ตอนที่ 739 รับเงินโครงการ
หลินม่ายโพล่งออกไปทันที “ทำไมถึงกลับมาที่เมืองเจียงเฉิงล่ะ? ฉันประหลาดใจมากเลยตอนที่ได้ยิน!”
ครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับเฉินเฟิง เธอไม่คิดว่าสามีภรรยาคู่นี้จะกลับมาเมืองเจียงเฉิงเพื่อมาพบเธออีก
เฉินเฟิงรับของในมือหลินม่ายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเราต้องกลับบ้านช่วงปีใหม่ จึงได้เดินทางกลับมา”
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลินม่ายได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของเฉินเฟิงในฮ่องกง
ครั้งแรกคือตอนที่เธอกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของเมืองเจียงเฉิงและได้พบกับจ้าวเลี่ยง
จ้าวเลี่ยงบอกเธอว่าเฉินเฟิงติดธุระอยู่ในฮ่องกงและไม่สามารถกลับมายังเมืองเฉิงเฟิงสักระยะ
หลินม่ายเดาว่าต้องเป็นเรื่องส่วนตัวของเฉินเฟิง
ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจ เขาคงบอกเธอไปแล้ว
เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว หลินม่ายจึงไม่คิดก้าวก่ายถามออกไป
เธอถามว่า “ปีนี้นายจะฉลองวันปีใหม่ที่เมืองเจียงเฉิงสินะ?”
“เปล่าหรอก” เฉินเฟิงตอบ “จื่อฉิงอยากกลับกว่างโจวในช่วงปีใหม่ แต่หล่อนอยากเจอเธอก่อน เราจึงเดินทางกลับเมืองเจียงเฉิงเพื่อพบเธอ วันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ เราจะบินไปกว่างโจวเพื่อฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ พี่ชาย แล้วก็พี่สะใภ้ของหล่อน”
หลินม่ายมองท้องใหญ่ของเคอจื่อฉิง ก่อนเดินเข้าไปในบ้านโดยประคองแขนของอีกฝ่าย
เธออดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความไม่พอใจ “จะมาทักทายฉันทำไมกัน? ตอนนี้ท้องใหญ่มากแล้ว ยังจะเอาแต่ใจวิ่งไปวิ่งมาอยู่อีก หลังจากที่เธอคลอดและพักฟื้นแล้ว เราจะพบกันสักกี่ครั้งก็ได้ ทำไมถึงต้องบินมาถึงเมืองเจียงเฉิงเพื่อพบฉันตอนนี้ คราวหน้าฉันไม่อนุญาตให้เธอทำแบบนี้แล้วนะ!”
เคอจื่อฉิงหัวร่อต่อกระซิกและสัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไป
เธอเห็นเฉินเฟิงยื่นสิ่งของที่หลินม่ายนำมาให้แก่พี่เลี้ยง จึงพูดว่า “เธอกลัวว่าฉันจะไม่มีไข่และเนื้อไก่กินหรือยังไง? ทุกวันนี้เฉินเฟิงขอให้พี่เลี้ยงทำซุปไก่หรือซุปนกให้ฉันกิน แล้วยังมีซุปอื่นแทบทุกชนิดที่บำรุงร่างกาย เธอเห็นไหมว่าฉันน้ำหนักขึ้นมากแล้ว ยังจะเอาของกินมาให้ฉันมากมายอีก!”
