ชายคนนั้นวางของในมือลงพลางยืดตัวขึ้น เมื่อเขาเห็นเธอก็เบิกตากว้าง “ลิน่า! ทำไมคุณยัง… คุณไม่ได้ตายไปแล้วหรอกเหรอ”
ซย่าชิงอีจำเขาไม่ได้และทำเพียงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
อยู่ๆ เขาก็แตะที่แขนของตัวเองและขยับมาจับตัวเธอหมุนไปมาเพื่อความมั่นใจ จนในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเธอสบายดี “คุณยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย… ไม่น่าเชื่อเลย…”
เขาเอ่ยถาม “แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ”
เธอไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร เดิมทีเธอเดินมาตรงนี้ตามสัญชาตญาณของตัวเองและไม่รู้จะมาทำอะไรเมื่อเดินมาถึงจุดหมาย เธอครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะถามขึ้น “ฉันเข้าไป… ด้านในได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ยังไงคุณก็เป็นลูกค้าประจำของเราอยู่แล้ว… ถ้าคุณเข้าไปไม่ได้คงไม่มีใครหน้าไหนเข้าไปได้แล้วล่ะ” เขาดึงเธอเข้ามาในร้าน แสงไฟสลัวส่องไปทั่วบริเวณร้าน กล่องกระดาษหลายกล่องวางระเกะระกะอยู่หน้าทางเข้าขวางทางเดินเล็กน้อยก่อนที่เขาจะดันพวกมันไปข้างๆ “ร้านนี้… กำลังจะปิดลงแล้วล่ะครับ… เราหาผู้ซื้อได้แล้ว ช่วงหลายวันนี้เรากำลังเก็บของเลยรกนิดหน่อย”
การตกแต่งภายในเดิมของร้านยังคงอยู่แม้ว่าของเล็กๆ น้อยๆ บนโต๊ะจะถูกเก็บไปแล้ว เครื่องดนตรียังถูกวางไว้อย่างดีบนเวทีด้านหน้าร้าน
ทั้งกลองชุด กีตาร์ไฟฟ้า คีย์บอร์ด และไมโครโฟนตั้งพื้น พร้อมแสงไฟที่สาดส่องมาจากพื้น ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว
เขาสังเกตว่าสายตาของเธอเอาแต่จ้องไปทางเวทีด้านหน้าที่ใช้แสดงดนตรี เขาเดินขึ้นมาแตะเครื่องดนตรีบนเวทีและว่าขึ้น “ก่อนหน้านี้มีนักร้องคนหนึ่งเข้ามาทำงานที่นี่ เขาร้องเพลงได้เพราะเลยล่ะ ตอนนั้นผมยังคิดว่าหากเสียวเหยี่ยและคุณได้ฟัง พวกคุณต้องชอบนักร้องคนนั้นแน่ๆ ”
“แต่น่าเสียดายที่…” เขาเริ่มพูดกับตัวเองอีกครั้ง
“คุณมีรูปเมื่อก่อนไหมคะ ฉันอยากดู”
เขากระโดดลงมา “มีสิครับ แต่คุณไม่ค่อยได้ถ่ายรูปที่นี่เท่าไหร่ คุณก็รู้… ว่ามันค่อนข้างเสี่ยง… เราไม่กล้าเก็บมันไว้เสียเท่าไรด้วยซ้ำ”
เขาเดินไปที่ชั้นเก็บของเล็กๆ ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มในขณะที่ซย่าชิงอีมองสำรวจด้านนอกไปทั่ว ก่อนที่เขาจะออกมาพร้อมกับกล่องเล็กๆ ในมือ ก้าวมาหาเธอพลางเปิดฝาออก
“ผมเก็บไว้ไม่เยอะมาก… ถ้าคุณอยากเอากลับไปก็ได้นะครับ”
เธอรับรูปจากเขาและมองมันไปทีละรูป อย่างน้อยภายในรูปก็บ่งบอกได้ว่าที่นี่เคยมีลูกค้ามากมาย ดูคึกคักมีชีวิตชีวาในยามค่ำคืน
ระหว่างที่เธอพลิกรูปดูไปเรื่อยๆ จนมาถึงรูปหมู่รูปหนึ่งที่ทำให้เธอต้องหยุดสายตาไว้ที่ภาพนั้น
