ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 200 คิดถึง

ตอนที่ 200 คิดถึง

เธอปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้เมื่อเข้าวันที่สองและเริ่มพูดคุยกับคนอื่นๆ ในที่พัก เธอไม่ได้พูดมากนักแต่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เสมอ ทำให้แขกในที่พักชื่นชอบในตัวเธอและชวนกันไปผจญภัยฝ่าทะเลทรายเป็นเวลาสามวันด้วยกันในวันรุ่งขึ้น

เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่แบกสัมภาระใบใหญ่บนหลัง เธอมีของติดตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หัวหน้ากลุ่มไม่กล้าปล่อยให้เธอไปตะลุยทะเลทรายทั้งสภาพเช่นนั้นจึงพาเธอไปซื้อของใช้ที่จำเป็นเพิ่มใส่กระเป๋า

ตกกลางคืน เธอแอบเอารองเท้าใส่ในบ้านที่ติดตัวมาใส่ลงกระเป๋า แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแต่ก็รู้สึกสบายใจเมื่อมีมันอยู่ข้างกาย

วันถัดมามีสมาชิกห้าคนรวมกับคนขับรถเข้าร่วมทริปในครั้งนี้ คนขับเลือกใช้รถเอสยูวีสีดำซึ่งเหมาะกับการผจญภัยในทะเลทราย ระหว่างทางซย่าชิงอีเป็นคนที่พูดคุยน้อยคำและเงียบที่สุด เธอนั่งอยู่ที่มุมขวาสุดของแถวสุดท้าย เลื่อนกระจกลงพลางชื่นชมภาพทิวทัศน์ด้านนอกที่เลื่อนผ่านไป

รถยนต์เคลื่อนที่ไปด้านหน้าทิ้งระยะห่างจากเมือง S ที่อยู่เบื้องหลังออกไปเรื่อยๆ

หลังจากเวลาที่ผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่ สองข้างทางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นทะเลทราย บรรยากาศด้านนอกมีเพียงสีเหลืองที่แต่งแต้มไปทั่วบริเวณตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนที่อยู่เหนือขึ้นไป และพุ่มไม้ขึ้นอยู่ประปรายบนพื้น รถยนต์ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แว่วเสียงจากล้อรถซึ่งบดเบียดกับทรายสีเหลืองที่ดังขึ้น ซย่าชิงอีทอดสายตาไปตามท้องถนนข้างหน้า รู้สึกได้ถึงความยาวสุดลูกหูลูกตาของถนนตลอดสาย

ดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุเคลื่อนตัวสูงบนท้องฟ้าในเวลาเที่ยงจนเธอลืมตาไม่ขึ้น อุณหภูมิในรถเพิ่มขึ้นสูง ไอความร้อนที่เกิดขึ้นภายในทำให้พวกเขารู้สึกราวกับตกอยู่ในกองไฟ

สัมผัสได้ถึงเม็ดทรายและสายลมจากด้านนอก ไอร้อนที่ปะปนมาพร้อมลมโชยปะทะเข้าหาซย่าชิงอี เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นว่าเธอร้อนจนลำคอชุ่มเหงื่อและเปรอะเศษทรายจึงยื่นหน้ากากเพื่อป้องกันใบหน้าจากลมและเม็ดทรายให้อย่างใจดี

เธอเอ่ยขอบคุณเขาพลางสวมหน้ากากและหันไปมองโลกภายนอกที่ละลานตาไปด้วยสีเหลืองต่อ

รถยนต์เคลื่อนตัวขยับโยกไปด้านหน้าพร้อมกับผืนทรายสีเหลืองซึ่งอยู่ห่างออกไปที่ค่อยๆ ปรากฎสู่สายตาของเธอ เห็นเนินทรายที่สลับขึ้นลงจากที่ไกลๆ ก่อนที่รถจะค่อยๆ หยุดลง

เธอจ้องมองไปตามสันทรายราบเรียบและรู้สึกตัวว่าทะเลทรายได้มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