หลินม่ายมองสำรวจอีกฝ่าย “อะไรกัน ไม่เห็นว่าเธอจะอ้วนขึ้นเลยนะ”
ในความจริงน้ำหนักตัวเคอจื่อฉิงเพิ่มขึ้น แต่รูปร่างหล่อนเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย
หลินม่ายบอกอีกฝ่ายว่าไม่อ้วน และกลัวว่าอีกฝ่ายจะกินไม่พอด้วยซ้ำ
หลินม่ายกล่าว “ฉันไม่ได้นำมาแค่ไข่และแม่ไก่แก่เท่านั้น แต่ยังนำสตรอว์เบอร์รีมาด้วยนะ”
เมื่อเคอจื่อฉิงได้ยินว่าหญิงสาวนำสตรอว์เบอร์รีมาด้วย หล่อนก็ตอบรับอย่างมีความสุขและขอให้พี่เลี้ยงนำไปล้างเพื่อใส่จานมาเสิร์ฟ
เฉินเฟิงรีบย้ำพี่เลี้ยงให้ล้างสตรอว์เบอร์รีด้วยน้ำอุ่น
ถ้าล้างน้ำเย็น เขากลัวว่าเคอจื่อฉิงจะท้องเสียหลังจากกินเข้าไป
หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรท้องเสีย เพราะอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงใส่ใจภรรยาถึงขนาดนี้ หลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้ม
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องและนั่งลงบนโซฟา
หลินม่ายยื่นมือออกไปลูบท้องใหญ่ของเคอจื่อฉิงอย่างระมัดระวัง “ท้องใหญ่มากแล้ว เด็กกำลังจะคลอดแล้วสินะ”
“อื้อ!” เคอจื่อฉิงลูบท้องของตัวเองพลางกล่าวอย่างมีความสุข “กำหนดคลอดคือเดือนมีนาคม เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้ว”
ขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เฉินเฟิงปอกแอปเปิลและนำมาให้เคอจื่อฉิง
บังเอิญที่เป็นเวลาเดียวกับพี่เลี้ยงล้างสตรอว์เบอร์รีเสร็จ เขาจึงนำผลไม้ทั้งหมดมาวางบนโต๊ะรับแขก
เคอจื่อฉิงให้แอปเปิลที่เฉินเฟิงปอกกับหลินม่าย ส่วนหล่อนกินสตรอว์เบอร์รีอย่างเอร็ดอร่อย
ในเวลานั้น โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น เฉินเฟิงจึงลุกไปรับสาย
เสียงตื่นตระหนกดังออกจากโทรศัพท์ “ประธานเฉิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ทันทีที่หลินม่ายได้ยิน เธอรู้ได้ทันทีว่าสายนั้นมาจากเจ้าหน้าที่ประจำการในฮ่องกง
เฉินเฟิงตอบกลับเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เขาฟื้นคืนความสุขุมตามปกติได้อย่างรวดเร็ว
มือข้างหนึ่งเลื่อนมาบังหูโทรศัพท์ ราวกับกลัวว่าคนรอบข้างจะได้ยินเสียงจากสายนั้น
แม้หลินม่ายจะไม่ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์อีกต่อไป แต่เธอเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเฉินเฟิง
เนื่องจากเฉินเฟิงไม่ต้องการให้เธอรู้เรื่องราวจากปลายสาย ดังนั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เธอกินแอปเปิลในจานต่อไป
เคอจื่อฉิงที่กินสตรอว์เบอร์รีอย่างเอร็ดอร่อย พลันเงยหน้าขึ้นถามเฉินเฟิง “สายจากฮ่องกงหรือคะ?”
เฉินเฟิงพยักหน้า
เคอจื่อฉิงยังหยิบสตรอว์เบอร์รีเข้าปาก “มีอะไรหรือเปล่าคะ พวกเขาถึงต่อสายมาถึงที่นี่ หรือว่าลูกน้องของคุณจะไม่อยากให้คุณกลับมา ทันทีที่คุณบินกลับ พวกเขาไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ มีเรื่องสำคัญอะไรที่คุณต้องบินกลับไปจัดการไหมคะ?”
เฉินเฟิงกล่าวคำเบา “ปัญหาได้รับการแก้ไขทางโทรศัพท์แล้ว”
เคอจื่อฉิงได้ยินคำนั้นก็มั่นใจ ก่อนตั้งหน้าตั้งตากินสตรอว์เบอร์รีต่อ
หลังจากที่หลินม่ายกินแอปเปิลจนหมด เธอจึงขอตัวลาและจากไป
เคอจื่อฉิงจับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย “ฉันขอให้พี่เลี้ยงเคี่ยวซุปไก่ไว้แล้ว เธอกินซุปไก่ก่อนไปไม่ได้เหรอ”
หลินม่ายยกข้อมือดูนาฬิกา “ไม่ได้หรอก ฉันมีนัดสำคัญที่ต้องไปเดี๋ยวนี้”
เคอจื่อฉิงกล่าวคำอย่างยืนกราน “ถ้าผ่านบ้านฉันหลังจากทำธุระเสร็จแล้ว เธอต้องมาหาที่บ้านเพื่อกินซุปไก่ด้วยกันสักชามนะ”
หลินม่ายรับคำ ทำให้เคอจื่อฉิงยอมปล่อยเธอไป
หลังจากออกจากบ้านของเฉินเฟิงแล้ว หลินม่ายนั่งแท็กซี่ไปยังสำนักงานของนายกเทศมนตรีวัง
คราวนี้ลุงยามเฝ้าประตูไม่กล่าวห้ามเธอ แต่ยังปฏิบัติกับเธอด้วยความเคารพ
