หลู่ซือหยีเตือนสติแบบนี้แล้ว เฟิงจิงเหยาก็ยิ่งรู้สึกบาดตาบาดใจกับคนในภาพยิ่งขึ้น
ภาพนั้นทำให้ดวงตาที่งดงามเยือกเย็น กลับมืดมนราวกับหมึกมากยิ่งขึ้น แววตาที่แหลมคมราวกับมีดเล่มนึง เขาใส่ในมือข้างหนึ่งแล้วค่อยๆกำมันจนแน่น
ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นอายของความเยือกเย็นซึมทะลุออกมาอย่างรุนแรง
คล้ายกับว่าหากสัมผัสก็ระเบิดทันที
หลู่ซือหยีแอบดีใจอยู่ในใจ จงใจปลอบโยนอย่างระมัดระวัง “พี่จิงเหยา คุณอย่าเอามาใส่ใจเลย บางทีไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิด ถึงแม้เมื่อก่อนกู้ฉางชิงจะชอบออกไปเที่ยวสนุกสนานเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่คุณกลับมา ก็ดูเหมือนว่าจะเก็บอาการได้ไม่น้อย”
เฟิงจิงเหยาไม่พูดเลยสักคำ
คุณนายเฟิงเห็นสถานการณ์ก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา “ตัวกู้ฉางชิงเองก็ไม่ใช่คนสงบเสงี่ยม คุณกลับมาสองสามวันนี้นั่งอยู่ติด ก็นับว่าไม่เลวแล้ว คุณสังเกตุการณ์เองเถอะ แม่ก็ไม่อยากพูดอะไรให้วุ่นวาย ควาทจริงเป็นยังไงคุณก็เห็นอยู่ และก็ไม่ต้องพาลใส่คนอื่น”
“แม่ ฉันไม่ได้พาลใส่คนอื่น!” เฟิงจิงเหยาไม่สบายใจเล็กน้อย
มื้ออาหารที่ดี คาดไม่ถึงว่าเพราะกู้ฉางชิงคนเดียวทำให้กลายเป็นแบบนี้
ในใจของคุณนายเฟิงเสียใจอย่างมาก
เกิดเรื่องแบบนี้ออกมา อารมณ์ของทุกคนล้วนไม่ดีนัก
“แม่! พวกคุณทานเถอะ ฉันมีธุระเล็กน้อยต้องกลับไป”
ทันใดเฟิงจิงเหยาลุกขึ้นยืนแล้วดันเก้าอี้ออก ในที่สุดก็ออกจากสถานที่ไป
“คุณจะทำอะไร? ข้าวก็ทานไปไม่กี่คำเอง”
คุณนายเฟิงขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย ต้องการร้องเรียกเฟิงจิงเหยา แต่ก็กังวลเกี่ยวกับหน้าตาของหัวหน้าครอบครัว จึงไม่เคลื่อนไหว
หลู่ซือหยีเห็นสถานการณ์จึงลุกขึ้นร้องเรียก “พี่จิงเหยา คุณทานอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไป”
เห็นเฟิงจิงเหยาไม่ตอบสนอง เธอจึงไล่ตามไป
แต่เฟิงจิงเหยาไม่สนใจเธอ สวมรองเท้าดึงประตูเปิดออกแล้วออกไปโดยไม่หันกลับมา
การกระทำรวดเดียวโดยไม่หยุด คล่องแคล่วตรงไปตรงมา
เห็นเขาเดินไปแล้วจริงๆ หลู่ซือหยีจึงกลับมาที่โต๊ะอาหารอย่างซึมๆเล็กน้อย
“รีบทานข้าวเถอะ!” คุณนายเฟิงออกปากพูด ทุกคนจึงเริ่มลงมือต่อไป
เพียงแค่เฟิงจิงเหยาไป ทุกคนล้วนไม่มีอารมณ์ที่จะทานอาหารอะไรทั้งนั้น
……
ในบ้านใหม่ กับข้าวบนโต๊ะก็ถูกวางไว้เพียงเวลาไม่นาน กับข้าวไม่ถือว่ามาก แต่ก็มีกับข้าวสามแกงหนึ่งอย่าง แล้วยังมีซุปน้ำข้นอีก กลิ่นหอมโชยมาเข้าจมูก
ดับไปลงแล้ว กู้ฉางชิงก็นั่งหน้าโต๊ะอาหารคนเดียว หันหน้าไปทางกับข้าวจำนวนมาก ก็ชัดเจนว่ามีเงาบางอย่างติดตาม
ข้างๆมีคนรับใช้สองสามคนที่ทำงานยุ่งอยู่ข้างเธอไม่ไกล รอให้เรียกใช้อย่างทันทีทันใด
ทันใดนั้นลมเย็นกพัดเข้ามาจากภายนอก ทำให้เกิดตวามรู้สึกเย็นเข้ามาในรวดเดียว
ร่างกายกู้ฉางชิงสั่น รู้สึกได้ถึงคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เมื่อเงยหน้า ก็พบใบหน้าที่เย็นชาของเฟิงจิงเหยานั่งอยู่ด้านหน้าเธอ กำลังจ้องมองเธอไม่พูดจา
กู้ฉางขิงตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่ได้ไปอยู่ที่บ้านหรอ?
ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?
เธอวาวตะเกียบลง กล่าวถามว่า “คุณทานข้าวแล้วหรือยัง? ต้องการให้คนตักให้คุณไหม?”
เห็นเฟิงจิงเหยาไม่พูดจา กู้ฉางชิงก็กล่าวกับสาวใช้คนนึงด้านหลังว่า “แม่อู๋ ไปตักข้าวให้คุณชาย”
เสียงพูดของเธอยังไม่ทันจบ ก็ถูกเฟิงจิงเหยาตัดบทในรวดเดียว น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชา “ตอนกลางวัน คุณไปทำอะไรมา?”
ประโยคที่พูดใส่หน้า กู้ฉางชิงก็แปลกใจเล็กน้อย
อยู่ดีๆก็ถามว่าเธอไปที่ไหนทำอะไร?
น้ำเสียงนี้ คล้ายกับกินดินปืนมา
กู้ฉางชิงตำหนิอยู่ในใจ แต่ก็ตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ไปเป็นเพื่อนนายท่านไปร้านน้ำชา”
เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“งั้นนอกจากนี้ล่ะ?”
นี่เฟิงจิงเหยาจะสำรวจสำมะโนครัวหรือไง?
กู้ฉางชิงขมวดคิ้ว กล่าวถามอำเภอใจว่า “ฉันก็ออกไปเดินเล่นเอง จากนั้นก็กลับมา…..คุณมามองฉันแบบนี้ทำไม?”
“คุณดูเองว่านี่คืออะไร?”
เขาพูดพลาวก็หยิบมือถือออกมา ชี้ไปที่ชายหญิงในอัลบั้มภาพแล้วกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้จัก”
กู้ฉางชิงหยิบมือถือมาดู อดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ “นี่ได้มาจากที่ไหน?”
เธอจำภาพที่ปรากฎอยู่ในภาพได้แน่นอน
นี่ไม่ใช่หลังจากที่เธอและฟู่หยุนชวนพูดคุยกันจบหรอ เป็นฉากที่ฟู่หยุนชวนต้องการที่จะส่งออกจากสถานที่
ใครช่างต่ำช้า คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็ถ่ายมางั้นหรอ?
แถมยัง นำรูปนี้ส่งมาถึงในมือของเฟิงจิงเหยาอีก
สีหน้ากู้ฉางชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
มุมมองในรูปภาพฉกฉวยได้อย่างยอดเยี่ยม ดูแล้วช่างมีลับลมคมในอย่างมากจริงๆ
เห็นเธอแบบนี้ เฟิงจิงเหยาก็หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นวัวสันหลัวหวะ
“ทำไมไม่ปฏิเสธต่อไปล่ะ? ฉันเตือนสติคุณแล้ว ลืมเร็วขนาดนั้นเลยหรอ?”
สายตาที่แคบยาวคู่นั้น เวลามองกู้ฉางชิง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอันตราย
เธอแตะเส้นตายของเขา
“เฟิงจิงเหยาคุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
กู้ฉางชิงรีบลุกขึ้นมาขวางเขาที่จะเดินไปแล้วกล่าวว่า “เรื่องมันไม่แบบนั้นที่คุณคิด ฉันก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคนนี้”
ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความจริงจัง ในสายตาแฝงไปด้วยความจริงใจ
เฟิงจิงเหยาหยุดการก้าวเท้า แล้วหันมามองไปยังเธอ “ครั้งแรก? ครั้งแรกก็สนิทสนมกันขนาดนี้เลยหรอ?”
ในสายตานั้นชัดเจนว่าไม่เชื่อ
กู้ฉางชิงไม่สนใจรีบกล่าวว่า “คนนี้คือคุณชายตระกูลฟู่ เหมือนกับเขาจะรู้เรื่องว่าฉันสามารถออกแบบได้มาจากปากของหลู่ซือหยี ต้องการให้ฉันร่วมหุ้นส่วนเปิดบริษัทออกแบบ แล้วยังเชิญให้ฉันร่วมหุ้นฝีมือ”
กลิ่นอายของบรรยากาศ รวมตัวกันในชั่วพริบตา
กู้ฉางชิงกล่าวเสริมอีกประโยคนึงว่า “ฉันสาบาน ที่ฉันพูดไม่ได้เป็นเท็จอย่างแน่นอน”
สถานการณ์ตึงเครียด กู้ฉางชิงมองเฟิงจิงเหยาอย่างตึงเครียด
เหล่าคนรับใช้ด้านข้างต่างก็ถอยออกไปอย่างสุขุม ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรจะฟัง
เพียงแค่ยืนเอียงๆหู กลัวว่าจะพลาดข่าวใหญ่พิเศษอะไรไป
สีหน้าของเฟิงจิงเหยาค่อยๆคลาย “ฟู่หยุนชวนต้องการจะถึงคุณเข้าร่วมหุ้นหรอ? เขาให้เท่าไร?”
“สี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์”
กู้ฉางชิงเม้มปากแล้วกล่าวว่า มองไปที่สายตาของเฟิงจิงเหยาอย่างกระตือรือร้น
“คุณรับปากแล้วหรอ?”
ริมฝีปากของเฟิงจิงเหยาเม้มแน่น ทำให้คนมองอารมณ์โกรธไม่ออก
กู้ฉางชิงส่ายหน้า “เปล่า ฉันยังไม่ได้รับปาก”
“ทำไมไม่รับปากล่ะ? ถือหุ้นตั้งสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์นะ ต้องการแค่ฝีมือมาร่วมหุ้นก็พอ แล้วอะไรๆก็ยังไม่ต้องเตรียมอีก”
เฟิงจิงเหยาก้าวไปข้างหน้าก้าวนึง ปลายนิ้วมือจับไปที่คางของกู้ฉางชิง คนทั้งสองเผชิญหน้ากัน แทบจะสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามได้
ในน้ำเสียงนี้แฝงไปด้วยการเยาะเย้ย กู้ฉางชิงไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
เธอยังคงคิดไยตร่ตรองอยู่ ถึงอย่างไรช่วงนี้กู้หงเซินก็โทรศัพท์มาพูดเร่งรัดเธอตลอด
เรื่องถือหุ้น เธออาจจะรอได้ แต่ว่าแม่รอไม่ได้
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป มองไปในสายตาของเฟิงจิงเหยาแล้วยังแฝงไปด้วยการขอร้องวิงวอน
เฟิงจิงเหยาถอนหายใจอย่างเย็นชา ปล่อยเธอออก น้ำเสียงดูเหมือนเยือกเย็น แฝงไปด้วยกลิ่นอายของท่าทีโอหัง “อย่าคิดเพ้อเจ้อเลย! ฉันไม่เห็นด้วยหรอก ไม่เพียงแต่ไม่เห็นด้วยนะ คุณก็ห้ามไปร่วมมือกับคนของตระกูลฟู่ด้วย ต่อจากนี้ไปทำอะไรที่ไม่ชัดเจนกับผู้ชายข้างนอกให้น้อยหน่อย!”
เขากล่าวเตือนเสร็จก็เดินอ้อมกู้ฉางชิงตรงไปชั้นบน ท่าทีที่สุขุมนั้น ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกำมือ
มองภาพด้านหลังของเขา กู้ฉางชิงก็อึดอัดใจ เจ้าหมอนี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปแล้วจริงๆ