“เป็นเพราะว่าผมไม่เคยได้ยินมาก่อนน่ะครับ…”
“คุณเองก็เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมคุณต้องรู้เรื่องส่วนตัวของผมขนาดนั้นด้วยครับ…”
“โอ๊ะ… ยังไงคุณทั้งสองคนก็คบกันไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ ทนายโม่ ทำไมถึงไม่แนะนำเธอให้กับผมล่ะครับ ผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ…”
ที่บอกว่าคบกันไม่ได้และให้แนะนำเธอให้เขามันหมายความว่าอะไรกัน!
สำหรับคนที่ปกติแล้วจะใจเย็นอย่างโม่หัน แม้เขาจะอดไม่ได้ที่คิดอยากโยนเอกสารอย่างแรงใส่หน้าของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังพยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ “คุณเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย ตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว”
“แต่ว่าผมถามหลิวจื้อหย่วนเมื่อวานแล้ว เขาบอกว่าเธอไม่มีนี่ครับ”
“เธอเพิ่งคบกับเขาเมื่อคืน” น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างเหลือเชื่อ
ตอนนี้ทนายหวังสัมผัสได้ว่าโม่หันคงรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก จากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา คิดว่าการถอยหลังออกไปจากที่นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก่อนเอ่ยกับทนายโม่ด้วยความกล้าๆ กลัวๆ “ถ้างั้นผมเอาเอกสารไปแล้วนะครับ ทนายโม่ เดี๋ยวจะให้คุณหลิวเอามาให้คุณหลังจากที่ผมจัดการเสร็จแล้ว”
สายตาของโม่หันของคงจดจ้องอยู่ที่เอกสารตรงหน้า “ออกไปได้แล้วครับ”
เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจนักหลังจากที่ทนายหวังเดินออกไป ต่อสายโทรหาซย่าชิงอี เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งก่อนที่จะถูกตัดสายไป ข้อความจากเธอถูกส่งตามมาทีหลังจากนั้นไม่นาน
[ฉันเรียนอยู่! มีอะไรเหรอคะ]
เขาตอบข้อความของเธอกลับไป [เธอเลิกเรียนกี่โมง]
[ห้าโมงครึ่งค่ะ]
[เลิกเรียนแล้วรอพี่ที่มหาวิทยาลัยด้วย]
[ฉันไปที่บริษัทเลยไม่ได้เหรอคะ เวลานั้นพี่ทำงานอยู่เลยนี่]
[เธอไม่ต้องเข้ามาที่บริษัท พี่จะไปหาเธอเอง] เมื่อเขาจรดปลายนิ้วพิมพ์ข้อความตอบ เมื่อคิดถึงตอนที่ทนายหวังเข้ามาในห้องทำงานของเขา รู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ที่นึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เขาอยากจะซ่อนเธอเอาไว้
อยากจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเธอน่ารักขนาดไหน คนเดียวที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ความคิดที่เหมือนกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะตกหลุมรักใครสักคน
เขาไม่ปล่อยให้เธอรอนาน หลังจากจัดการเรื่องการเซ็นสัญญาเสร็จก็เหลืองานอีกไม่มาก เขาออกจากบริษัทเร็วกว่าปกติเล็กน้อยและขับรถมุ่งหน้าไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อรับเธอ
เธอกำลังรออยู่บริเวณประตูทางเข้า เขาเห็นเธอมาแต่ไกลขณะที่จอดรถไว้ข้างทาง จากนั้นจึงโทรหาอีกฝ่าย
[มองทางขวาของเธอสิ] เขาเอ่ย
เธอมองไปด้านหลังอย่างงุนงง พยายามสอดส่ายสายตาหาคนที่โทรหา
[เธอกำลังมองไปทางซ้ายอยู่นะ] เขาหลุดหัวเราะออกมา
เธอหันไปมองอีกทางจนในที่สุดก็เห็นรถของเขาที่จอดอยู่ริมถนน โม่หันยื่นมือออกมาด้านนอกกระจกรถโบกมือให้เธอ
ซย่าชิงอีวางสายและเดินเข้ามาเปิดประตูรถ ทิ้งตัวลงบนที่นั่งด้านหน้า ในจังหวะที่เธอเอ่ยปากถามว่าพวกเขาจะไปกินอาหารกันที่ไหน เขาก็เอนตัวเข้ามาตรึงร่างของเธอไว้กับเบาะก่อนที่จะประกบจูบอีกฝ่าย
ตอนนั้นเองที่จูบดูดดื่มและยาวนานได้เริ่มขึ้น เธอตีไหล่เขาเบาๆ ขณะที่ครางอื้ออึงในลำคอทั้งดวงตาที่เบิกกว้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงยึดร่างของเธอไว้จนขยับไม่ได้
ในที่สุดพวกเขาก็ผละริมฝีปากออกจากกัน เขายังคงโน้มตัวมาข้างหน้าเธอพร้อมสบสายตามองเธอด้วยรอยยิ้ม
เธอเช็ดน้ำลายที่เลอะบนริมฝีปาก ชำเลืองมองคนที่ส่งยิ้มให้ “พี่อย่าพุ่งเข้ามาจูบแบบนี้สิคะ! ฉันตกใจแทบตายแหนะ”
“เดี๋ยวต่อไปเธอก็ชินเองนั่นแหละ” เขาว่าขึ้น
คนถูกจูบผลักเขาออก “ต่อไปอย่างทำแบบนี้อีกนะคะ คนข้างนอกเยอะแยะ”
“กลัวอะไรล่ะ พวกเขาไม่เห็นสักหน่อย”
“พวกเขาไม่เห็นแต่ฉันเห็นพวกเขานี่คะ”
“ต่อให้พวกเขาเห็นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย เธอเป็นแฟนพี่นะ ทำแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรสักหน่อย” เขากล่าวเสียงหนักแน่น
เธอเหลือบมองเขาครู่หนึ่งอย่างไม่อยากจะถกเถียงกับเขาอีกต่อไปและพูดขึ้น “ช่างเถอะค่ะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้และไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”
เขาพาเธอมาร้านอาหารฝรั่งร้านหนึ่ง รายการอาหารทั้งหมดถูกเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เธอไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว เพราะอย่างนั้นเธอจึงโยนหน้าที่ในการสั่งอาหารให้กับโม่หัน
เขาสั่งสเต๊กมาให้เธอ เนื้อนุ่มลิ้นที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสที่เคลือบอยู่ด้านบนทำให้อาหารจานนี้ยิ่งหอมชวนกินมากขึ้น และมันยิ่งอร่อยมากขึ้นเมื่อกินคู่กับผักสดที่เคียงมาให้ เธอคิดในใจระหว่างที่กินว่าต่อไปหากคราวหลังเธอคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร เธอจะยกหน้าที่สั่งอาหารให้เขาอย่างแน่นอน สำหรับเธอแล้วอาหารที่เขาสั่งมักจะอร่อยกว่าสิ่งที่เธอสั่งมาเองเสมอ
เธอมองไปที่อีกฝ่าย เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเหมือนเธอที่ระหว่างกินก็เอาแต่พยักหน้าและบอกว่าอร่อยอยู่อย่างนั้น เขาทำเพียงส่งยิ้มให้พลางหั่นสเต๊กในจาน อย่างไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
ระหว่างมื้ออาหาร เธอเช็ดปากและไปเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ทำธุระเสร็จ ในขณะที่ล้างมืออยู่เธอก็ตั้งใจจะรีบออกไปเพื่อจัดการสเต๊กในจานให้หมด
ทว่าเธอก็เกือบจะชนเข้ากับผู้ชายด้านหลังเมื่อกลับหลังหันไป เธอสะดุ้งด้วยความตกใจพลางรีบกล่าวขอโทษเขา เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นผู้ชายร่างสูงโดดเด่น รูปร่างกำยำ และดูเหมือนว่าจะตัดผมสั้นเกรียนเมื่อมองไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายที่ก้มลงมาซึ่งสวมหมวกเบสบอลอยู่
ชายคนนั้นขยับถอยหลังทิ้งระยะห่างกับเธอ ราวกับจะเปิดทางให้เธอเดินผ่านเขาไป
เธอเอ่ยขอบคุณพร้อมก้มหัวลง ก่อนที่จะเดินผ่านเขาไปทางด้านหลัง
ระหว่างทางเธอก็หยุดฝีเท้าและหันกลับไปมองชายคนก่อนหน้านี้ชั่วครู่
แต่เขากลับหายตัวไป ไม่ได้อยู่ที่เดิมกับที่เธอเห็นเขาเสียแล้ว
เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดอยู่ข้างในใจนัก แม้จะไม่รู้ความอึดอัดใจที่มีนั้นมาจากไหนก็ตาม
เมื่อกลับถึงโต๊ะเธอก็ลงมือกินอาหารในจานต่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าสเต๊กในจานเย็นชืดหรือเธอสูญเสียสัมผัสการรับรสไป แต่รสชาติของเนื้อตรงหน้ากลับไม่เหมือนก่อนหน้านี้เสียแล้ว
เธอกินไปอีกไม่กี่คำก่อนจะวางมีดและส้อมลง
โม่หันหยุดมือและเงยหน้ามองเธอ “เธอไม่กินแล้วเหรอ”
“อิ่มแล้วค่ะ”
“ไม่อยากกินอีกหน่อยจริงๆ เหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้าพลางส่งยิ้มให้ “ไม่ล่ะค่ะ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ ”
เขาวางมีดและส้อมตามเธอและใช้ผ้าเช็ดปากตัวเอง “งั้นก็ไปกันเถอะ”
ซย่าชิงอีและโม่หันไม่ได้ใช้เวลาอยู่ข้างนอกนานนัก หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็พาเธอกลับบ้านตั้งแต่ช่วงเย็น พวกเขานั่งดูหนังบนโซฟาในห้องนั่งเล่น แขนของเขาพาดอยู่บนไหล่ของเธอที่เอนแนบชิดกับโซฟา ทีแรกเธอดูหนังด้วยท่าทีจริงจังขณะที่กอดหมอนในอ้อมแขนไว้ แต่หลังจากนั้นเขาก็โน้มศีรษะของเธอให้ซบเข้าที่ไหล่ของตัวเอง เธอชำเลืองมองเขาก่อนที่จะกลับมานั่งหลังตรงดูหนังต่ออีกครั้ง
จากนั้นไม่นานโม่หันเขาก็ทำเหมือนเดิมอีก เขาคะยั้นคะยอให้เธอซบศีรษะกับไหล่ของตัวเองเข้าจนได้
“ทำแบบนี้เดี๋ยวฉันก็ปวดคอกันพอดีหรอกค่ะ” เธอร้องโอดโอย
เขายีผมของเธอจนยุ่ง “แค่นอนพักมาแป๊บเดียวเองน่า”
แต่สุดท้ายเธอก็รู้สึกเหนื่อยกับการตั้งหน้าตั้งตาดูหนังและค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะเอนศีรษะพักบนไหล่ของอีกคน เขาลูบศีรษะของเธอพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ฉันหิวขึ้นมาอีกแล้วค่ะ” เธอว่าขึ้น
“เธอเพิ่งบอกว่าอิ่มไปตอนที่อยู่ที่ร้านอาหารเองไม่ใช่เหรอ” คนฟังหัวเราะพลางเขกศีรษะน้อยๆ ของเธอเบาๆ
เธอตอบกลับ “ตอนนั้นฉันอิ่มจนกินต่อไม่ไหวจริงๆ นี่คะ แต่หลังจากดูหนังก็หิวขึ้นมาอีกแล้ว”
จริงๆ แล้วโม่หันสังเกตเห็นท่าทีของเธอตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ร้านอาหารแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อหลังจากเห็นดังนั้น กลัวว่าจะทำให้เธอไม่มีความสุขเสียเปล่าๆ
เมื่อเห็นว่าเธออารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นพลางเอ่ยถามอีกฝ่าย “มีอะไร… เกิดขึ้นที่ร้านอาหารก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาและตกใจเล็กน้อย “พี่รู้ด้วยเหรอ…”
เขาส่ายหน้า “พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ท่าทางของเธอตอนที่เดินกลับมามันดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย”
เธอยกศีรษะออกจากไหล่ของเขาและกลับมานั่งตรง “จริงๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ…” เธอหรี่ตาลง “จู่ๆ ฉันก็แค่… รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาน่ะ”
“อึดอัดใจเหรอ”
“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันค่ะ… แค่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ”
ซย่าชิงอีไม่ได้บอกโม่หันเรื่องที่เธอเกือบจะชนกับผู้ชายคนนั้น ด้วยคิดได้หลังจากที่เธอกลับมาว่าตอนนั้นตัวเองคงอารมณ์อ่อนไหวมากไป เขาเองไม่ได้ทำอะไรที่แปลกสักนิด ไม่แม้แต่จะพูดออกมาสักคำ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ไม่สบายใจเมื่อยืนต่อหน้าเขาเช่นกัน
แม้ว่าเธอจะรู้สึดอึดอัดในใจไม่น้อยเมื่อเห็นเขาหายตัวไปก็ตาม
เธอไม่อยากให้โม่หันต้องกังวลกับเรื่องนี้ มันเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญใจเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาใส่ใจ
“เธอกลัวอะไรอยู่เหรอ…พี่อยู่ตรงนี้ รู้ใช่ไหม” เขาดึงเธอเขามาซบที่อกของตัวเอง ปล่อยให้เธอนอนบนตัวเหมือนกับตัวเขาเป็นหมอน “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะอยู่ข้างเธอเสมอนะ”
เสียงหัวใจของเขาดังทะลุเสื้อเชิ้ตของเขาแทรกเข้ามาในหู เสี้ยวหน้าของเธอสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจแผ่วเบา เธอควรจะมีความสุขเพราะในตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดได้มาอยู่ข้างกายเธอ
แม้ว่าเสี้ยวมุมหนึ่งในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความอึดอัดก็ตาม
เธอได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังบอกกับตัวเองอย่างเงียบเชียบ ‘เธอกลัวที่จะได้รับความสุขมาอย่างง่ายดายเหรอ แล้วความสุขนี้จะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ แม้ว่าโม่หันจะชอบเธอ แต่มีอะไรมายืนยันได้ล่ะว่าเขาจะยังอยู่ข้างเธอหลังจากที่รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว’
เธอไม่มั่นใจเลย แม้แต่เธอยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถยอมรับกับความจริงของเรื่องราวในอดีตของตัวเองได้หรือไม่ แล้วโม่หันล่ะ
เสียงถอนหายใจของเธอดังออกมาอย่างไม่รู้ตัว อีกฝ่ายลูบใบหน้าของเธอและเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่น เขาก็ขยับมือมาคลายมันลงพร้อมส่งยิ้มใจเย็นให้ราวกับจะปลอบโยนเธอ
เธอเกาะแขนเสื้อของเขาไว้อย่างไม่อยากจะคิดถึงเรื่องใดอีกแล้ว ต้องการเพียงรักษาช่วงเวลานี้เอาไว้ให้นาน
อย่างน้อยแค่เธอมีความสุขในเวลานี้ก็เพียงพอแล้ว