เพราะเป็นความต้องการของเฟิงจิงเหยา ดังนั้นกู้ฉางชิงจึงยากที่จะปฏิเสธ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสามคนก็มาถึงตึกเชียนซี
ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยทีการตกแต่งทัศนียภาพด้านนอกเป็นสวนระดับไฮเอนด์ ส่วนด้านในตึกชั้นพิเศษนี้มีก็กลิ่นอายความโบราณอยู่ เผยให้เห็นความคลาสสิคและหรูหราเป็นตัวเลือกอันดับแรกต้นของบรรดาทายาทตระกลูสูงศักดิ์และลูกหลานคนรวย สำหรับใช้ในการพบปะสังสรรค์กัน
ไม่เพียงเท่านั้น อาหารของที่นี่ล้วนเป็นฝีมือของเชฟระดับนานาชาติ หากต้องการจอง ต้องจองก่อนล่วงหน้าสามเดือน
กู้ฉางชิงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ แต่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ในใจเธอค่อนข้างระมัดระวังตัว
ลู่ซือยวี่เดินนำหน้าด้วยความคุ้นชินทาง ระหว่างทางก็ยิ้มและพูดคุยกับเฟิงจิงเหยา
“พี่จิงเหยาไม่ได้กลับมาเป็นปีแล้ว คงจะคิดถึงที่นี่ใช่ไหมค่ะ?เมื่อก่อนพวกเรามาทานอาหารที่นี่กันบ่อยๆ”
เฟิงจิงเหยาไม่ได้เก็บมาใส่ใจแล้วตอบกลับว่า:“ก็เป็นแค่ที่ที่ไว้ทานอาหารไม่เห็นมีอะไรเลย มีอะไรให้ต้องคิดถึงล่ะ?”
จริงๆแล้วลู่ซือยวี่ต้องการที่จะแสดงถึงความสัมพันธ์อันสนิทสนมของตัวเองกับเฟิงจิงเหยา เพื่อให้กู้ฉางซินโมโห แล้วก็แสดงนิสัยที่แท้จริงของเธอออกมา
คิดไม่ถึงว่าเฟิงจิงเหยาจะใช้คำพูดฆ่าเธอให้ตาย
ใบหน้าของเธออดกลั้นไว้ไม่ได้ แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า:“ที่พี่พูดก็ถูก ต่างประเทศก็มีสถานที่ดีๆมากมาย แต่ว่าคราวนี้พี่จิงเหยาต้องลองทานอาหารของตึกเชียนซี หัวหน้าเชฟคนใหม่ของพวกเขามีวิธิการทำอาหารที่รสชาติดีกว่าเมื่อก่อน พี่จิงเหย่าน่าจะชอบนะคะ”
พูดไปพูดมา ทั้งสามคนก็เดินมาถึงห้องรับรอง
ที่นั่งที่นี่ มีฉากกั้นแยกเป็นสองส่วน โต๊ะใหญ่ นั่ง7-8คนก็เหลือเฟือ แต่พวกเขามีแค่สามคน
หลังจากที่นั่งก็มีพนังงานมารับออเดอร์
ลูซือยวี่ไม่แม้แต่จะถาม ก็สั่งอาหารไปแล้วสามสี่อย่าง
กู้ฉางชิงนั่งดูเมนูเงียบๆ เธอเหลือบไปเห็นราคาอาหาร แต่ละเมนูมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ในใจเธอรู้สึกปั่นป่วน
นี่สินะโลกของคนรวย!อาหารมื้อเดียวสามารถเป็นค่าใช้จ่ายของเธอได้หลายเดือนเลย
ในใจเธอแทบจะกระอัก แต่ก็ต้องทำเป็นนิ่งสงบ สุดท้ายก็ไม่ได้สั่ง ยื่นเมนูให้เฟิงจิงเหยา “คุณสั่งเถอะ”
เฟิงจิงเหยายังไม่ทันได้อ้าปาก ลู้ซือยวี่ก็พูดว่า:“อาหารที่พี่จิงเหยาชอบทาน เมื่อตะกี้ฉันสั่งให้แล้วนะคะ และก็มีเมนูใหม่อีกสองสามอย่าง คณหนูกู้ต้องลองทานเยอะๆหน่อยนะคะ คงยากกว่าจะได้มาอีก!”
