“รีบเรียกเขาเข้ามา” ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋พูด สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้วิ่งออกไป
“อวี้เกอคงเดาว่าจิ่นเกอจะออกเดินทางภายในสองสามวันนี้” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “สองวันก่อนที่ภรรยาของอวี้เกอส่งคนนำเม็ดกระจับและเม็ดบัวมาให้เรา ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะส่งของมาให้จิ่นเกอเลย”
พี่น้องควรรักและสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันแล้วกัน
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ
บ่าวรับใช้พาป้ารับใช้สองคนเข้ามา หนึ่งในนั้นคือป้าเซี่ยง ผู้ดูแลหญิงคนสนิทของเซี่ยงซื่อ
ป้ารับใช้ทั้งสองคนย่อเข่าคำนับอย่างนอบน้อม เอ่ยแสดงความยินดีกับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง
“สองวันก่อนพึ่งทราบว่าคุณชายน้อยหกถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว คุณชายน้อยสองปิติยินดีเป็นอย่างมาก ส่งพวกบ่าวเข้ามาเมืองหลวงทันที ในที่สุดก็เข้ามาในเมืองก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเจ้าค่ะ” ป้าเซี่ยงยิ้มพลางใช้มือสองมือถือกล่องที่ห่อด้วยผ้าไหมสีฟ้าขึ้นมา “นี่คือของขวัญออกเดินทางที่คุณชายน้อยสองมอบให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ แล้วยังฝากมาบอกอีกว่า ขอให้คุณชายน้อยหกมีอนาคตที่กว้างไกล เดินทางราบรื่น” จากนั้นก็ถือถุงผ้าขึ้นมา “นี่คือเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงที่คุณนายน้อยสองทำให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ บอกว่ารีบทำ หากมีที่ใดไม่เหมาะสม คุณชายน้อยหกโปรดให้อภัย”
เหลิ่งเซียงเดินไปรับมา สืออีเหนียงบอกให้หันเซี่ยวไปยกเก้าอี้มาให้ป้ารับใช้ทั้งสองคน นั่งพูดคุยกัน ถามถึงเรื่องทั่วไปของครอบครัว
รู้ว่าครอบครัวของสวีซื่ออวี้คุ้นเคยกับชีวิตที่จยาซิ่งแล้ว ในเดือนหกจยาซิ่งมีฝนตกหนัก สวีซื่ออวี้มีความดีความชอบในการป้องกันเขื่อน ข้าหลวงเริ่มให้ความสำคัญกับเขา นางเองก็ดีใจ “ดึกแล้ว วันนี้พวกเจ้าก็นอนที่จวนเถิด พรุ่งนี้เช้าไปคารวะไท่ฮูหยินกับฮูหยินสอง อย่าลืมเล่าเรื่องนี้ให้พวกนางฟัง ให้พวกนางร่วมยินดีด้วย”
ป้ารับใช้ทั้งสองคนยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ออกไปกับเหลิ่งเซียง
สวีลิ่งอี๋ถามถึงสวีซื่อจิ่น “… เหตุใดถึงยังไม่กลับมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
ถึงแม้กระทรวงขุนนางจะให้เวลาสองสามวัน แต่หากยังไม่ออกเดินทาง เกรงว่าจะไปไม่ถึงกุ้ยโจว พรุ่งนี้เช้าหลังจากคารวะบรรพบุรุษแล้ว สวีซื่อจิ่นก็จะเดินทางไปกุ้ยโจวทันที สืออีเหนียงกำลังจะไปดูว่าเตรียมของไปถึงไหนแล้ว ได้ยินเช่นนี้นางจึงถามว่า “ฉังอานบอกว่าวันนี้จิ่นเกอจะไปทานอาหารเย็นกับเว่ยซุ่น คงกลับมาช้าหน่อย ท่านโหวมีอะไรจะคุยกับเขาเจ้าคะ หรือว่าท่านโหวจะไปหาเขาพร้อมกับข้าดีเล่า” นางพูดพลางกำชับให้หันเซี่ยวนำของที่สวีซื่ออวี้สองสามีภรรยานำมาให้ไปด้วย
“ก็ดีเหมือนกัน!” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปที่เรือนชิงหยินจวีกับสืออีเหนียง
อาจินกับสุยเฟิงกำลังเก็บข้าวของ เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง พวกเขาก็รีบเก็บสมุดบัญชีแล้วเดินเข้ามาคำนับ
“ยังเก็บของไม่เสร็จอีกหรือ” สวีลิ่งอี๋ถามขึ้น
“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!” อาจินตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่บ่าวกลัวว่าจะลืมของอะไร จึงตรวจสอบกับสุยเฟิงอีกรอบเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้ อาจินและสุยเฟิงก็ไปกุ้ยโจวกับสวีซื่อจิ่นด้วย
เห็นหีบเหล่านั้น สืออีเหนียงก็ตระหนักขึ้นได้ว่าประเดี๋ยวบุตรชายตัวเองต้องออกไปแล้ว นางพลันรู้สึกเศร้าใจ “ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร!”
สวีลิ่งอี๋ปลอบใจนาง “ตอนนี้เขาเป็นขุนนางระดับสามแล้ว ต้องเข้ามาสอบในเมืองหลวงทุกปี ดีกว่าตอนที่เขาอยู่ที่กองพันผิงอี๋เสียอีก”
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ถอนหายใจ นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋และนางนั่งรอสวีซื่อจิ่นบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง
“วันนี้ซุนโหวผู้เฒ่ามาปรึกษากับข้า อยากให้เฉิงเกอไปกุ้ยโจวกับจิ่นเกอ!”
หากเป็นตัวเอง เกรงว่าก็คงจะเลือกเช่นนี้เหมือนกัน สืออีเหนียงคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว นางพูดเบาๆ “เช่นนั้นให้เซินเกออยู่ที่จวนหรือเจ้าคะ”
“ซุนโหวผู้เฒ่าอยากให้เขาไปสำนักราชการเหอหนาน” สวีลิ่งอี๋พูด “ท่านซุนโหวผู้เฒ่าเคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพกลาง ลูกน้องบางคนยังอยู่ที่เหอหนาน แล้วผู้บัญชาการทหารเหอหนานก็มีมิตรภาพอันดีกับข้า…ให้เขาไปฝึกฝนสักสองสามปี เรียนรู้ความสามารถที่แท้จริง จากนั้นค่อยไปค่ายใหญ่ซีซาน”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
สวีลิ่งควนสองสามีภรรยามาพอดี
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงหันมามองหน้ากัน
“เกรงว่าคงมาเพราะเรื่องของเฉิงเกอ!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ออกไปห้องโถงกับสืออีเหนียง
“คิดไม่ถึงว่าพี่สี่กับพี่สะใภ้สี่จะอยู่ที่นี่ด้วย!” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วทักทายพี่ชายกับพี่สะใภ้ของตัวเอง ทุกคนนั่งลง อาจินพาสาวใช้น้อยยกของว่างและน้ำชาเข้ามา ฮูหยินห้าถามถึงสวีซื่อจิ่นอย่างอ้อมค้อม “ทำไมไม่อยู่ที่เรือน บอกว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาอีกครั้ง
ฮูหยินห้ายังอยากจะถามอะไรต่ออีก แต่สวีลิ่งควนกลับคิดว่าพี่น้องไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ ไม่รอให้ฮูหยินห้าพูด เขาก็พูดจุดประสงค์ที่มาของตัวเองกับสวีลิ่งอี๋อย่างตรงไปตรงมา “…เฉิงเกอนั้นสู้เซินเกอไม่ได้ ปีนี้เขาอายุเพียงสิบสองปี ถึงแม้จะอยู่ลานนนอก แต่ก็มักจะวิ่งเข้ามาลานในบ่อยๆ จิ่นเกอพึ่งจะรับตำแหน่งใหม่ มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย คงไม่มีเวลาดูแลเฉิงเกอทุกวัน ข้าคิดว่า ไม่สู้ผ่านเทศกาลตรุษจีนไปแล้วค่อยให้เฉิงเกอออกไป เช่นนี้ จิ่นเกอจะได้จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย เฉิงเกอจะได้มีเวลาเตรียมตัว เราก็จะได้จัดการเรื่องของเซินเกอให้เรียบร้อยเช่นกัน”
แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋ต้องตอบตกลง
ฮูหยินห้าถอนหายใจ “…คนรุ่นก่อนบอกเอาไว้ว่า ทุกข์คือชีวิต สุขก็คือชีวิต สวรรค์ได้ลิขิตไว้หมดแล้ว เด็กสองคนนี้ ให้เดินบนถนนใหญ่ไม่เดิน แต่กลับจะไปปีนเขา ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครอง อย่าให้พวกเขาลำบากอย่างเปล่าประโยชน์!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความเอือมระอา ปนหดหู่และโศกเศร้า
สืออีเหนียงนึกถึงตอนนั้นที่ตัวเองและสวีลิ่งอี๋ลังเลเรื่องอนาคตของจิ่นเกอ เหมือนความรู้สึกตอนนี้ของฮูหยินห้าเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยปลอบใจฮูหยินห้าว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้น ข้าเองก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าลูกๆ จะโตขึ้นทุกวัน ไม่เพียงแต่สามารถดูแลตัวเอง แล้วยังสามารถดูแลคนในครอบครัวได้ ข้ารู้สึกว่ามันคือความโชคดี โชคดีที่ตอนนั้นข้าตัดสินใจเช่นนั้น น้องสะใภ้ห้าไม่ต้องห่วง เซินเกอกับเฉิงเกอล้วนแต่เป็นเด็กฉลาด ออกไปเรียนรู้ข้างนอก ต่อไปพวกเขาก็จะรู้ความมากขึ้นเรื่อยๆ มีความสามารถมากขึ้นไปอีก”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ฮูหยินห้าพยักหน้าด้วยสีหน้าที่มีความหวัง “เฉิงเกอยังต้องให้จิ่นเกอคอยแนะนำ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ฟังออกว่านี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของนาง
สืออีเหนียงทอดถอนใจ
ฮูหยินห้าเป็นคนเย่อหยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเรื่องของบุตรชายตัวเอง เกรงว่านางคงไม่ยอมทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามารดาทุกคนล้วนแต่เหมือนกัน!
แต่สวีลิ่งควนกลับคิดว่าฮูหยินห้าวิตกกังวลเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบรับ เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “จิ่นเกอเป็นพี่ชาย เขาต้องแนะนำเฉิงเกออยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระพวกนี้”
ฮูหยินห้าไม่พอใจ
สืออีเหนียงกลัวพวกเขาสองคนจะทะเลาะกันที่นี่ เลยรีบพูดกับสวีลิ่งควนด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้คุณชายห้าว่างหรือไม่ หากไม่มีเรื่องอันใด ท่านโหวอยากเชิญไปส่งจิ่นเกอ!”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าบุตรชายตัวเองสามารถจับตัวตั่วเหยียนกลับมาได้ ไปกุ้ยโจวเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเขาก็กลับมาแล้ว ตนเลยไม่ได้คิดจะไปส่งบุตรชายตัวเอง เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ เขาก็เหลือบมองสืออีเหนียง
เดิมทีพรุ่งนี้สวีลิ่งควนต้องไปเฝ้ายาม แม่ทัพองครักษ์วังหลวงรู้ว่าหลานชายของเขาถูกเเต่งตั้งเป็นอู่จิ้นปั๋ว ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวจึงให้เขาหยุดวันหนึ่ง บอกให้เขาจัดการเรื่องเล็กน้อยในครอบครัว
เขาดีใจเป็นอย่างมาก คิดว่าพี่สะใภ้ให้ความสำคัญกับตัวเอง ต้องรู้ว่า ตอนนี้สวีซื่อจิ่นคือขุนนางระดับสาม เป็นขุนนางใหญ่ ไปส่งเขาในฐานะผู้อาวุโส ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าตัวเองหรือต่ำกว่าตัวเอง ก็ต้องคำนับคารวะเขา ทำอะไรตามสีหน้าของเขา แค่คิดก็ทำให้เขารู้สึกพอใจ
“ข้าว่างขอรับ” ไม่ได้สังเกตท่าทางของสวีลิ่งอี๋ เขายิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ยามเหม่าข้าจะตื่นไปศาลบรรพชนกับจิ่นเกอ”
สวีลิ่งอี๋เห็นสวีลิ่งควนดีอกดีใจเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เขาจึงใจอ่อน
หากน้องห้ามีคนคอยแนะนำ บางทีเขาอาจสร้างความดีความชอบได้ก็ได้
เขาเลยตามใจสวีลิ่งควนมากกว่าปกติ ยิ้มแล้วหยอกล้อสวีลิ่งควน “ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าหลับจนลืมตื่นก็แล้วกัน!”
“ไม่มีทางขอรับ!” สวีลิ่งควนเห็นพี่ชายตัวเองพูดจาหยอกเย้า สีหน้าของเขาพลันมีความตื่นเต้นปรากฏขึ้นมา “ถึงแม้เรื่องสำคัญข้าจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าไม่เคยทำพลาด”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
บรรยากาศไม่เพียงครึกครื้นแต่ยังกลมเกลียว
“โตขนาดนี้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วบ่นสวีลิ่งควน
สวีซื่อจิ่นกลับมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้น” เขาดื่มมากไปหน่อย จับหัวตัวเองแล้วพูด “วันนี้ข้าออกไปตั้งแต่เช้า ไม่ได้ทำอะไรนะขอรับ!”
ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง
ฮูหยินห้าเดินเข้าไปจับมือสวีซื่อจิ่นแล้วพูดกับสืออีเหนียง “ที่นี่คือบ้าน พูดออกไปใครจะเชื่อเล่าว่าใต้เท้าจิ่น ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวเป็นเช่นนี้!” จากนั้นก็เรียกอาจินรีบชงชาเข้ามาให้สวีซื่อจิ่นดื่มให้สร่างเมา แล้วเล่าจุดประสงค์ที่มาให้สวีซื่อจิ่นฟัง
สวีซื่อจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดว่า “ขอแค่น้องเจ็ดกับน้องแปดต้องการข้า บอกข้าแค่คำเดียวก็พอขอรับ!”
ฮูหยินห้าพอใจกับท่าทีของเขาเป็นอย่างมาก นางยิ้มแล้วพยักหน้า เมื่อสวีซื่อจิ่นดื่มชาเสร็จ ทุกคนก็พากันไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไว้ตั้งนานแล้ว นางบอกให้ลู่จูไปยกเข้ามา
สวีซื่อจิ่นดื่มชาไปจนเต็มท้องแล้ว ตอนนี้ยังมีน้ำแกงชามใหญ่อีก กว่าจะทานจนหมดเลยใช้เวลาตั้งนาน
ไท่ฮูหยินจับมือเขาพลางเอาแต่ถามว่ามีใครไปส่งเขาบ้าง แล้วจะกลับมาเมื่อไร สวีซื่อจิ่นค่อยๆ ตอบทีละคำถาม
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าตอนนี้ดึกแล้ว จึงแนะนำให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือน
ไท่ฮูหยินมองดูจิ่นเกอที่สง่างามภายใต้แสงไฟ คิดว่าพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปสถานที่ที่ยากลำบากเช่นนั้น แล้วยังไม่มีสตรีคอยรับใช้ ยามที่นางพูดเรื่องนี้กับสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็มักจะบอกว่าศิลปะการต่อสู้ของเขายังไม่ดีพอ ให้รอไปก่อน นางจึงไม่สบายใจ “วันนี้เจ้านอนที่เรือนของข้าเถิด ข้าจะได้พูดคุยกับเจ้า”
สวีซื่อจิ่นมองดูท่านย่าที่ดูแก่ลงเป็นสิบปีก็รู้สึกเศร้าใจ แสร้งทำเป็นดีใจแล้วโอบไหล่ไท่ฮูหยิน “ข้าอยากคุยกับท่านย่า แต่กลัวว่าท่านพ่อจะห้าม…”
“เขาไม่กล้าหรอก!” ไท่ฮูหยินจับจ้องสวีลิ่งอี๋ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
สวีลิ่งอี๋เห็นบุตรชายตัวเองหยอกล้อไท่ฮูหยิน ในใจก็รู้สึกปลื้มปริ่มจะเอ่ยปากห้ามได้ที่ไหนกัน แต่แสร้งทำเป็นเอือมระอาแล้วลุกขึ้นขอตัวลา
ไท่ฮูหยินหัวเราะอย่างมีความสุข นางกระซิบกับสวีซื่อจิ่น “เจ้าไม่ต้องกลัว หากเขากล้าว่าอะไรเจ้า เจ้าก็มาฟ้องข้า ข้าจะลงโทษเขาไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน!”
“ได้เลยขอรับ!” สวีซื่อจิ่นหัวเราะ คิดว่าจะหาโอกาสฟ้องท่านพ่อต่อหน้าท่านย่าอีกดีหรือไม่…
สืออีเหนียงที่กลับมาถึงเรือน บอกให้เหลิ่งเซียงตักน้ำอุ่นเข้ามาแช่เท้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย
สวีลิ่งอี๋ไล่สาวใช้ออกไป จากนั้นก็ยกเก้าอี้มานั่งนวดเท้าให้นางข้างๆ
“เป็นอะไรหรือไม่ ข้าเห็นเท้าของเจ้าบวม!”
“จริงหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงบอกให้สวีลิ่งอี๋ย้ายตะเกียงมา มองดูอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ “ท่านตาลายหรือไม่!”
สวีลิ่งอี๋พูดเป็นนัย “พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปส่งจิ่นเกอแล้ว เขาใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์!”
สีหน้าของสืออีเหนียงพลันแข็งทื่อ
“ทำไมหรือ” สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสายตาเป็นห่วง
“ข้า ข้ายังไม่ได้บอกเขาเจ้าค่ะ…” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ยังหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้…” แต่ที่จริงแล้วนางเขินอายต่างหาก
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
“พรุ่งนี้จิ่นเกอไปคารวะบรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน ท่านก็บอกเขาเถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋
ให้ข้าบอกเขา?
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนเป็นแม่ไม่ใช่หรือ
สวีลิ่งอี๋ตอบรับอย่างกระอักกระอ่วน