พวกเขาพากันลงจากรถ

เจ็ดวันที่เขาอดทนรออย่างทรมานสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าซย่าชิงอีกลับยังไม่กลับมา

โม่หันไม่อาจรอได้อีกต่อไป อันดับแรกเขากลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอระหว่างทาง ต่อมาจึงคิดว่าเธอคงยังโกรธเขาอยู่และสบายใจที่จะอยู่ที่นั่นและไม่อยากกลับมาอีกแล้ว แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ทั้งนั้น

เขาเก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าติดตัวและจองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปที่เมือง D อย่างแน่วแน่ เขาให้คนสืบหาที่พักที่เธอพักอยู่ที่เมือง D ช่วงหลายวันมานี้ เมื่อเขาไปถึงที่นั่นคงได้พบหน้าเธอ

หากเธอต้องการที่จะจากไปเขาจะพาตัวเธอกลับมาที่เมือง S ทว่าหากเธอยังอยากสนุกที่นั่นต่อ เขาจะอยู่เล่นกับเธอ รอจนกว่าเธอจะพอใจและพาเธอกลับมา

เขานำเสื้อผ้าติดตัวไปเพียงสองชุด หนังสือเดินทางและบัตรประชาชน พร้อมคว้ากระเป๋าเงินและกุญแจไปด้วย สัมภาระส่วนใหญ่ที่เอาไปเป็นของซย่าชิงอี เขาเป็นห่วงเธอไม่น้อย เธอวิ่งหนีออกไปเพียงลำพังและไม่มีสิ่งของติดตัวไปสักชิ้น เธอคงลำบากกับหลายๆ สิ่ง ต้องดูแลตัวเองด้วยไม่มีใครอยู่ดูแลที่นั่น

ทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของเธอทุกขวดที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรและใช้ทำอะไรแต่เขาก็ยังใส่มันลงในกระเป๋าทั้งหมด ซอสพริกของโปรดของเธอ และชุดนอนลายการ์ตูนที่เธอชอบที่เขาพับไว้อย่างดีในกระเป๋าใบใหญ่บนเตียง

เขายืนอยู่ข้างเตียงพลางนึกว่าต้องเอาของอะไรที่เธอต้องใช้ไปอีก เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อของเขาดังขึ้น เป็นสายจากหลิวจื้อหย่วน

“เจ้านายครับ คุณเห็นข่าววันนี้หรือยังครับ” เขาเอ่ยถาม

“คุณหลิว ผมก็บอกคุณไปเมื่อเช้าแล้วว่าตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดของผม ผมจะออกไปเที่ยว เรื่องงานไว้รอให้ผมกลับมาก่อนแล้วกัน” เขาว่าขณะที่มองหาของในบ้าน

“ไม่ใช่ครับ… ไม่ใช่เรื่องงาน” น้ำเสียงของปลายสายดูลังเลใจเล็กน้อย

“ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็รอให้ผมกลับมาก่อน หรือคุณจะรอจนกว่าผมจะไปถึงเมือง D ก็ได้ อีกเดี๋ยวผมจะไปสนามบินแล้ว ไว้เราคุยกันหลังผมลงจากเครื่องแล้วกัน”

“เจ้านายครับ… คือ… ผมว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากเลยนะครับ” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงจริงจัง

“อะไรล่ะ…” เขาขมวดคิ้วมุ่น

“เปิดโทรทัศน์สิครับ เปิดข่าวช่องสิบสามดูแล้วคุณจะเข้าใจครับ”

เขาก้าวไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดโทรทัศน์และเปลี่ยนไปช่องสิบสาม