ทันทีที่หลินม่ายเข้าไปยังศาลากลาง คนเฝ้าประตูเข้าไปรายงานนายกเทศมนตรีวังอย่างตื่นเต้น โดยบอกเขาว่าหลินม่ายมาถึงแล้ว
นายกเทศมนตรีวังรีบจัดแจงเสื้อผ้าและสีหน้าของตัวเอง เขาไม่ต้องการให้หลินม่ายเห็นว่าเขาวิตกกังวลมากแค่ไหน
เขากลัวว่าเธอจะลอบหัวเราะเยาะ และกลัวอย่างยิ่งว่าเธอจะรู้ว่าคือคนอ่อนแอ หลังจากคิดแบบนั้น เขาจึงฟื้นคืนความสุขุมกลับคืนมาก
เมื่อหลินม่ายเดินเข้าไปในสำนักงาน นายกเทศมนตรีวังแต่งกายเรียบร้อย สีหน้าไร้ความกังวล และดูสุขุมมาก
เมื่อเห็นหลินม่าย เขาจึงกล่าวเชิญเธอนั่งลง
เลขานุการคนสนิทยกน้ำชามาเสิร์ฟทันที
นายกเทศมนตรีวังพูดเป็นนัยด้วยรอยยิ้ม “ช่วงสองถึงสามวันนี้ประธานหลินไปไหนมาหรือครับ ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย”
หลินม่ายยิ้มกล่าว “ฉันไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ แค่ไปจัดการเรื่องส่วนตัวบางอย่าง”
เธอไม่ได้โกหก เพียงพูดออกไปไม่ชัดเจน และปล่อยให้นายกเทศมนตรีวังคิดเอาเอง
ส่วนเขาจะคิดผิดหรือไม่ อย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย
หลังจากได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนนัก นายกเทศมนตรีวังสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีกว่าเธอไปซิงเฉิงในช่วงสองวันที่ผ่านมา
เขาหัวเราะและพูดอีกครั้ง “ที่ผมเรียกคุณมาหาในครั้งนี้ เพราะผมต้องการจ่ายเงินค่าโครงการที่โรงงานอุตสาหกรรมเบาติดหนี้”
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นเช็คเงินสดให้หลินม่าย
หลินม่ายรับเช็คเงินสดมาดูจำนวนเงิน
เธอยิ้มพลางกล่าวเย้ยหยัน “โรงงานอุตสาหกรรมเบามีเงินจ่ายค่าโครงการ แล้วเหตุใดต้องบ่ายเบี่ยงยืดเยื้อไม่จ่าย เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องจ่ายฉันอยู่ดี!”
นายกเทศมนตรีวังใช้โอกาสนี้ทวงเครดิตของตัวเอง “ถ้าคุณคิดว่าเงินจำนวนนี้มาจากโรงงานอุตสาหกรรมเบา คุณคิดผิดมหันต์
ผมเป็นคนรายงานต่อผู้ว่าและโน้มน้าวใจเขา ทำให้ผู้ว่าอนุมัติเงินจำนวนนี้มาจ่ายค่าโครงการของคุณ”
หลินม่ายขอบคุณเขาอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก
หากผู้นำเมืองเหล่านี้ไม่ได้ถูกเธอกดดันจนไร้หนทาง พวกเขาคงไม่มีวันจ่ายเงินค่าโครงการสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเบา
หลินม่ายกล่าว “รัฐวิสาหกิจนี่ดีจริงๆ เป็นเหมือนลูกรักของรัฐบาล ถ้ารัฐวิสาหกิจเดือดร้อน รัฐบาลจะจัดการให้แน่นอน บริษัทเอกชนของเราช่างน่าสมเพช เราต้องพึ่งพาตัวเองทุกย่างก้าว”
นายกเทศมนตรีวังเข้าใจความหมายแฝงในถ้อยคำของเธอ เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย
เขาเดินไปหาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานหลิน ดูสิ คุณก็ได้รับทุนโครงการหลายแสนคืนแล้ว เช่นนั้นคุณจะยกเลิกย้ายฐานบริษัทไปเมืองซิงเฉิงได้หรือไม่?”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่นานด้วยสีหน้าลำบากใจ “ฉันได้เซ็นสัญญากับนักธุรกิจชาวฮ่องกงแซ่หยวนไปแล้ว ถ้าฉันผิดสัญญา ฉันคงต้องจ่ายค่าเสียหายให้เขา”
เธอและเฉินเฟิงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้กับนักธุรกิจชาวฮ่องกง ซึ่งเขาได้เดินทางกลับฮ่องกงแล้ว
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทักษะการเล่าเรื่องของหลินม่าย เนื่องจากเธอสามารถสานต่อเรื่องราวด้วยคำพูดที่น่าเชื่อถือ
ในยุคสมัยนี้ฮ่องกงยังไม่รวมเข้ากับจีน มันจึงไม่ง่ายเลยที่นายกเทศมนตรีวังจะส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดของนักธุรกิจฮ่องกงตัวปลอมคนนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินเฟิงได้เตรียมการทั้งหมดแล้ว มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่นายกเทศมนตรีวังจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แล้วนายกเทศมนตรีวังจะทำอะไรเธอได้?
