาไปแล้วพี่ก็จะรอจนกว่าเธอจะหย่า… พี่จะยังคงหวังให้เธอกลับมาอยู่ข้างพี่ตราบใดที่ยังมีโอกาส
“แต่ว่า… พี่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเธอ… พี่ไปตัดสินว่าเธอจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนไม่ได้หรอก… มีแต่เธอเท่านั้นที่ทำได้”
เธอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาพลางเอียงหน้าพิงตัวเข้ากับเบาะรถ ทันใดนั้นเองเธอก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเธอถึงกล้าที่จะลองคบกับเขา
คนอย่างเขาสมควรได้รับความรักจากทุกคน
รู้สึกมีความสุขเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปที่ร้านอาหารก่อนหน้านี้ บางทีเธอน่าจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
“มองหน้าพี่ทำไม” เขาหันไปถามเธอ
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่มองความหล่อของพี่เฉยๆ”
เขายกยิ้ม “มารู้ตอนนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอ เธอเพิ่งบอกว่าพี่แก่ไปเมื่อหลายวันก่อนนี้เอง”
“ก็พอเทียบกับฉันแล้วพี่ก็ดูแก่ไปนิดหนึ่งนะคะ” เธอว่าเขาเข้าให้ทั้งเสียงหัวเราะ
“ไม่ได้แก่ เรียกว่าภูมิฐานต่างหากล่ะ” เขาเอ่ยแก้ขณะที่ขับรถเข้ามาในบริเวณบ้าน
เธอมองตรงไปข้างในขณะที่ปล่อยมือจากเขา “ถึงบ้านแล้วเหรอคะ ไวจังเลย”
“ดึกมากแล้ว นี่มันห้าทุ่มแล้วนะ” เขาจอดรถใต้คอนโดอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะปล่อยให้เธอลงจากรถไปพร้อมกับข้าวของของเธอ
หลังจากมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก้าวเข้าไปด้านในและทำกิจวัตรอย่างที่เคยเป็น อาบน้ำก่อนที่จะเตรียมตัวเข้านอน ในตอนที่เธอกำลังจะเดินเข้าห้อง อีกคนในบ้านก็เอ่ยรั้งเธอไว้ “มานี่มา”
“มีอะไรเหรอคะ”
เขายังคงเรียกเธอ “มานี่แป๊บหนึ่ง”
ซย่าชิงอีเดินเข้าไปก่อนที่เขาจะดึงเอวเธอเข้ามาจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปาก “จูบราตรีสวัสดิ์”
เธอผลักเขาออก “พี่ทำฉันกลัวหมดเลย นึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก”
“นอนหลับฝันดีนะ” เขาบอก
“ค่ะพี่” เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาต่อ รีบกลับไปที่ห้องและอาบน้ำเข้านอน ก่อนที่จะได้รับบทเรียนในเช้าวันถัดมาว่าต้องตื่นให้เร็วกว่านี้
วันถัดมาเธอรีบร้อนออกจากห้องของตัวเอง หมายจะไปเปลี่ยนรองเท้าและออกจากบ้าน ตอนนั้นเองที่เห็นโม่หันเดินออกมาจากห้องในชุดเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาถามเมื่อเห็นเธออยู่ในอาการตื่นตระหนก “ให้พี่ไปส่งไหม”
เธอยกขาสวมรองเท้าพลางใช้จังหวะนี้ใช้เงาสะท้อนลงที่ชานบ้านเพื่อจัดทรงผมให้เรียบร้อย “ไม่เป็นไรค่ะ ข้างนอกคงรถติดมาก ถ้าพี่ไปส่งน่าจะช้ากว่าเดิม”
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกระเป๋าที่อยู่ในมือของเธอ เธอโบกมือบอกลาจากด้านหลังให้เขา “ฉันไปแล้วนะคะ”
โม่หันตะโกนไล่หลังเธอไป “พี่จะไปรับเธอหลังจากเลิกเรียนตอนเย็นนะ”
เสียงปิดประตูดังลั่นต่อหน้าเขาโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินที่เขาพูดหรือไม่
ในวันแรกของการคบกันทุกอย่างดูเป็นไปตามปกติอย่างที่เคยเป็น แม้ว่าจะแอบมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
มันคือความสุขใจและความยินดีที่ล่องลอยไปในอากาศจนสัมผัสได้
เพราะแบบนี้โม่หันจึงอารมณ์ดีไปตลอดทั้งวัน เขายังทำตัวแปลกไปจากเดิมที่เคยเป็นอีกด้วย ตอนที่ผู้ช่วยในบริษัททำงานพลาดและกำลังเตรียมตัวรอเขาต่อว่าขณะก้มหน้าตัวสั่น เขากลับทำเพียงโบกมือและพูด “ช่างมันเถอะ ครั้งหน้าระวังด้วยล่ะ”
ในช่วงบ่ายทนายหวังที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานแวะมาหาเขาเพื่อเอาเอกสาร อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามและคุยเรื่องส่วนตัวกับเขา เมื่อเห็นว่าวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จึงไม่ได้ออกไปทันทีหลังจากที่เสร็จธุระและยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขาต่อ
เขาถามอีกอีกฝ่าย “มีอะไรอีกหรือปล่าครับ”
ท่าทางทนายหวังติดจะเขินอายเล็กๆ ขณะที่ส่งยิ้มมาให้ “ผมขอ… เบอร์โทรศัพท์ของน้องสาวของคุณได้หรือเปล่าครับ”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ใช้ในเวลางานเท่านั้น “หลิวจื้อหย่วนคงมีเบอร์ของเธอ คุณไปถามกับเขาก็ได้ครับ… ว่าแต่คุณมีธุระอะไรจะคุยกับเธอเหรอ”
คู่สนทนาตอบกลับพลางหัวเราะอย่างมีความสุข “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้จักเธอเท่านั้นเอง”
โม่หันขมวดคิ้วมุ่นและจ้องมองไปที่เขา
“ระหว่างที่ไปกินข้าวกันเมื่อวาน ผมคิดว่าน้องสาวของคุณสวยมากตอนที่เธอยิ้มขณะที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผม ทำไมคุณไม่เคยบอกเราว่ามีน้องสาวสวยขนาดนี้เลยล่ะครับ”
“แล้วผมควรบอกว่าอะไรล่ะ… บอกว่าน้องสาวของผมสวยมากและเปิดโอกาสให้พวกคุณเข้ามาจีบเธออย่างนั้นเหรอ” เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยขณะที่ยังคงก้มหน้าแสร้งทำเป็นกำลังอ่านเอกสารด้วยท่าทีจริงจัง