ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 184 เดี๋ยวคุณก็รู้เอง

ตอนที่ 184 เดี๋ยวคุณก็รู้เอง

ช่วงหลายวันมานี้ซย่าชิงอียุ่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงในห้องสมุดทุกวัน อาจารย์ประจำวิชาที่เธอเรียนอยู่ชื่นชมในความสามารถของเธอและขอให้เธอลองเขียนบทความวิชาการ เพื่อนำไปพิจารณาพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการทางจิตวิทยา อาจารย์คนนั้นค่อนข้างดูแลเธออย่างดีมาตลอดทำให้เธอต้องบังคับตัวเองให้ยอมรับคำขอของอีกฝ่าย

เป็นเหตุให้ช่วงนี้เธอมักกลับบ้านดึกเพราะใช้เวลาทั้งวันไปกับการหาแหล่งอ้างอิงทางวิชาการที่เกี่ยวกับจิตวิทยา มีบางครั้งที่เธอบอกให้โม่หันรอที่บริษัทจนเขาทำงานเกินเวลาเลิกงานไปสองชั่วโมง ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะโทรหาเธอเพื่อมารับกลับบ้านเพราะต้องบันทึกของข้อมูลสำคัญของหนังสืออ้างอิง

ช่วงแรกๆ เขาก็ทำตามคำขอของเธอ แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเคยออกมาจากห้องสมุดตอนห้าทุ่ม ตอนนั้นเองที่ทำให้เขาเริ่มหงุดหงิดและบอกให้เธอเอาหนังสือกลับมาเขียนบทความที่บ้านแทน

ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะเขียนบทความให้เสร็จให้เร็วที่สุด แต่โม่หันกลับไม่เห็นด้วยและยอมให้เธอทำถึงตีหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะดับไฟทั้งบ้านและบังคับให้เธอไปเข้านอน

แม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าแค่ไหนแต่ในที่สุดวันที่ยากลำบากของเธอก็สิ้นสุดลง เมื่อเธอเขียนบทความของตัวเองเสร็จหลังจากหมกมุ่นกับมันมาหลายวัน เธอรู้สึกเป็นอิสระเมื่อได้ส่งบทความที่เสร็จสมบูรณ์ให้กับอาจารย์ในคืนนั้นเสียที

ดังนั้นจึงได้ทีปล่อยให้ตัวเองครุ่นคิดอย่างสบายใจระหว่างทางกลับบ้านว่าจะไปหาโม่หันที่บริษัทให้เขาตกใจเล่นดีไหม เขาคงต้องโล่งใจขึ้นแน่หากรู้ว่าเธอเขียนบทความเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ช่วงหลายวันมานี้เธอไม่ค่อยได้นอนพักผ่อนนัก อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน เขามักจะรอจนกว่าไฟในห้องของเธอจะปิดลงก่อนที่จะเข้านอนได้อย่างสบายใจ

เวลาราวสองทุ่มเธอกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังบริษัทของเขาเพียงลำพังไปตามแนวเสาไฟข้างทาง

ทว่าในขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นตามหลังมา

เหมือนกันมีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามเธออยู่

ซย่าชิงอีรู้สึกไม่มั่นใจนักอย่างเกรงว่าเธอจะคิดไปเอง ระหว่างที่ยังเดินต่อไปตามเส้นทางเดิมที่คุ้นเคย หลังจากเดินมาพักใหญ่เธอก็สังเกตว่าฝีเท้าที่ตามมาด้านหลังเริ่มเบาลงราวกับพวกเขาอยู่ห่างจากเธอมากกว่าเดิม

เมื่อเดินเลี้ยวมาถึงหน้าร้านที่มีจักรยานยนต์จอดอยู่ด้านหน้า เธอก็ชะลอฝีเท้าของตัวเองลง มองไปยังด้านหลังของตัวเองผ่านกระจกข้างของรถจักรยานยนต์และเห็นชายร่างสูงใหญ่ท่าทางน่าสงสัยที่สวมหมวกเบสบอลสีดำอยู่ เขาอยู่ห่างจากเธอไปราวๆ สิบเมตร