นายกเทศมนตรีวังตกตะลึงครู่หนึ่ง เขาลืมไปแล้วว่านักธุรกิจชาวฮ่องกงแซ่หยวนได้ทำข้อตกลงซื้อขายกับหลินม่ายเรียบร้อยแล้วในตอนที่รับประทานอาหารค่ำในวันนั้น
เมื่อหลินม่ายพูดถึงค่าเสียหาย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนนี้ด้วยใช่ไหม
ถ้าเธอไม่จ่ายเงินส่วนนี้ เธอก็ต้องย้ายบริษัทไปยังเมืองซิงเฉิง
นักธุรกิจชาวฮ่องกงแซ่หยวนแอบบ่นอยู่ในใจ เขานึกเสียดายอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง และตระหนักได้เมื่อสายไปแล้วว่าควรตกลงจ่ายเงินให้หลินม่ายสำหรับโครงการที่โต๊ะอาหารค่ำวันนั้น
หากตอบตกลง มันคงจะไม่เกิดปัญหามากมายตามมาเช่นนี้
เขาถามออกอย่างระแวดระวัง “ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเท่าไหร่หรือครับ?”
หลินม่ายยื่นนิ้วออกไป “ไม่มากค่ะ แค่หนึ่งแสนหยวน”
แค่หนึ่งแสนหยวน!
นายกเทศมนตรีวังถึงกับพูดไม่ออก
ถ้ามีเงิน ก็เป็นดั่งทรราชท้องถิ่น เงินหนึ่งแสนหยวนอาจไม่มีค่าสำหรับเธอ แต่สำหรับตัวเขาแล้วต่อให้ทำทุกอย่างเต็มที่ก็ไม่สามารถจ่ายได้
นายกเทศมนตรีวังบอกหลินม่ายเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเงินในเมืองด้วยความยากลำบาก
เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “รัฐบาลของเมืองไม่สามารถจ่ายเงินนับแสนหยวนได้จริงๆ”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่งและพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “ในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถจ่ายเงินส่วนนี้ได้ งั้นฉันจะจ่ายเองค่ะ”
เธอกล้าเสี่ยงโชคกับใครก็ตาม แต่เธอไม่กล้าเสี่ยงโชคกับรัฐบาลได้
ไม่สามารถเรียกร้องแม้แต่หยวนเดียว
เงินของรัฐบาลมีไว้เพื่อใช้กับคนทั่วไป หากยักยอกแม้แต่หยวนเดียว นั่นหมายความว่าประชาชนจะได้รับเงินน้อยลง
แม้หลินม่ายจะรักเงิน แต่เธอก็ใช้เงินในทางที่เหมาะสม
เธอไม่ต้องการเงินประเภทนี้ เธอไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง และเพียงต้องการทำให้นายกเทศมนตรีวังตกใจ
เมื่อบรรลุเป้าหมาย เธอจึงยอมหยุดโดยดี และแม้กระทั่งใช้ประโยชน์จากมันเพื่อให้ได้รับความชื่นชอบจากนายกเทศมนตรีวัง
นายกเทศมนตรีวังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พลางรู้สึกเคารพนับถือเธอมาก
แม้เธอจะมีบริษัทใหญ่โต แต่ยังเข้าใจความยากลำบากของรัฐบาล
สรุปแล้ว ตราบใดที่ไม่ขอเงินจากรัฐบาล พวกเขาล้วนเป็นคนดี
หลินม่ายยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างนอบน้อม “ฉันควรทำสิ่งนี้ คุณช่วยทวงถามเงินโครงการจากผู้ว่าเพื่อคืนฉัน ฉันจึงต้องขอบคุณ”
ก่อนหน้านี้นายกเทศมนตรีวังพูดถ้อยคำอย่างคลุมเครือว่าเขาเป็นคนขอเงินโครงการมาคืนหลินม่าย คล้ายกับบอกว่าเธอติดหนี้บุญคุณเขา
ตอนนี้หลินม่ายใช้กลอุบายว่าตนเองจะแบกรับค่าเสียหายผิดสัญญา เพื่อตอบแทนความกรุณาของนายกเทศมนตรีวัง
ในเมื่อทั้งสองไม่ได้ติดหนี้บุญคุณกันแล้ว นายกเทศมนตรีวังจะไม่สามารถฉวยโอกาสใช้ประโยชน์นี้กับหลินม่ายหรือคนที่เกี่ยวข้องได้ในอนาคต
และหลินม่ายไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าเขา เพราะเธอไม่ได้ติดค้างอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนจบเรื่องทางอ้อม ไม่ได้เป็นหนี้ต่อกันแล้ว จะมาทวงอะไรทีหลังไม่ได้แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)