ผู้ประกาศข่าวปรากฎตัวอยู่บนหน้าจอพร้อมเสียงประกาศข่าวราบเรียบที่ดังขึ้น “จากที่เราได้รับรายงานข่าว พายุทรายขนาดใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบสิบปีได้เกิดขึ้นใกล้เขตรอบนอกเมือง D บ้านเรือนในบริเวณนั้นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จากรายงานพบความเสียหายสาหัสเกิดขึ้นบริเวณทะเลทรายใกล้เขตชายแดน โชคร้ายที่มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังขับรถอยู่ในทะเลทรายในขณะที่เผชิญหน้ากับพายุทราย สมาชิกทั้งห้าคนหายตัวไปในทะเลทราย ยอดผู้เสียชีวิตจนถึงปัจจุบันอยู่ที่สี่ราย และผู้สูญหายสามสิบเจ็ดราย นายกเทศมนตรีเมือง D กำลังมุ่งหน้าที่บริเวณที่ได้รับความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ ติดตามรายงานเพิ่มเติมได้ที่ช่องของเราค่ะ”

เลือดในกายของเขาเย็นยะเยือกพร้อมกับรีโมตในมือที่ร่วงหล่นลงบนพื้น

“เจ้านาย… เจ้านายครับ… ช่วงนี้คุณได้ติดต่อเธอบ้างหรือเปล่าครับ ตอนนี้เธออยู่ในเมือง D จริงๆ เหรอครับ” หลิวจื้อหย่วนได้ยินเพียงความเงียบจากปลายสายอีกฝั่งและรู้ว่าคงมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นแน่

เขารู้ว่าเจ้านายของเขาทะเลาะกับซย่าชิงอีตอนที่เจ้าตัวบอกกับเขาเมื่อเช้า และยังพูดอีกว่าเธอไปพักผ่อนที่เมือง D เขาจึงอยากลาพักและไปรับเธอกลับมา ให้เขาและทนายเหลียวจัดการเรื่องในบริษัทให้

เมื่อได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นในเมือง D ที่ฉายอยู่บนหน้าจอจึงเริ่มกังวลและโทรหาอีกฝ่าย

“เจ้านาย… เจ้านายครับ… คุณฟังอยู่หรือเปล่าครับ” เขาถามขึ้น

“หลิวจื้อหย่วน ผมจะไปเมือง D เดี๋ยวนี้ ถ้ามีอะไรก็รอจนกว่าผมจะกลับมาแล้วกัน”

ในตอนนั้นเองที่หลิวจื้อหย่วนอธิบายน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดังมาจากโทรศัพท์ออกมาไม่ถูก อยู่ๆ น้ำเสียงของปลายสายก็พลันแหบแห้งและพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อได้ยินว่าอีกฝั่งฝืนพูดออกมาเพียงไหนก็ปวดใจขึ้นมา

“แต่ว่า… ตอนนี้มีพายุทรายเกิดขึ้นในเมือง D เส้นทางการจราจรคงถูกปิด คุณจะเข้าไปได้เหรอครับ”

“ผมจะหาทางให้ได้” เขาพูดปิดท้ายและไม่มีอะไรจะเอ่ยกับหลิวจื้อหย่วนอีกก่อนว่าขึ้น “แค่นี้แล้วกันนะ”

หลังจากวางสาย เสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์ยังคงดังขึ้น ท่าทางจริงจังของผู้ประกาศข่าวทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ก่อนเขาจะหยิบรีโมทมาปิดโทรทัศน์

ห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดจนน่ากลัว

ในจังหวะนั้นเองที่เขารู้สึกถึงมือซึ่งถือรีโมทอยู่ของตัวเองที่ยังสั่นระริกไม่หยุด ปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่งและไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา ทั้งที่ภายในใจร้อนรนราวกับไฟลามทุ่ง ร้อนราวกับจะเผาไหม้ความมืดมิดที่รายล้อมรอบกาย กองไฟที่ค่อยๆ ลุกลามมอดไหม้ไปทั่วร่าง

สมองของเขาหยุดทำงาน ภาพตรงหน้าพร่าเลือน บรรยากาศรอบห้องที่เคยอยู่นิ่งเริ่มหมุนวนรอบตัวให้รู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง

ทุกความคิดในสมองหายวับไป รู้เพียงว่าต้องไปเมือง D ไปให้เห็นซย่าชิงอีด้วยตาของตัวเอง

ไม่มีครั้งไหนที่เขาอยากพบหน้าเธอขนาดนี้ เขาไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกนอกจากได้เห็นว่าเธอปลอดภัยดี

เขาก้าวเข้าไปในห้องนอน ไม่หยิบสัมภาระสักใบและทำเพียงคว้าหนังสือเดินทาง บัตรประชาชนของเธอ และกระเป๋าเงินก่อนรีบไปสนามบิน

เที่ยวบินไปเมือง D ถูกยกเลิกเพราะสภาพอากาศ เขาซื้อตั๋วเครื่องบินอีกใบไปเมือง F ที่อยู่ใกล้ๆ และนั่งรถไฟจากเมือง F ไปเมือง D

การเดินทางไปเมือง D ไม่ราบรื่นนัก เขาลงจากเครื่องและรอที่สถานีรถไฟที่เมือง F อยู่ค่อนวันกว่าจะมีรถไฟที่เดินทางไปเมือง D ทั้งหมดใช้เวลาร่วมกว่า 12 ชั่วโมง และเพราะว่าตั๋วนั่งหมดเขาจึงต้องซื้อตั๋วยืนอย่างช่วยไม่ได้ เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ยับย่นไปหมดและติดกลิ่นมาจากรถไฟ เขายืนอยู่ในตู้โดยสารท่ามกลางชายวัยกลางคนใบหน้ามีอายุที่อยู่ในเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่ง และอยู่ด้วยกันอย่างนั้นบนรถไฟที่ส่งเสียงดังตลอดทางที่มุ่งหน้าสู่เมือง D

เมือง D เป็นเมืองเล็กๆ เพราะว่าอยู่ไม่ห่างจากใจกลางของพายุหมุนมากนักจึงไม่ได้รับความเสียหายสักเท่าไร มีเพียงต้นไม้ข้างทางฝั่งด้านตะวันตกที่หักโค่นลงมา เขาไม่ได้สำรวจบนท้องถนนนานนักและใช้เวลาชั่วครู่ในการไปถึงที่พักซึ่งซย่าชิงอีเข้าพัก

ที่พักค่อนข้างมีขนาดเล็กและดูท่าจะเปิดมานานแล้ว ประตูทำมาจากไม้และเหล็กที่ขึ้นสนิม มันถูก

ล็อกจากด้านใน เห็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ตามรายทางมาแต่ไกล

เขาสูดหายใจลึกและยกมือเคาะประตูที่พัก

รอมาครู่ใหญ่หลังจากเคาะไม่กี่ครั้ง ในที่สุดก็มีคนมาเปิดประตูให้เขาเสียที

“พักที่นี่เหรอครับ” คนที่มาเปิดประตูยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าและเอ่ยถามโม่หัน เป็นชายวัยกลางคนซึ่งตัวไม่สูงมาก

“รบกวนถามได้ไหมครับว่ามีแขกที่ชื่อซย่าชิงอีเข้าพักก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ” เขาไม่สามารถควบคุมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกเมื่ออ้าปากถามออกไป

“ซย่าชิงอีหรือ… ดูเหมือนจะมีแขกชื่อนี้อยู่นะ” เจ้าของที่พักเปิดประตูให้เขาเข้ามา เจ้าตัวก้าวมาด้านในพลางเกาศีรษะอย่างครุ่นคิด

อีกฝ่ายเดินไปไม่ไกลก่อนที่อยู่ๆ จะเงยหน้าและหันมามองเขา “ซย่าชิงอี เด็กสาวที่มาจากเมือง S ที่ตาโตๆ และไว้ผมประบ่าใช่ไหม”

มือทั้งสองข้างของเขาที่กำแน่นเข้าด้วยกันเริ่มสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด

เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง

เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ”

เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท