ฉันพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันไม่เคยทำงานส่วนนี้ รู้สึกปวดหัวนิดนึง”
เขาพยักหน้า เหมือนเขาก็เห็นด้วยกับฉัน และบอกว่า “ปีนี้เป็นปีครบหนึ่งปีที่บริษัทจดทะเทียนหลักทรัพย์ และปีนี้งานออดิทก็แตกต่างกับปีก่อน ๆ ถ้าพลาดนิดนึง หุ้นของบริษัทก็ตกไปแบบรวดเลย หลายบริษัทเจ๊งไปเพราะงานออดิททำไม่ดี”
เขาวิเคราะห์อย่างตั้งใจ ฉันก็หยุดงานในมือแล้วมองหน้าเขาฟังที่เขาพูดอย่างตั้งใจ เขาก็พูดต่อว่า “และอีกอย่าง ปีนี้ก็เปลี่ยบริษัทออดิทใหม่ เธอทำงานต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”
นี่เป็นคำเตือน ฉันเข้าใจ
“อาธิปเขารู้ก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดงานออดิท ทำไมเขายังมอบหมายงานนี้ให้ฉันอีก” ถ้าพลาดนิดเดียว ผลกระทบถึงกับเอาชีวิตของบริษัทได้ ความเสี่ยงสูงมาก ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่อาธิปมอบหมายงานนี้มาให้ฉันเลย
คุณกวินนั่งตัวตรง มองหน้าฉัน แล้วบอกว่า “งานนี้ถ้าเธอทำได้ดี หุ้นที่อาก๋งฝากไว้ให้เธอก็จะสามารถโอนไปในนามเธอได้ สิทธิ์การใช้หุ้นและจัดการหุ้นก็จะตกอยู่ที่เธอได้ เธอก็จะได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการมาเป็นหุ้นส่วนของบริษัท”
เขาหยุดพูดสักครู่ ดึงเสื้อนิดนึง แล้วก็พูดต่อว่า “แต่ถ้างานนี้เธอพลาด บริษัทจะเกิดปัญหาใหญ่ แล้วเธอก็อาจจะต้องออกจากบริษัทอย่างถาวร”
ฉันขมวดคิ้วตา ทันใดนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
อาธิปเขาจะเอาชีวิตของบริษัทฟู่มาเล่นกับฉันเลยเหรอ หรือว่า…..
ฉันไม่ได้ไปไตร่ตรองจุดประสงค์เชิงลึกของเขาต่อ ฉันเก็บบัญชี แล้วเปิดซุปที่คุณกวินเอามาฝาก และมองหน้าเขาถามว่า “ส่วนงานของฮัวยูฉันรับมาแล้ว ส่วนของหัวย่าว ทำไมอาธิปเขาต้องให้ฉันคอยติดตามบริษัทนี้ด้วยคะ”
คุณกวินขมวดคิ้วตา เหมือนกำลังคิดอยู่ สักพักเขาก็บอกว่า “ครึ่งปีก่อนหน้านี้ ฮัวยูถูกเราเทคโอเวอร์มาเพราะพวกเขาขาดทุนหมุนเวียน หลังจากเทคโอเวอร์มาแล้ว จิ่นเหยนเป็นคนบริหารมาโดยคลอด ตอนนี้โอนมาที่เธอ ก็น่าจะเป็นเพราะว่าอาธิปอยากให้เธอได้เรียนรู้กับส่วนงานเทคโนโลยีใหม่ด้วยมั้ง เพราะว่าตอนนี้ทางรัฐบาลก็มีนโยบายส่งเสริมออกมาใหม่ ต่อไปรัฐบาลก็น่าจะกระตุ้นการพัฒนาของวงการอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี และกลยุทธ์ทางตลาดในขั้นตอนต่อไปเราก็จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น จุดประสงค์ของอาธิปก็น่าจะให้เธอมาเรียนรู้ส่วนงานนี้ไปล่วงหน้ามั้งครับ”
เขาหยุดพูดสักครู่ แล้วพูดต่อว่า “ส่วนของหัวย่าว อาธิปเขาน่าจะมีแพลนว่าจะเทคโอเวอร์ เขาให้เธอคอยติดตามความคืบหน้าของบริษัทนี้ ก็น่าจะอยากรู้แนวโน้มการเดินต่อไปข้างหน้าของหัวย่าวแหละ”
ฉันพยักหน้า หยิบน้ำซุปขึ้นมาจิบ รสชาติไม่เลว ฉันเลยมองหน้าเขาและบอกว่า “ขอบคุณที่คอยดูแลฉันในช่วงนี้นะคะ”
เขายิ้มแม้มปาก และก็ลุกขึ้นมาจะกลับ
“คุณกวินจะกลับแล้วเหรอคะ”ฉันถาม มองไปข้างนอกเห็นฟ้ามืดลงแล้ว
เขาตอบว่าครับแล้วก็บอกว่า “คืนนี้ยังติดงานเลี้ยงอีก ต้องไปแล้ว”
ฉันพยักหน้าและรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ทีแรกคิกว่าเขาว่างแล้วเดี๋ยวจะได้ไปหาไรกินยามดึกด้วยกัน
คุณกวินไปแล้ว ฉันก็กินน้ำซุปให้หมด แล้วก็อ่านเอกสารของฉันต่อ นั่งจนปวดก้นไปหมดแล้วถึงจะเตรียมตัวกลับบ้าน
ฉันเพิ่งขึ้นรถ ยังไม่ทันได้สตาร์จรถ น้ำทิพย์ก็โทรเข้ามา
ฉันดูเวลา เห็นว่าเวลาสี่ทุ่มแล้ว ฉันยกหูรับสาย เธอก็พูดขึ้นมาก่อนเลยว่า “ตัวเอง ตัวเองคิดว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน”
ฟังจากน้ำเสียงของเธอ ฉันก็เดาว่า “เมืองจิ้งเฉิง”
“หืม” เธอก็บ่นว่า “แม่คุณ เธอนี่ไม่ตลกเลย”
ฟังที่เธอพูด ฉันคิดว่ามีแปดสิบเปอร์เซ็นเป็นไปได้ว่าฉันเดาถูกแล้ว ฉันเลยหัวเราะ และบอกว่า “แกก็ไม่ใช่เพิ่งจะมารู้จักฉันวันนี้ เป็นไงบ้างล่ะ หาร้านเช่าใหม่ได้แล้วเหรอ”
ลานจอดรถใต้ดินของบริษัทเรานี่กว้างใหญ่มาก และที่จอดรถว่างเยอะมาก ฉันนั่งคุยโทรศัพท์ในรถ ก็ยังรู้สึกว่าเหมือนจะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา น่ากลัวมาก
“ใช่แล้ว จิ้งเฉิงเป็นเมืองที่น่าอยู่จริง ๆ มันเหมาะสำหรับการใช้ชีวิตแบลชิล ๆ หลายวันที่ฉันพักอยู่ที่นี่มานี้ ฉันรู้สึกชอบวิถีชีวิตของคนที่นี่หวะ อากาศก็ดี น่าอยู่จริง ๆ ”
น้ำทิพย์พูดยาวเลย ฉันเปิดสปิกเกอร์มือถือไว้ และก็สตาร์จรถ ที่ลานจอดรถนี่น่ากลัวจริง ๆ