“พอ!”
พระเจ้าฮั่นเลนเต้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง:
“แม่ทัพโฮจิ๋นมีความผิด ต่อต้านราชสำนัก มีโทษปรับสามปีคิดเป็นเหรียญทองม่วงหนึ่งหมื่นเหรียญ!”
ใบหน้าของโฮจิ๋นแข็งทื่อทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
เหรียญทองสีม่วง 10,000 เหรียญและนี่เท่ากับ 100 ล้านทอง แม้ว่าโฮจิ๋นจะนำมันมาได้ แต่จำนวนเงินขนาดนี้ก็มากเกินไป
“ อย่าบอกนะว่าเจ้าทำไม่ได้ หากเจ้าพูดออกมาซักคำ ข้าจะสั่งคนไปค้นบ้านเจ้า!” พระเจ้าฮั่นเลนเต้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ข้าน้อยมิกล้า…ข้าน้อยจะรีบหาทางรวบรวมมาให้เร็วที่สุด…” โฮจิ๋นผงะและโค้งคำนับอย่างเร่งรีบ
เมื่อพระเจ้าฮั่นเลนเต้ได้ยินดังนั้นเขาก็ตะคอกกลับไปว่า: “สามวัน! ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ถ้าเจ้าทำไม่ได้เจ้าก็แค่รอให้บ้านของเจ้าถูกรื้อค้น!”
“ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง!” โฮจิ๋นรีบโค้งคำนับเพื่อตอบกลับ
“ท่านพ่อ ในเมื่อเย่เฉินมาถึงลกเอี๋ยงแล้ว ทำไมท่านไม่พามันพบข้าล่ะ?” พระเจ้าฮั่นเลนเต้ไม่ได้มองไปที่แม่ทัพโฮจิ๋นอีกต่อไป แต่มองตรงไปที่ขันทีเตียวเหยียงและถามอย่างกระตือรือร้น
***(พระเจ้าฮั่นเลนเต้ทรงโปรดปรานขันทีเตียวเหยียงมากจนเรียกว่า พ่อ )
“องค์จักรพรรดิ, นายอำเภอเย่เฉินไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จึงไม่สามารถมาพบท่านได้โดยตรง เขาต้องรอให้องค์จักรพรรดิเรียกเข้าพบเท่านั้น” เตียวเหยียงโค้งคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้ เตียวเหยียงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นแม่ทัพโฮจิ๋นตกใจและโกรธ แต่เขาไม่กล้าที่จะแสดงออกมากเกินไป
ดังนั้นการพูดสิ่งดีๆเกี่ยวกับเย่เฉินก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเช่นกัน
“ตำแหน่งอย่างเป็นทางการอย่างงั้นเหรอ เย่เฉินฆ่าโจรมากกว่า 100,000 คนและเขายังฆ่าทหารม้าอูหวนไป 15,000 นาย เขาเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของอาณาจักรทำไมไม่มีใครกล่าวรายงานเรื่องนี้?” พระเจ้าฮั่นเลนเต้ผงะไปครู่หนึ่งแล้วก็ถามออกมา
“ ฝ่าบาทบางทีขุนนางในฝั่งอิวจิ๋วไม่ต้องการให้นายอำเภอเย่เฉินมีผลงานเทียบเคียงกับพวกเขา หากเป็นเช่นนี้ผู้ต่ำต้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร โปรดยกโทษให้กับผู้ต่ำต้อยด้วย ” เตียวเหยียงกล่าวด้วยท่าทีความเสียใจ
เตียวเหยียงปฏิเสธที่จะพูดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
เพราะขุนนางคนไหนก็ตามต้องการเลื่อนตำแหน่งก็ต้องผ่านมือเขาไปก่อน เจ้ามีผลงานแล้วอย่างไร? ต้องการเป็นข้าราชการหากเจ้าไม่ให้ผลประโยชน์กับข้าเพียงพอ ก็ฝันไปเถอะ!
“ช่างกล้านัก! ใครกันที่ดูแลเมืองหลุนฮุย?” พระเจ้าฮั่นเลนเต้ตะโกนด้วยความโกรธ
“ฝ่าบาท จากผู้ต่ำต้อยได้ตรวจสอบเมื่อคืนนี้ และดูเหมือนว่าจะเป็น กองซุนจ้าน” เตียวเหยียงกล่าวออกมาด้วยเสียงเรียบ
“กองซุนจ้าน” กองซุนจ้านคือใคร แต่ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ต้องผ่านกฤษฎีกา! กองซุนจ้านไม่มีศีลธรรม อิจฉาความสามารถของผู้อื่นและลดตำแหน่งมันเป็นสามัญชน พระเจ้าฮั่นเลนเต้กล่าวโดยไม่คิดมากนัก
“ฝ่าบาท! จะทำแบบนั้นไม่ได้!” จู่ๆแม่ทัพโลติดก็ลุกขึ้นและตะโกนเสียงดัง
“ทำไม!” พระเจ้าฮั่นเลนเต้ถามด้วยความโกรธ
“ ฝ่าบาท แม่ทัพกองซุนจ้านเป็นผู้บัญชาการทหารและไม่มีอำนาจในการจัดการเมืองหลุนฮุย ยิ่งไปกว่านั้นในขณะนี้กบฏอูหวน กำลังลุกขึ้นต่อต้าน และแม่ทัพกองซุนจ้านกำลังนำกองทหารเข้าต่อสู้กับการก่อจลาจลครั้งนี้ ถ้ารีบร้อนถอดยศเขาพรมแดนจะไม่มั่นคง!” แม่ทัพโลติดโค้งคำนับ แล้วก็พูด
“ฝ่าบาท นายอำเภอเย่เฉินนั้นกล้าหาญมาก ทหารม้า 15,000 นายถูกกวาดล้างจนหมด ผู้ต่ำต้อยได้ยินมาว่านายอำเภอเย่เฉินตัดหัวทหารม้าอูหวน 15,000 นาย แต่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ทหารของเขาก็ไม่เป็นอะไรแม้แต่คนเดียว ข้าน้อยขอใคร่ถามทุกคน ใครสามารถทำได้บ้าง! ” เตียวเหยียงเหลือบมองไปที่โลติดแล้วกล่าว
“ด้วยความช่วยเหลือของภูมิประเทศมันสามารถทำได้ แม้ว่าตัวข้าจะไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ในเวลานั้นได้ แต่ข้าก็ยืนยันได้ว่านายอำเภอเย่เฉินจะต้องใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศหากเป็นเช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมทหารของเขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ” โลติดอธิบายด้วยความไม่เต็มใจ
“ เจ้าหุบปากไปซะ! ข้าขอถามพ่อว่าเย่เฉินมีความกล้าพอที่จะนำทัพออกไปปราบกบฏให้ข้าได้หรือไม่?” พระเจ้าฮั่นเลนเต้ตะโกนด้วยความโกรธจากนั้นมองไปยังเตียวเหยียงและถาม
“นี่ … ” เตียวเหยียงรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ หากว่าเย่เฉินทำไม่สำเร็จเขาก็จะต้องได้รับความอับอายเป็นแน่
แต่หากเขาพูดปฏิเสธมันเท่ากับเป็นการตีหน้าตัวเอง
หลังจากความคิดอย่างชั่วครู่ เตียวเหยียงก็กัดฟันและพูดออกมาด้วยความมั่นใจ: “ผู้ต่ำต้อยรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถทำได้ดีกว่ากองซุนจ้าน!”
ในชั่วขณะนั้นเหล่าขุนนางจำนวนมากทั้งฝ่ายพลเรือนฝ่ายการทหารก็แสดงออกถึงการดูถูก
มารดามันเถอะ ข้าก็ได้บอกเจ้าไปหมดแล้ว ทำไมเจ้ายังมาถามว่าจะทำได้หรือไม่ได้
เป็นธรรมดาที่เตียวเหยียงจะรู้สึกถึงการจ้องมองของเหล่าขุนนาง แต่การแสดงออกของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
พระเจ้าฮั่นเลนเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า: “เรียกเย่เฉินมาพบข้าและข้าต้องการจะเห็นสมบัติที่เขานำมาให้ข้า“
“ ข้าน้อยรับทราบแล้ว!” เตียวเหยียงโค้งคำนับจากนั้นมองไปที่ประตูของของศาลและตะโกนด้วยเสียงโหยหวน: “เบิกตัวเย่เฉินแห่งเมืองหลุนฮุยเข้ามาในห้องโถง!”
ขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ประตูโค้งคำนับแล้วรีบวิ่งออกจากวัง
ประตูพระราชวัง
มีเสียง “เอี๊ยดอ๊าด“
เย่เฉินถอนหายใจจากนั้นมองไปที่ประตู
ขันทีรีบออกไปและเมื่อเขาเห็นเย่เฉินเขาจึงถามว่า: “เจ้าคือนายอำเภอเย่เฉินแห่งเมืองหลุนฮุยใช่หรือไม่?”
เย่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นข้าเอง!”
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินขันทีพูด แต่เย่เฉินก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ ตามข้าเข้าไปในวังองค์เหนือหัวมีรับสั่งให้เจ้าเข้าพบ!” หลังจากขันทีพูดจบเขาก็รีบพาเย่เฉินไปที่พระราชวัง
ศาลาว่าการ.
หลังจากที่เย่เฉินมาที่นี่พร้อมกับขันทีเขาก็เดินเข้าไปในห้องโถงคนเดียว
เมื่อเย่เฉินมาที่ห้องโถงใหญ่เขาก็เห็นเหล่าขุนนางมากมาย
เหล่าขุนนางบางคนรู้สึกเกลียดชังแต่ไม่แสดงออกบางคนอยากรู้อยากเห็นบางคนก็ไม่สนใจอะไร
เมื่อเห็นดังนั้นเย่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลยุทธ์ของเขาสำเร็จ … ไม่ต้องกังวลเรื่องตราบาป …
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เย่เฉินก็โค้งคำนับและกล่าวว่า: “ผู้น้อยเย่เฉิน, ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นหมื่นปี
“ช่างเป็นเสาหลักที่ยอดเยี่ยม!” พระเจ้าฮั่นเลนเต้อดไม่ได้ที่จะผงะเมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ของเยาเฉินแล้วจึงพูด
“นายอำเภอเย่เฉิน ไหนละสมบัติที่เจ้าต้องการถวายแก่ฝ่าบาท นำมันออก!” เตียวเหยียงมองไปที่เย่เฉินและพูด
“มันอยู่นี้แล้ว” เย่เฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว หลังจากพูดจบด้วยการเคลื่อนไหวด้วยมือขวากล่องไม้จันทน์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเย่เฉินทันที
“เร็วเข้า! รีบนำมาให้ข้า!” พระเจ้าฮั่นเลนเต้เห็นกล่องไม้จันทน์ในมือของเย่เฉินดวงตาของเขาสว่างขึ้นจากนั้นเขาก็ตะโกน
ขันทีเตียวเหยียงยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง จากนั้นก็รีบเดินลงบันไดมาหาเย่เฉินและรับกล่องไม้จันทน์จากมือของเย่เฉินไป
เพื่อป้องกันอันตรายใดๆ เตียวเหยียงจึงจำเป็นต้องเปิดการตรวจสอบก่อน
ในขณะนี้ห้องโถงที่เดิมทีมืดสลัวก็สว่างไสวราวกับกลางวันความรู้สึกสบาย ๆ ก็ผุดขึ้นมาในใจของทุกคนทันที
เตียวเหยียงยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นไข่มุกราตรีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นของผู้ใหญ่ในกล่อง แต่ท่าทางของเขาก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่เย่เฉินแล้ว เตียวเหยียงถือกล่องไม้จันทน์เดินขึ้นบันได จากนั้นก็ส่งกล่องไม้จันทน์ให้ พระเจ้าฮั่นเลนเต้