ทำไมกู้ฉางชิงจะไม่เข้าใจความหมายที่เธอสื่อ
เธอกำลังบอกว่าตัวเธอเองนั้น รู้ใจเฟิงจริงเหยามากแค่ไหน!
กู้ฉางชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะในใจ แต่ก็ไม่กระโตกกระตาก แล้วตอบกลับว่า:“คุณหนูลู่ช่างมีน้ำใจจริงๆ จิงเหยาโชคดีมีวาสนามากที่มีน้องสาวแบบคุณ”
ลู่ซือยวี่ตอนแรกก็รู้สึกพอใจ แต่พอได้ใจคำว่า‘น้องสาว’ สีหน้าก็เปลี่ยน
สัิงเธอเกลียดที่สุดก็คือคนอื่นใช้สองคำนี้เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับเฟิงจิงเหยา
‘น้องสาว’ อะไร?เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลย!
ให้ตายสิกู้ฉางซิน ที่แท้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน!
ลู่ซือยวี่กัดฟันด้วยความโกรธ สัมผัสความเย็นชาได้จากสายตาของเธอ
วันนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จะต้องกระฉากหน้ากากจอมปลอมของเธอออกมาต่อหน้าเฟิงจิงเหยาให้ได้!
ไม่นานอาหารที่ทั้งสามคนสั่งก็มา
ลู่ซือยวี่กระตือรือร้นที่จะแนะนำเมนูพิเศษของห้องอาหารให้กับเฟิงจิงเหยา กู้ฉางชิงทานอาหารของตัวเองโดยไม่พูดอะไร
ระหว่างนั้น เธอลองชิมปลานึ่ง รสชาติใช้ได้เลย จึงคีบให้เฟิงจิงเหยาชึ่นหนึ่ง เป็นการทำตามหน้าที่ที่‘ภรรยา’ ควรทำ
“อันนี้รสชาติใช้ได้ ไม่มีกลิ่นคาวเลย คุณลองชิมดู”
เฟิงจิงเหยาอึ้งและผงะคิ้ว
ลู่ซือยวี่ก็เช่นกัน ใบหน้าเกิดความดีอกดีใจที่คนอื่นเกิดความโชคร้าย
ควรรู้นะว่าเฟิงจริงเหยาเป็นคนรักความสะอาดอย่างรุนแรง ปกติเสื้อผ้าที่เปื้อนสกปรก เขายังต้องทิ้งด้วยความรังเกียจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตะเกียบที่เปื้อนน้ำลายของคนอื่น
เธอคิดไว้ล่วงหน้าถึงฉากที่เฟิงจิงเหยาโยนชามนั่นทิ้ง
แน่นอนว่าเฟิงจิงเหยาจ้องมองเนื้อปลาชิ้นนั้น และขมวดคิ้วอยู่นาน ในที่สุดก็ขยับ……
เพียงแต่ไม่ได้เป็นไปตามที่ลู่ซือยวี่คิดไว้ว่าจะโยนชามนั่นทิ้ง แต่ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเธอ เขาค่อยๆหยิบชิ้นปลาขึ้นมาแล้วใส่เข้าปาก
ลู่ซือยวี่สีหน้าตะลึง มือก็คีบตะเกียบไม่อยู่จนตกลงมาบนโต๊ะ
กู้ฉางงชิงเหลือบมองเธอ ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีอย่างนั้น
เฟิงจิงเหยาทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังคงกินต่อ
ลู่ซือยวี่แอบกำหมัดแน่น อดไม่ได้ที่จะด่าว่าในใจ
นังสารเลว!นังสารเลว!
ผ่านไปไม่นาน เธอก็ต้องระงับความโกรธอีกครั้ง สายตามองไปทางประตูของห้องอาหาร
ประจวบเหมาะ มีผู้ชายใส่ชุดสูท เดินเข้ามาจากด้านนอก
เขาหน้าตาหล่อมาก ดูสง่างามไม่ธรรมดา สายตาท่าทางดูเป็นคนไม่จริงจัง
ลู่ซือยวี่เห็นคนที่เดินมา แล้วก็ยิ้มมุมปาก สายตาเหลือบมองไปที่กู้ฉางชิง และแอบพูดว่า:“คราวนี้ ฉันจะดูสิว่าเธอจะแก้ตัวยังไงอีก!”
ในขณะที่กำลังคิด ชายคนนั้นก็เดินมาถึงข้างหน้าเธอ แล้วพูดด้วยความประหลาดใจกับกู้ฉางชิงว่า:“ฉางซิน บังเอิญจัง ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่”
กู้ฉางชิงตกตะลึงแล้วเงยหน้ามองคนคนนั้น
ในตอนแรกเธอก็สงสัย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นใคร
เขาเป็นเพื่อนของกู้ฉางซินที่ชือชวี่จือยวี้ คุณชายใหญ่ตระกูลชวี่ ปกติก็เอ้อระเหยลอยชาย ไม่หยิบจับทำการใดๆ มักจะไปตามสถานที่บันเทิงใหญ่ๆ
ก่อนหน้านี้กู้ฉางซินวันวันไม่ค่อยอยู่บ้าน ก็จะออกไปเที่ยวกับคนพวกนี้ เป็นพวกเพื่อนกะเลวกะลาด
กู้ฉางชิงก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาที่นี่ ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ทำได้เพียงตอบกลับว่า:“อือ บังเอิญจัง ”
ชวี่จือยวี้ไม่ได้สังเกตว่าเธอมีท่าทีแปลกๆ ยิ้มแล้วเอามือมาวางบนไหล่ของเธอและพูดว่า:“เป็นยังไงบ้าง?คืนนี้ออกไปเที่ยวสนุกกันไหม?ฉันเพิ่งได้เหล้าชุดใหม่มา เธอต้องชอบรสชาติของมันแน่ๆ อยากดื่มเท่าไหร่ก็ได้ ไม่เมาไม่กลับดีไหม?”
กู้ฉางชิงปัดมือเขาออก แล้วพูดว่า:“คุณกรุณามีมารยาทด้วย!”
ชวี่จือยวี้ตกตะลึง มองเธอด้วยสีหน้างงๆ :“คุณเป็นอะไรไป?ปกติไม่เห็นคุณจะพูดแบบนี้ ทำไมวันนี้ถึงมีท่าทีรุนแรง?ไม่สบายรึเปล่า?”
พูดจบก็ยื่นมืออกไปอีกครั้ง เพื่อจะคลำที่หน้าผากกู้ฉางชิง
แต่สุดท้ายก็ยื่นออกไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็มีคนเอามือมาคว้าไว้ โดยออกแรงบิดไปด้านหลังอย่างแรง
หลังจากนั้น ‘ก๊อก’ เสียงกระดูกดัง……
ชวี่จือยวี้เจ็บจนร้องออกมาด้วยความโกรธว่า:“ใคร?”
เหตุการณ์เมื่อตะกี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่ทันได้โต้ตอบ
กู้ฉางชิงเห็นอย่างชัดเจน
เป็นเฟิงจิงเหยาที่ลงมือ!
ในตอนนี้เขาสีหน้าเย็นชา ใช้มือเดียวกดชวี่จือยวี้ไว้ แววตาเยือกเย็น แล้วพูดว่า:“ครั้งต่อไปถ้ายังกล้าแตะต้องเธออีก คงไม่ใช่แค่นี้แน่ ผมจะจัดการมือคุณ!”