เธอปรากฏตัวในรูปใบนั้น หันใบหน้าด้านข้างพร้อมรอยยิ้ม และเอามือพาดไหล่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ จริงๆ แล้วจะเรียกว่าชายหนุ่มก็ดูไม่เหมาะนัก ท่าทางของเขายังวัยรุ่นและดูอ่อนประสบการณ์ น่าจะอายุราวๆ สิบแปดปีได้ จากท่าทางการนั่ง เธอคงกำลังพูดคุยกับเขาอยู่และยังไม่พร้อมที่จะถ่ายรูปเมื่อช่างภาพเรียกพวกเขา เป็นเหตุให้รูปภาพออกมาเช่นนี้ เธอคิดในใจ
พวกเรากำลังยิ้มให้กัน เธอกำลังยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเมื่ออยู่ด้วยกันกับเด็กหนุ่มคนนั้น
เจ้าของร้านเห็นว่าเธอหยุดมองรูปนี้อยู่นาน เขาจ้องภาพนั้นและถอนหายใจออกมา “เสียวเหยี่ยกับคุณดูเข้ากันมาก… แต่หลังจากนั้น… ไม่น่าเลย…”
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณมาที่นี่เพราะจะมาสุสานข้างหน้านี้ใช่ไหม เจ้านายของคุณฝังเสียวเหยี่ยไว้ที่สุสานแถวๆ นี้ อาจเป็นเพราะเสียวเหยี่ยเคยบอกไว้ว่าเขาไม่อยากไปจากเมืองนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานผมเพิ่งไปเยี่ยมเคารพศพเขาที่หลุมศพ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ตอนนี้เขาไปสบายแล้ว”
ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าตอนนี้เธอควรจะรู้สึกอย่างไร เหมือนกับว่าเธออยู่ท่ามกลางพายุหมุน กำลังอยู่ ณ ใจกลางของพายุพร้อมรูปภาพในมือและลมแรงที่พัดโหมมาจากทุกทิศทาง
เธอหอบหายใจอย่างหนักเมื่อจ้องมองไปยังภาพนั้น สูดหายใจเข้าออกทางปากเหมือนกับปลาที่ถูกคลื่นซัดเข้าหาชายฝั่งและกำลังขาดอากาศหายใจ และไม่สามารถสลัดความหวาดกลัวไปจากใจได้พร้อมร่างที่สั่นระริกไปทั้งตัวจนเกือบจะทำรูปนั้นหลุดมือ
ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งหมุนวนอย่างแรงรอบตัวเธอ
เธอเอื้อมมือเกาะคว้าอย่างสะเปะสะปะเพื่อพยุงตัวเองในขณะที่เริ่มเดินโซเซออกจากร้านไป เจ้าของร้านเป็นห่วงจึงเดินตามหลังเธออย่างต้องการเข้าไปช่วยประคองไว้
“ลิน่า! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณจะไปไหน” เขาถาม
เธอได้แต่เดินออกมาและชนข้าวของไปทั่ว พยายามอย่างหนักเพื่อให้กลับมาหายใจได้อย่างปกติ
“ลิน่า! คุณไม่สบายหรือเปล่า” เขาจับแขนของเธอไว้อย่างกลัวว่าเจ้าตัวจะล้มลงไปกับพื้น
เธอเงยหน้ามองแสงสว่างหลังจากที่เดินออกมาจากร้าน ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ที่สว่างจ้าขนาดนี้มาก่อน
เธอยังคงจ้องมองไปที่มันขณะที่ค่อยๆ หายใจ เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามใบหน้า สัมผัสได้ถึงรสชาติของมันจางๆ จากนั้นเธอก็ทรุดลงกับพื้นทันที
ร่างกายของเธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ ของตัวเองและเสียงจอแจเบาๆ รอบตัว ใครบางคนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า รถพยาบาล! รถพยาบาล!”
เสียงฝีเท้าที่ตื่นตระหนกของคนคนนั้นดังขึ้นข้างหูก่อนที่เธอจะหมดสติไป
หลังที่สติดับวูบลงพร้อมลมหายใจที่แผ่วเบา เธอไม่ได้ยินเสียงใดอีกและสุดท้ายโลกของเธอก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดและความมืดมิด
ราวกับเธอกำลังอยู่ในความฝันแสนยาวนาน
ไม่มีสิ่งใดปรากฏในความฝันนอกจากถนนที่เธอกำลังก้าวเดินอยู่บนนั้นและหิมะสีขาวที่โรยตัวไปทั่วรอบตัวเธอไกลออกไปจนลับสายตา มีเพียงฉากสีขาวพร่างพรายที่ไม่มีแม้แต่บ้านสักหลังและไม่เห็นอะไรอื่นอีกนอกจากม่านหิมะหนา
เธอไม่รู้ว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าวัตถุสีขาวรอบตัวเองคือหิมะ ความรู้สึกที่บอกอย่างนั้นแจ่มชัดขึ้นทันทีเมื่อเธอเข้าสู่ห้วงความฝัน เธอเดินลงบนพื้นที่มีหิมะเกาะหนาให้ได้ยินเสียงแตกเล็กๆ ในหู และยังคงเดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะไม่เห็นสิ่งใดอยู่ตรงหน้าก็ตาม เธอทำเพียงก้าวต่อไปไม่หยุด
จากนั้นเธอก็เห็นชายคนนั้น คนเดียวกันกับผู้ชายที่สวมหมวกเบสบอลและเข้ามาบอกบางอย่างกับเธอท่ามกลางความมืด ดูเหมือนเขาจะโบกมือเรียกให้เธอเข้าไปหา
เธอรู้สึกยินดีไม่น้อยขณะที่วิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย เสียงลมพัดไปมาดังขึ้นในหูก่อนที่เธอจะเห็นว่าชั้นหิมะที่อยู่ใต้เท้าค่อยๆ ละลายกลายเป็นมวลน้ำมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งอย่างต้องการหนีจากจุดนี้ไปยังที่ๆ ชายคนนั้นยืนอยู่
ระหว่างที่วิ่ง เธอก็เริ่มเห็นภาพความทรงจำของตัวเองในอดีต ชิ้นส่วนความทรงจำเล็กๆ ส่องประกายขึ้นและวนเวียนอยู่รอบตัวเหมือนกับดวงดาวในขณะที่พวกมันค่อยๆ หมุนรอบตัวเธอ
เธอหยุดวิ่งและค่อยๆ เริ่มได้รับความทรงจำกลับมา ราวกับเธอจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้เมื่อพวกมันสัมผัสตัวเธอ เธอจ้องมองเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ เหล่านั้นพร้อมกับร่างที่จมดิ่งลงไปในน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ
ร่างของเธอค่อยๆ จมลงในผืนน้ำ ดิ้นทุรนทุรายและกวาดขาออกจากกันเพื่อว่ายประคองตัวเองไว้ รู้สึกเหมือนกับความฝันที่เคยมีตอนนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อนานมาแล้ว
ซย่าชิงอีคิดว่าเธอเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมช่วงแรกๆ เธอจึงฝันเช่นนั้น
เธอลอยอยู่ในน้ำท่ามกลางมหาสมุทรลึกในขณะที่เวลาหวนย้อนกลับไปยังช่วงที่เธอออกจากบ้านของตัวเอง
ตอนที่ซ่งเนี่ยนมู่ในอายุสิบเอ็ดปีและตามกลุ่มชายคนที่มาทวงหนี้ออกไปจากบ้าน เธอรู้ว่าโลกของตัวเองจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ความคิดของเธอในตอนนั้นช่างไร้เดียงสา อย่างมากพวกเขาก็ทำได้แค่ฆ่าเธอทิ้ง เธอไม่มีอะไรจะต้องเสียตราบใดที่ไม่เกิดสิ่งใดกับครอบครัวของเธอ และก็คงไม่มีอะไรใหญ่โตไปกว่าความตายอีกแล้ว
ทว่าเธอในอายุเท่านั้นไม่รู้ว่าในโลกใบนี้มีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าความตาย นั่นเป็นเหตุผลที่บางคนเลือกที่จะจบทุกอย่างด้วยความตายเมื่อเขาเติบโตขึ้น
ดูเหมือนมันจะเป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุดในการแก้ปัญหา
ซ่งเนี่ยนมู่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การตายหากแต่เป็นการมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ชายกลุ่มนั้นไม่ได้ฆ่าเธอ พวกเขาไม่ได้แตะต้องเธอเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่พาเธอมาอยู่ตรงหน้าชายคนหนึ่งและเตะตัดขาเธอให้คุกเข่าลงตรงหน้าชายคนนั้น
เขาคือนายน้อยสาม ชีวิตของเธอต่อจากนี้อีกแปดปีอยู่ในเงื้อมมือของเขาด้วยความจำนน
นายน้อยสามเป็นที่รู้จักดีในวงการมาเฟียในฐานะ ‘ยาพิษหมายเลขสาม’ เพราะเขาเป็นน้องชายคนเล็กของสามพี่น้องในกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลของเขา จึงทำให้ทุกคนในวงการไม่ว่าจะสนิทสนมกับเขาสักแค่ไหนต่างเรียกเขาอย่างเคารพว่า ‘นายน้อยสาม’
เขารูปร่างหน้าตาดีที่สุดในหมู่พี่น้องสามคน ไม่แปลกที่จะมีหญิงสาวอยู่ข้างกายไม่เคยขาด เขามักจะพาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ามาตามวาระโอกาสต่างๆ โอบเอวหญิงสาวเหล่านั้นไว้ขณะที่พูดคุยและหัวเราะกับคู่สนทนา ก่อนที่จะขึ้นเตียงไปกับพวกเธอเมื่อเขาต้องการ สำหรับนายน้อยสามแล้ว พวกเธอเป็นเพียงของประดับกายที่จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ว่าพวกหล่อนจะสวยเพียงไหนก็ตาม
ถ้าหากพวกเธองี่เง่านัก เขาก็จะเปลี่ยนท่าทีและทำให้อีกฝ่ายเห็นว่ายาพิษหมายเลขสามนั้นทำอะไรได้บ้าง ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ ให้พวกเธอต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต
“นายน้อยสามครับ ท่านคิดว่าเธอเป็นคนที่ท่านตามหาหรือเปล่าครับ” เสียงชายคนที่เตะเธอดังขึ้นจากด้านหลัง
คนถูกถามใช้ขาเชยใบหน้าของเธอขึ้น มองซ้ายขวาไปทั่วเหมือนกับกำลังตรวจสอบสินค้า ก่อนน้ำเสียงนุ่มปนแหบของเขาจะดังขึ้น “เธออายุเท่าไหร่”
“สิบเอ็ดครับ”
“เธอยังเด็กเกินไป ฉันไม่มีเวลาและแรงจะมาสั่งสอนเธอหรอกนะ”
“ท่านอยากทราบว่าเธอมาจากไหนหรือเปล่าครับ”
เขาเหลือบมองอีกฝ่าย “พูดมา”
“พ่อของเธอติดหนี้เราอยู่ ทั้งครอบครัวของเธอร้องไห้ขอร้องในขณะที่เธอกลับไม่มีน้ำตาแม้สักหยด ทั้งยังถามเราด้วยท่าทีนิ่งเฉยอีกด้วยว่าเธอต้องทำยังไงถึงจะยอมไว้ชีวิตครอบครัวของเธอ”
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งบนโซฟาเมื่อได้ฟังที่ชายคนนั้นเล่า
“ผมบอกไปว่าให้เธอทำให้เราพอใจ เธอก็ถามกลับว่าต้องทำยังไงเราถึงจะพอใจ”
ซ่งเนี่ยนมู่ออกจะกังวลในขณะที่เธอก้มหน้าคุกเข่าอยู่กับพื้น เธอได้ยินพวกเขาคุยกับถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กันอย่างสบายๆ เธอไม่กล้าเงยมองขึ้นไปจนกระทั่งชายคนนั้นเอื้อมมือมาเชยคางเธอขึ้นให้เธอจ้องมองเขากลับไปอย่างแข็งกร้าว อีกฝ่ายขยับเข้ามามองเธอใกล้ๆ อีกครั้งก่อนที่เธอจะจ้องมองไปที่เขาอย่างพยายามใช้สายตาของเธอทำให้ตัวเองดูหนักแน่นขึ้น
“หน้าตาของเธอดูดีไม่ใช่ย่อยเลย” เขาเริ่มวิจารณ์และเอ่ยถามเธอ “เด็กน้อย เธอรู้ความหมายของคำว่าพอใจที่พวกเราพูดก่อนหน้านี้หรือเปล่าล่ะ”
“คุณจะเอาฉันไปขายหรือจะฆ่าฉัน” เธอถามกลับอย่างไร้ซึ่งความกลัว
เขาส่งยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปหรอก เราจะไม่ขายเธอให้ชายแก่ๆ ให้พวกเขาเอาเธอไปทรมานเล่นหรอกนะ เราอยากจะซื้อตัวเธอด้วยจำนวนเงินที่พ่อของเธอติดหนี้ไว้อยู่ต่างหาก เธอไม่คิดว่าเราจะขาดทุนเพราะว่าเอาตัวเธอคนเดียวมาแลกกับเงินมหาศาลแบบนั้นบ้างเหรอ”