เธอจำได้แม่นว่าเขาคือผู้ชายคนเดียวกับคนที่เธอเดินชนที่ห้องน้ำในร้านอาหารวันก่อน

ดูเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่เดินตามเธออยู่ เธอคาดคะเนขณะที่ยังเดินต่อไป แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาตามเธอมาเพื่อจุดประสงค์อะไร หากเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ทำไมเขาถึงเอาแต่เดินตามอยู่แบบนี้ทั้งที่เธอมาอยู่ในจุดที่ลับตาคนแล้ว กลับทำเพียงตามอยู่ห่างในระยะที่ไม่ใกล้และไม่ห่างเกินไป

เธอเชื่อว่าเขาคงไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเธอขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล สิ่งที่เธอสงสัยคือทำไมเขาถึงสะกดรอยตามเธอมากัน

จนกระทั่งเวลาสองทุ่มครึ่ง เธอไม่อยากจะยืดเยื้อกับเขาอีกต่อไป ดีที่เธอเดินมาอยู่ในจุดที่คนไม่พลุกพล่านนัก เธอหยุดเท้าและหันมาถามอีกฝ่าย “คุณตามฉันมาทำไมคะ”

ชายที่สวมหมวกเบสบอลคนนั้นยืนอยู่ในมุมมืด เธอเห็นเพียงกรอบหน้าของเขารางๆ แม้ว่าเขาจะยืนหันหน้ามาอยู่ใกล้ๆ

เธอคิดว่าเขาคงมองตรงมาที่เธอผ่านเงามืด

“คุณต้องฟังคำที่ผมกำลังจะพูดให้ดีๆ” เขาว่าขึ้น น้ำเสียงทุ้มปนแหบของเขาดังขึ้นสะกดคนฟังเอาไว้

เธอจ้องมองเขาขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ

“อีกไม่ช้าหัวหน้าตงจะถูกจับ เขาไม่มีใครคอยหนุนหลังแล้ว ลูกน้องใต้ปกครองของเขาก็ไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้เหมือนกัน เขาคงไม่ได้ออกมาอีกหลังจากถูกจับเข้าไป ผมเองก็มีเวลาเหลืออีกไม่มากเช่นกัน อีกสักพักผมคงต้องถูกจับตามไป” เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อท่ามกลางความมืด “ต่อไปผมคงไม่สามารถอยู่ปกป้องคุณได้อีกแล้ว คุณต้องระวังตัวให้มาก”

มือของเธอสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกได้ว่าคำพูดของเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตของเธอ แม้ว่าจะไม่กล้าถามและได้แต่นิ่งเงียบ

“ผมรู้ว่าตอนนี้คุณจำอะไรไม่ได้… แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน… มันช่วยหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายได้มาก… ผมขอให้คนช่วยจัดการงานศพของเสียวเหยี่ยให้แล้ว เขาถูกฝังที่สุสานเฉินซื่อในเมือง A ผมคุยกับผู้ดูแลที่นั่นไว้แล้ว คุณแค่ไปถามจากเขาเมื่อคุณไปถึง”

เขาว่าต่อ “ถ้าในอนาคตคุณจำทุกอย่างได้คุณอาจจะอยากพบกับเสียวเหยี่ย ผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสบอกคุณอีกแล้ว ผมเลยต้องมาบอกคุณก่อน”

“คุณรู้จักฉัน…ใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยถามเสียงสั่น

“มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ” ฝ่ายตรงข้ามพูดขึ้นอีกครั้ง “ยังไงแต่เดิมคุณก็หวังให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

น้ำเสียงของเขาฟังดูขมขื่นเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาฝืนยิ้มขณะที่ตัวยังอยู่กับที่เหมือนกับรูปปั้น

“ตอนนี้คุณต่อสู้เป็นหรือยัง” เขาถาม

เธอส่ายหน้าพลางจ้องมองเขา

“คุณควรกลับไปเรียนอีกครั้งเสียหน่อยนะ ต่อไปคุณจะได้เอามาใช้ได้ คงจะดีถ้าคุณสามารถปกป้องตัวเองได้บ้าง”

“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขึ้นมาอย่างรู้สึกว่าควรพูดคำนี้กับเขา

เขาหลุดหัวเราะออกมา “คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอก ผมเกรงว่าคุณคงจะไม่พูดคำนั้นกับผมแน่หลังจากรู้ว่าผมเป็นใคร ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะเจอกัน ผมคงจะไม่ไปรบกวนชีวิตของคุณอีกอย่างที่คุณหวังไว้” เขาเอ่ย “ให้เรา…บอกลากันตรงนี้เถอะ”

ซย่าชิงอีจ้องมองใบหน้าของเขาในความมืดก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับไปและเดินห่างออกไปจากเธอ เขาชะงักหลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าวและว่าขึ้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมา “ทนายคนนั้น… ดูเหมือนเขาจะดูแลคุณได้ดีเลยนะ… ดีแล้วที่คุณได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

เธอโพล่งถามเขาจากด้านหลัง “คุณเป็นใครกันแน่”

อีกฝ่ายตอบกลับก่อนที่จะเดินจากไป “เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”

เธอยืนอยู่ที่เดิมเนิ่นนานหลังจากที่ชายคนนั้นจากไป และมองไปตามทางที่เขาเดินไปแม้ว่าจะไม่ได้ตามเขาไปก็ตาม

เธอรู้ตัวว่าตัวเธอในตอนนี้กำลังขยับออกห่างจากเรื่องราวในอดีตของตัวเองไปเรื่อยๆ

ตอนที่อยู่ที่บ้านของหันเลี่ยง เธอเอาแต่พยายามตามหาความจริง และรู้สึกสิ้นหวังทุกครั้งที่อยู่ที่นั่นเมื่อได้ความทรงจำกลับมาเพียงทีละนิด แต่ในตอนนี้เรื่องราวในอดีตได้มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอน่าจะจำมันได้หากเธอไล่ตามเขาและไปยืนอยู่ต่อหน้าเขา มองหน้าและจ้องเขาไปในดวงตาของอีกฝ่าย

สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงการก้าวไปข้างหน้าและก็จะได้พบกับความจริงในอดีตของเธอ

ทว่าเธอกลับไม่ทำเช่นนั้น

เธอเอาแต่มองแผ่นหลังของเขาและสัมผัสได้ว่าตัวเธอก่อนที่จะความจำเสื่อมไม่ต้องการให้เธอกลับไปรับรู้เรื่องในอดีต เธอไม่ต้องการให้เธอในตอนนี้จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้บ้าง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเธอก็ควรจะลืมเรื่องทุกอย่างในอดีตจะได้ไม่ต้องทนกับมันอีกต่อไป เธอต้องก้าวต่อไปข้างหน้าและไม่ควรหันหลังกลับมามองอย่างนั้นหรือ

อย่างนั้นความจริงในอดีตสำคัญกับเธอมากหรือไม่ ในตอนนั้นเองที่เธอสงสัยเรื่องที่เคยคิดก่อนหน้านี้ขึ้นมา

เมื่อเธอมาถึงบ้าน โม่หันก็ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองขณะที่นั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ดูท่าแล้วน่าจะกำลังรอเธออยู่

“เธอส่งงานให้อาจารย์แล้วหรือยัง” เขาเอ่ยถาม

“ค่ะ” เธอเปลี่ยนรองเท้าและทิ้งร่างลงบนโซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อย

เขาคิดว่าเธอคงเหนื่อยจากการหาข้อมูลและเขียนบทความวิชาการมาหลายวันติด เขานั่งลงข้างกายเธอและตบหลังเธอเบาๆ ก่อนหัวเราะออกมา “เธอเหนื่อยหรือ ถ้าก่อนหน้านี้พี่รู้ว่าเธอจะเป็นแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เธอทำงานจนดึกดื่นอยู่ทุกคืน”

คนฟังปิดเปลือกตาลงขณะที่พึมพำในลำคอ รู้สึกถึงอุณหภูมิของมืออีกฝ่ายและก้อนสะอื้นที่อยู่ในลำคอ จู่ๆ ก็อยากร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ช่วงบ่ายพี่ยุ่งๆ ที่บริษัทเลยไปรับเธอไม่ได้ เธอกินข้าวเย็นมาหรือยัง” เขาถาม

อันที่จริงเธอยังไม่ได้กินอะไรเป็นอาหารเย็น ด้วยตั้งใจว่าจะไปหาโม่หันที่บริษัทและให้เขาพาเธอไปกินข้าว แต่หลังจากเจอชายคนนั้น ความอยากอาหารของเธอก็จางหายไปเล็กน้อยในขณะที่เดินเหม่อกลับมาที่บ้าน

อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่อยากให้โม่หันต้องเป็นห่วงจึงตอบกลับเขาไป “ฉันกินเกี๊ยวจิ๋วโจวจี๋มาแล้วค่ะ”

“อร่อยไหม”

“ค่ะ” เธอพ่นลมหายใจฮึดฮัด ก่อนที่จะซุกหน้าลงใบบนหมอนอย่างอยากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

กลัวว่าเขาจะเห็นท่าทีที่ผิดปกติไปของตัวเองจึงพยายามหัวเราะและขยับตัวไปมา นอนซบลงในอ้อมแขนของเขา แนบใบหน้าเข้ากับอกพลางกอดเอวเขาไว้เพื่อไม่ให้เห็นสีหน้าของเธอ

เขาแปลกใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่จู่ๆ ก็ได้รับ ก่อนยกมือลูบเรือนผมนุ่มนิ่มของเธอ “มีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่เหนื่อยและรู้สึกเหมือนจะเผลอหลับตรงนี้เฉยๆ ” เธอตอบกลับ

เขาว่าขึ้น “ไม่ได้หรอกนะ เธอนอนให้พี่โอบอยู่แบบนี้ถ้าพี่ควบคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง”

เธอหยิกเข้าที่เอวเขาเบาๆ เป็นคำตอบ

เสียงของเขาดูแหบพร่าขึ้นเมื่อถูกส่งมาจากด้านบนศีรษะของเธอ “ซย่าชิงอี ตอนนี้พี่อยากจูบเธอจังทำยังไงดีล่ะ”

เธอถูไถใบหน้าของตัวเองกับอกของเขาไปมาเล็กน้อย “ห้ามจูบค่ะ ฉันอยากนอนแล้ว”

เขาลูบหัวเธออีกครั้ง “ก็ได้ นอนสิ เดี๋ยวเธอหลับพี่อุ้มเธอไปที่เตียงเอง”

ซย่าชิงอีทิ้งตัวในอ้อมแขนของเขาและค่อยๆ ผ่อนคลายลง ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่ตัวเองก็รู้สึกถึงเพียงความเหน็ดเหนื่อย ความง่วงงุนเข้าจู่โจมให้ค่อยๆ ผล็อยหลับลงไปอย่างเงียบๆ พร้อมเสียงหัวใจของโม่หันที่ดังขึ้นข้างหู

เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอทุกครั้งที่มีเขาอยู่ข้างกาย เป็นเช่นนี้เรื่อยมาไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้

การมีอยู่ของเขาช่างพิเศษสำหรับเธอ นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยตั้งคำถามกับมันเลยสักครั้ง

เมื่อเธอตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมาก็เห็นว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา อีกฝ่ายยังคงหลับอยู่ข้างๆ ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงในขณะที่หันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาให้เธอ มือโอบรอบตัวเธอเอาไว้

เธอมองไปรอบตัวและพบว่าพวกเขาอยู่ในห้องนอนของโม่หัน พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าปรากฏให้เห็นด้านนอก เธอขยับตัวไปด้านข้างเตียงเพื่อดูนาฬิกาว่ากี่โมงแล้ว

แรงขยับของเธอปลุกให้โม่หันตื่นขึ้น เขาปรือตามองซย่าชิงอีที่เบิกตากว้างในวงแขนของตัวเอง ยกยิ้มและคว้าตัวเธอมากอดเอาไว้แน่น

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด

เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง

เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ”

เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท