“พวกเจ้ามีคนพอแล้วก็จริง แต่กลุ่มของเจ้าคงเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้” หนีหู่หันกลับไปมองสมาชิกในกลุ่มตัวเอง แล้วหัวเราะขึ้น จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “มองดูรอบๆ ให้ดีสิ แต่ละตระกูลมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นตัวแทนอย่างน้อยก็สิบคน พี่อวิ๋น เจ้ามีกันแค่สามคน ช่างแปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แม้จะเป็นประมุขของตระกูล แต่จูเก่ออวิ๋นก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
แต่นั่นไม่ใช่กับเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย โดยเฉพาะกับนาง นางยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านพร้อมกับบอกว่า “เจ้าคิดว่ากลุ่มตัวเองมีคนมากกว่าแล้วจะได้เปรียบหรือ ข้าจำได้ว่าเมื่อวันก่อนนายน้อยหนีเพิ่งยกคนทั้งโขยงไปก่อเรื่องที่จวนตระกูลจูเก่อ แต่ดันถูกอัดจนน่วมกลับมาเสียเองนี่ จะว่าไปภาพนั้นก็จัดว่าแปลกใหม่ไม่แพ้กัน เจ้าอุตส่าห์ขนคนไปตั้งเยอะแต่กลับไม่สามารถเอาชนะคนน้อยกว่าได้ ฮ่าๆ นายน้อยหนี เจ้าอ่อนแอถึงเพียงไหนกัน”
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที!
ใบหน้าของหนีหู่ก็พลันดำทะมึน
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างหลังเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้รายละเอียดของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้พวกเขารู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา
หนีหู่ไม่เคยต้องรู้สึกอับอายขายหน้ามากถึงเพียงนี้ เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างฉุนเฉียวแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน แต่ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้ว่าเจ้าไม่ควรยั่วโมโหข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้ชดใช้แน่!”
“โอ้?” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอย่างซุกซน จากนั้นจึงยกมือขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ผู้ตัดสิน”
ในสนามแข่งขันมีผู้ตัดสินอยู่หลายคน แม้พวกเขาจะอยู่ที่นี่กันแค่พอเป็นพิธี แต่ก็ต้องมีผู้ตัดสินอย่างน้อยสี่คนคอยควบคุมดูแลการแข่งขันนี้
ตอนแรกทุกคนเห็นพวกเขาเป็นเพียงแค่ของประกอบฉาก แต่เสียงเรียกของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดึงความสนใจของทุกคนได้ทันที
ผู้ตัดสินที่มีตำแหน่งแต่เพียงในนามไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินเข้ามา แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“นายน้อยหนีหู่จากตระกูลหนีใช้ฐานะทางตระกูลของตัวเองมาข่มขู่และคุกคามผู้แข่งขันคนอื่น ท่านจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยเสียงเบา แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินนางอย่างชัดเจน
หนีเปียวเองก็อยู่ที่นี่ ขณะที่คนอื่นๆ ยืนอยู่นั้น ประมุขทุกคนจากตระกูลสาขาใหญ่ต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ พวกเขาจะยืนขึ้นก็ต่อเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้วเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็กำถ้วยชาในมือแน่นพร้อมกับค่อยๆ หรี่ตาลงช้าๆ
ผู้ตัดสินขมวดคิ้ว เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเห็นนางเป็นตัวตลก เขาสงสัยว่าคนคนนี้ต้องโง่เขลาถึงเพียงใดกันแน่ นางกำลังถามข้าอยู่จริงๆ หรือว่านายน้อยหนีควรจะได้รับโทษอย่างไร สมองของนางมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
หนีหู่หัวเราะแล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเห็นเป็นเรื่องตลก แล้วเย้ยหยันว่า “จัดการข้าหรือ เจ้าควรสำนึกในบุญคุณของข้าด้วยซ้ำที่ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้ารีบไสหัวไปจากที่นี่หรือสั่งให้คนอัดเจ้าจนปางตายเสียก่อน!”
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับใจเย็นอย่างมาก นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อะไรกัน แค่เพราะตระกูลหนีมีอิทธิพล พวกเขาจึงไม่ถูกลงโทษเมื่อกระทำความผิดหรือ เรื่องนี้นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับข้าจริงๆ สรุปก็คือตระกูลหนีที่ภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงการทำโดยผิวเผินหรอกหรือ ความจริงแล้วพวกเขาสามารถกลั่นแกล้งคนอื่นได้ตามอำเภอใจเช่นนี้นี่เอง ช่างตบตาประชาชนได้เก่งเสียจริง!”
ความคิดเห็นของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองที่มาที่นี่เพื่อการแข่งขันนี้เริ่มตัดสินในบุคลิกของเขา สายตาที่พวกเขาจ้องมองหนีหู่เริ่มมีความสงสัยเกิดขึ้น
พวกเขาไม่รู้ว่าตระกูลสาขาใหญ่ทั้งสามตระกูลร่วมมือกันเพื่อจะขับไล่ตระกูลจูเก่อ พวกเขาเองก็เคยคิดว่าตระกูลหนีเป็นความภาคภูมิใจของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเดินทางจากต่างเมืองมาจนถึงที่นี่
แต่ตอนนี้…
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมองหน้ากัน จากนั้นจึงหันไปมองทางหนีเปียว
ใบหน้าของหนีเปียวดำคล้ำ ทีแรกตอนที่เขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าหนีหู่คงจะไปหาเรื่องตระกูลจูเก่อเข้า แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจ แต่เขาสงสัยนักว่าคนคนนั้นมาจากไหน และสามารถต้อนบุตรชายของเขาให้จนมุมด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร
ตอนนี้เขาต้องออกมาอธิบายให้ทุกคนฟัง ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์ของตระกูลหนีที่ได้รับการรักษามาเป็นอย่างดีจะต้องแปดเปื้อน
หนีเปียวต้องการใช้พระสรีระเพื่อปกครองเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาโดยตลอด แต่เขาต้องเรียกความเชื่อใจจากทุกคนเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้รับตำแหน่งอันทรงอำนาจนี้ในภายภาคหน้า
เมื่อเห็นสายตาคาดเดาอันรุนแรงจากผู้คนโดยรอบ หนีเปียวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลุกขึ้นยืน
“อาจารย์หนี” ทุกคนหลีกทางให้เขาโดยสมัครใจ
หนีเปียวเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาดูเหมือนชายสูงวัยผู้รอบรู้ระหว่างที่เอ่ยว่า “หู่จื่อ ถ้าเจ้าทำอะไรผิดเจ้าก็ต้องขอโทษ ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเจ้าควรเปลี่ยนนิสัยใจร้อนของตัวเองเสีย!”
หนีหู่ตกตะลึง เขานึกไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อจะเดินเข้ามาดุเขา แต่ต่อให้เขาจะเป็นคนหัวรั้นเพียงใด เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นบิดา เขาจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างดุร้าย แล้วกัดฟันบอกกับนางว่า “เจ้า แล้วก็เจ้า คอยดูก็แล้วกัน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถูกชี้นิ้วใส่ได้รับความสนใจอย่างมากตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเขายังคงเย็นชาขณะที่เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ส่งผลให้คุณหนูจำนวนมากตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดของเขา
อย่างไรก็มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถสวมเสื้อคลุมของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้สง่างามถึงเพียงนี้
ยิ่งกว่านั้น บรรยากาศราวกับผู้ทรงศีลที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ยังยากที่จะมองข้ามได้
เมื่อหนีเปียวสังเกตเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ความชั่วร้ายในหัวใจของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จากนั้นสายตาของเขาก็ดำทะมึนเมื่อหันไปมองใบหน้าเกียจคร้านแต่งดงามของเฮ่อเหลียนเวยเวย
การตำหนิบุตรชายตัวเองต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้นับว่าเป็นการทำให้ตระกูลหนีต้องเสียหน้า
แน่นอนว่าเขารู้เรื่องสองคนนี้อยู่แล้ว อีกทั้งยังได้ทำการตรวจสอบพวกเขามาแล้วอีกด้วย
หนึ่งในนั้นไม่มีพลังวิญญาณ แต่อีกคนหนึ่งเก่งกาจอย่างมาก และต้องจับตาดูเอาไว้ให้ดี
อย่างไรก็ตาม ทักษะไร้ประโยชน์เหล่านี้ก็ทำให้พวกเขากล้าเล่นกับไฟด้วยการทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้
ทุกคนต่างก็พูดกันว่าหนีเปียวเป็นคนจิตใจกว้างขวาง แต่ไม่มีใครเจ้าคิดเจ้าแค้นไปกว่าเขา หลังจากได้เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ความคิดที่อยากจะให้ทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้าเขาให้ได้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้ทำไมท่านถึงพูดกับข้าเช่นนั้นล่ะขอรับ” ต่างจากหนีเปียว หนีหู่ไม่สามารถซ่อนโทสะของตัวเองได้ หลังจากกลับมาถึงพื้นที่ที่เป็นของตระกูลหนี เขาก็เอ่ยความคับข้องใจออกมาทันที
หนีเปียวมองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เจ้าคิดว่าพ่อไม่อยากสอนบทเรียนให้สองคนนั้นหรือ ถ้าพ่อไม่ก้าวออกไป คำพูดของนางจะต้องทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองตั้งคำถามกับชื่อเสียงของตระกูลเราอย่างแน่นอน หู่จื่อ เจ้าต้องมองโลกให้กว้างขึ้นเวลารับมือกับสิ่งต่างๆ มีวิธีอื่นอีกมากมายในการจัดการกับพวกเขา เราจะให้พวกเขาใช้เส้นทางที่อันตรายที่สุดที่มุ่งสู่สุสานหลวง ในไม่ช้าพวกเขาจะได้รู้ว่าหากเสียมารยาทกับตระกูลหนีแล้วจะเป็นอย่างไร!”
“ข้าไม่อยากให้พวกมันตายง่ายๆ ขอรับ” หนีหู่กำมือเข้าหากันแน่น แล้วเอ่ยอย่างชั่วร้ายว่า “จูเก่ออวิ๋นกับเจ้าสองคนนั่น ข้าต้องทำให้พวกมันเสียใจที่มาหาเรื่องกับข้า!”
หนีเปียวเจ้าเล่ห์ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะส่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอีกสองคนสะกดรอยตามพวกเขาไป พวกเขาฝีมือย่ำแย่ถึงเพียงนั้น ก้าวออกไปแค่สองก้าวก็คงถูกปีศาจในป่ากระโจนใส่แล้วกระมัง…”