พูดจบเขาก็ปล่อยมือชวี่จือยวี้ และใช้แรงเขาผลักเขาออกไป
ชวี่จือยวี้ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ร่วงลงกับพื้น
และในตอนนี้เอง เขาก็เพิ่งจะรู้ว่าคนตรงหน้าเขาเป็นใคร
เฟิงจงเหยา!!!
โอรสสวรรค์ของตระกูลเฟิง ปกติเขาจะทำอะไรเงียบๆ สไตล์ที่เข้มงวด มีอำนาจในมือมาก เกือบ 80% ของเส้นทางเศรษฐกิจในเกียวโตอยู่ในกำมือของเขา
ชวี่จือยวี้เหงื่อแตกพลั่ง
เมื่อนึกถึงตัวเองต่อหน้าเฟิงจิงเหยา ที่วางมือบนไหล่กู้ฉางซินตะกี้ เขาก็ตัวสั่นอยุ่ในใจ
“เฟิง……ประธานเฟิง ต้องขอโทษด้วยครับ เมื่อตะกี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ผม……ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมกับฉางซินแค่ล้อเล่นกันเฉยๆ……”
เขาพยายามอธิบาย แต่สิ่งที่เขาพูดมันยิ่งทำให้เข้าใจผิด
กู้ฉางชิงได้ยินแล้วก็กัดฟัน อยากที่จะปิดปากเขาซะ
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้วและจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ แล้วพูดว่า:“ภายในหนึ่งนาที รีบออกไปให้พ้นสายตาฉันซะ!”
ชวี่จือยวี้ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วรีบลุกขึ้นจากพื้น วิ่งหนีไปอย่างเร่งรีบ
หลังจากที่เขาไป บรรยากาศในเหตุการณ์ก็กลายเป็นน้ำแข็ง
กู้ฉางชิงไม่กล้าปริปาก กลัวว่าอารมณ์ของเฟิงจิงเหยาจะระเบิดออกมา
ลู่ซือยวี่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกสะใจ
ในที่สุดก็ทำให้พี่จิงเหยาเห็นธาตุแท้ของนังสารเลวนี่ได้ ไม่เสียแรงที่เธอลงทุนเรียกให้ชวี่จือยวี้มาที่นี่!
จากวันนี้ไปเธอเชื่อว่าพี่จิงเหยาจะไม่ถูกกู้ฉางซินหลอกอีก!
ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ เฟิงจิงเหยาหันมามองกู้ฉางชิง
สายตาของเขาเยือกเย็น แล้วพูดตักเตือนว่า “กู้ฉางซิน ฉันไม่สนว่าก่อนหน้านี้อยู่ข้างนอกเธอจะมั่วยังไง แต่ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว เธอก็ช่วยประพฤติตัวให้เหมาะสมหน่อย คนแบบไหนควรคบหา คนแบบไหนไม่ควรคบหา เธอรู้แก่ใจตัวเองดี ไม่ควรออกไปข้างนอกกับผู้ชายคนอื่น ทำให้ตระกูลเฟิงต้องแปดเปื้อน!เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉันหวังว่ามันจะไม่เกิดขึึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็สะบันแขนเสื้อเดินหนีไป
ลู่ซือยวี่เห็นแบบนี้แล้ว ก็รีบหิ้วกระเป๋าพร้อมกับพูดว่า:“พี่จิงเหยา พี่รอฉันด้วย”
จากนั้นก็รีบเดินตามเขาผ่านกู้ฉางชิงไป เธอแสดงออกว่าเธอชนะด้วยการยิ้มมุมปาก
กู้ฉางชิงมองทั้งสองคนเดินตามกันไป แล้วถอนหายใจ
เธอก็ไม่คิดว่าชวี่จือยวี้จะโผล่มา แล้วทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้