สูฮุ่ยหัวเราะเล็กน้อย พูดประชดว่า “เขาก็เป็นแค่หลานอกตัญญู เสียดายแทนคุณพ่อจริง ๆ”
“คุณก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ” ฟู่ชางเหิงดุสูฮุ่ย มองมาที่ฉันแบบจำใจ ว่า “มืดแล้ว ก๋งก็หลับตาไปอย่างสบายแล้ว ดารัณก็รับกลับไปเถอะนะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณอา” ฟู่ชางเหิงกับสูฮุ่ยอายุห้าสิบกว่าทั้งคู่ แต่ไม่มีลูก ถือหุ้นในบริษัทตระกูลฟู่ ก็สุขสบายดี
ถึงสูฮุ่ยจะปากจัดไปหน่อย แต่แกก็เป็นคนใจดี ชีวิตคู่ของเขาสองคนก็น่าอิจฉาสำหรับหลาย ๆ คน
ยืนมองดูเขาสองคนเดินไปขึ้นรถ ฉันยืนอยู่หน้าหินสลักชื่อของอาก๋ง คิดฟุ้งซ่านไปไกล ก๋งไปจากเราแล้ว ฉันกับอาธิปก็คงจะจบกันตรงนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันจบลง ส่วนฉันก็ย่อมเสียเขาไปในที่สุด
“ก๋งหลับสบายนะคะ ไว้หนูจะมาเยี่ยมก๋งอีกค่ะ” ฉันก้มตัวไหว้อาก๋ง เสร็จแล้วก็หันตัวจะกลับ ฉันตกตะลึง
อาธิปเขามาตั้งแต่เมื่อไร
เขาใส่ชุดดำทั้งตัว หน้านิ่ง ๆ ตัวผอมเรียว ยืนอยู่ข้างหลังฉัน ห่างกับฉันไม่ไกล สายตามองไปที่หินสลักชื่อของอาก๋ง หน้าเฉยเย็นชา ดูไม่ออกว่าอารมณ์เขาเป็นยังไง
เห็นฉันหันตัวมา เขาเลยเก็บสายตาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ว่า “ ไป กลับ”
เขา….มารับฉันเหรอ
เห็นเขาหันตัวจะเดินออกไป ฉันรีบหยุดเขาไว้ กล่าวว่า “อาธิปคะ ก๋งไปแล้ว คุณควรจะปล่อยวางความโกรธของคุณไปได้แล้ว คุณก็รู้ว่า ก๋งทำเพื่ออาธิปไว้เท่าไรแล้ว….”
เห็นสายตาเขาเย็นชายิ่งขึ้น ฉันเลยหยุดพูด ทันใดนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก
ฉันนึกว่าเขาจะโมโหใส่ฉัน แต่ไม่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่ได้พูดอะไรก็เดินออกไป
ฉันก็เดินตามเขาออกไปจากสุสาน ฟ้าเริ่มมือแล้ว อาธิปก็สั่งให้คนขับรถที่ส่งฉันมางานกลับไปก่อนแล้ว
ฉันนี่ก็ได้แต่ไปกับรถอาธิป ขึ้นรถมาแล้ว เขาก็สตาร์จรถออก บรรยากาศในรถเงียบเกรียบแบบน่ากลัว ฉันบีบมือตัวเอง อยากจะเอ่ยถามอาการของนัชชาหลายครั้ง แต่พอเห็นใบหน้าดุดันของเขาแล้ว ก็ไม่กล้าถาม
คิดอยู่นาน สุดท้ายฉันก็อดถามไม่ได้ “นัชชาเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันไม่ใช่คนผลักเขาลงไป แต่ฉันเป็นคนอยู่หน้างานตรงเกิดเหตุ
“จึ๊กกก……” เขาจอดรถแบบกะทันหัน รถวิ่งมาเร็ว ตัวฉันเลยทิ่มไปข้างหน้า ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไร อาธิปก็กดตรงเอวฉันไว้ เพื่อดึงตัวกลับไปที่เดิม อาธิปก็ทับตัวมาทางฉันครึ่งท่อน เขาจ้องมองตาฉัน ส่งสายตาดุดัน แลดูโกรธมากเหมือนจะฆ่าฉันทิ้ง ฉันเลยทรุดตัวลง เรียกชื่อเขาเบา ๆ ว่า “อาธิป….
“เธอจะทำอะไรเขา” เขาพูดขึ้นมา น้ำเสียงดุเดือดน่ากลัว และพูดประชดว่า “เธอคิดว่าก๋งให้กล่องใบนั้นให้เธอ แล้วฉันจะไม่กล้าหย่ากับเธองั้นเหรอ”
ฉันตกตะลึง เขาเก่งจริง ๆ เรื่องเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง เขาก็รู้หมดแล้ว
“ฉันไม่ได้ผลักเขา” เก็บอารมณ์เหนื่อยหน่ายไว้ และมองตาเขา ฉันอยากจะหัวเราะจริง ๆ “กล่องที่ก๋งให้มา ฉันไม่รู้หรอกว่าข้างในมันมีอะไร ฉันก็ไม่เคยคิดจะเอามันมาผูกมัดคุณไว้กับฉัน ในเมื่อคุณอยากหย่านัก ก็โอเค ฉันยอมหย่า พรุ่งนี้เราก็ไปทำเรื่องหย่ากันเลยค่ะ”
ฟ้ามืดมากแล้ว ข้างนอกรถลมแรง ฝนตกหนัก น้ำฝนสาดมาที่กระจกรถ ยิ่งทำให้บรรยากาศในรถดูเงียบสงัดและหนักหน่วง
ฉันยอมหย่ากะทันหันแบบนี้ เหมือนอาธิปเขาก็ตกใจ แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น เขาหัวเราะแบบเย็นชา กล่าวว่า “นัชชายังนอนอยู่โรงพยาบาล เธอมายอมหย่าตอนนี้ เธอคิดจะหนีความรับผิดชอบเหรอ”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไร” ก็ใช่ซิ คนสุดที่รักของเขายังนอนอยู่โรงพยาบาล เขาจะปล่อยฉันไปง่าย ๆ ได้ยังไง
“เริ่มจากพรุ่งนี้ เธอต้องไปดูแลนัชชาที่โรงพยาบาล” เขาขยับตัวนั่งตรง ๆ ฝ่ามือจับพวงมาลัยไว้ นิ้วมือนั้นยาวเรียวสวยงาม มองทางข้างหน้า สายตาลึกซึ้งมีความหมาย