คุณนายเฟิงพูดจาเย้ยหยันเหน็บแนม แม้จะไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่ทำไมนายท่านเฟิงถึงฟังไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณนายเฟิงไม่ชอบกู้ฉางซิน
เป็นผู้ใหญ่แล้วแต่มาทำแบบนี้กับคนอายุน้อยกว่า ลำเอียงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย
นายท่านเฟิงขมวดคิ้วหันกลับมาพูดกับกู้ฉางชิงด้วยความรักว่า “นังซิน เจ้าชอบทานอะไรไหม อยากทานก็สั่งเลย!”
ประโยคแค่นี้ ทำให้สายตาทุกคู่มองไปที่กู้ฉางชิง
คุณนายเฟิงแค่แกล้งด่าคนนี้แต่แท้จริงแล้วว่าให้อีกคน แต่นายท่านก็รีบปกป้องกู้ฉางซิน
กู้ฉางชิงรู้สึกอบอุ่นใจ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าทานได้หมดค่ะนายท่าน ”
นางยิ่งรู้เรื่องมากเท่าไหร่ นายท่านเฟิงก็ยิ่งเอ็นดูนางมากขึ้น
นายท่านเฟิงไม่ได้พูดอะไร และตบที่มือเบาๆของกู้ฉางชิง ถือว่าปลอบใจ
“ใช่แล้ว ฉางซินถ้าเจ้าอยากทานอะไรก็สั่งเลย”
ลู่ซือยวี่ก็อยู่ด้วย แสดงความใจกว้างออกมา
กู้ฉางชิงตอบด้วยถ้อยคำเบาๆ “ไม่เอาแล้วค่ะ”
ลู่ซือยวี่แค่แกล้งทำท่าทีถาม แท้จริงแล้วไม่ได้อยากให้กู้ฉางชิงมาด้วย
แต่ใครจะรู้ว่าเฟิงจิงเหยาจะพานางมาด้วย
กู้ฉางชิงไม่สั่งอาหารเพิ่ม นางมีความสุขไร้กังวลและได้พูดถึงสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมา
นางพูดเก่งมากและคุณนายเฟิงยังร่วมพูดคุยกับนาง ทำให้มีเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นมาเป็นบางครั้ง
ทั้งห้องดังก้องไปด้วยเสียงของนาง สิบนาทีแห่งความสุข
ทันใดนั้นอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ หลู่ซือหยี่เริ่มนำอาหารเสิร์ฟให้กับคนอื่น
“จานนี้ปลาที่คุณปู่ชอบทาน”
“เลือดนกนางแอ่นของร้านนี้รสชาติอร่อย ดีต่อสุขภาพ คุณน้าเหมยต้องทานเยอะๆนะ”
“คุณลุง สั่งให้คุณน้าเป็นพิเศษเลย”
“พี่จิงเหยา พี่ไปอยู่ต่างประเทศคงไม่ได้กินตับห่านของบ้านเรามานานแล้ว รสชาติครั้งนี้ดีมาก พี่ลองชิมสิ……”
เสื้อแขนยาวของลู่ซือยวี่แกว่งพริ้วไปทั่วทุกมุม รู้ว่ารสนิยมของทุกคนชอบทานอะไรอย่างชัดเจน
นางทำให้บรรยากาศในห้องไม่เงียบขรึม
ดูเหมือนว่านางเป็นพนักงานที่นี่เลย
กู้ฉางชิงนั่งอยู่เงียบๆและไม่ได้สนใจนาง
ในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร คุณนายเฟิงก็ได้ถามขึ้นว่า “จิงเหยา บริษัทที่คุณเพิ่งก่อตั้ง เป็นยังไงบ้าง? ”
คำถามนี้ ทำให้ทุกคนมองไปที่เฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาตอบเบาๆ “ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เหลือพนักงานที่สำคัญไม่กี่คน! ”
เขาไม่อยากคุยเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร จึงไม่พูดอะไรมากกว่านี้
คุณนายเฟิงครุ่นคิดเรื่องนี้จึงถือโอกาศพูด ” ถ้าอย่างนั้นให้ซือยวี่เข้าไปช่วยในบริษัทเจ้า นางเรียนด้านการจัดการธุรกิจที่มหาวิทยาลัย เป็นผู้ช่วยหรือนักออกแบบนางก็ทำได้ จะว่าไปพวกเจ้าก็โตมาด้วยกัน คงรู้จักกันอย่างดี”
คุณนายเฟิงพูดแบบนี้ เพราะจะดับทางไม่ให้กู้ฉางซินเข้าบริษัท
ตามที่นางพูด แทนที่จะให้กู้ฉางซินไป น่าจะให้ลู่ซือยวี่ดีกว่า
เห็นนางตั้งแต่เล็กจนโต ไว้วางใจได้
คุณนายเฟิงพูดและหันไปมองกู้ฉางชิง
กู้ฉางชิงอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปครู่หนึ่ง
หลายวันมานี้นางกับเฟิงจิงเหยา มีปัญหาขัดแย้งกันในเรื่องนี้
แม้แต่คนรับใช้ที่บ้านก็รู้
ทำไมอยู่ดีๆคุณนายเฟิงมาพูดถึงเรื่องพวกนี้
เฟิงจิงเหยาคาดไม่ถึงว่าคุณนายเฟิงจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ รู้สึกตกใจเหมือนกัน และหันไปมองที่กู้ฉางชิง
นางถือตะเกียบไว้ในมือ ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเธอ
เห็นนางแบบนี้แล้ว เฟิงจิงเหยาเริ่มขมวดคิ้ว และครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ลู่ซือยวี่ตั้งหน้ารอคอยตาไม่กระพริบมองไปที่เฟิงจิงเหยา
เห็นอย่างนั้น คุณนายเฟิงใช้ไหล่กระแทกนายท่านเฟิงเบาๆ นายท่านเฟิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ซือยวี่เด็กคนนี้มีความประพฤติดีมาตลอด ถ้านางเข้าไปช่วยในบริษัทก็จะช่วยเจ้าแบ่งเบาภาระได้
คุณนายเฟิงพูดเสริม ” ใช่ๆ ฉันกับพ่อเจ้าเห็นซือยวี่มาตั้งแต่เด็กจนโต นางโดดเด่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว เจ้าก็รู้ ถ้านางเข้าไปในบริษัทจะทำให้เจ้าหมดห่วงไร้กังวลแน่นอน
ทั้งคู่สามีภรรยาก็เอ่ยปากแล้ว หลู่ซือหยีแอบดีใจ ความคิดของคุณนายเฟิงกับนางบัญเอิญเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามเฟิงจิงเหยานั่งเงียบไม่พูดอะไร ยังคงมีความกังวลเล็กน้อย มือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่นเป็นหมัด
แค่เข้าไปในบริษัทใหม่ของพี่จิงเหยาสำเร็จ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้พบเจอกันมากขึ้น
ไม่แน่อาจจะเป็นความรักระยะยาว ถึงเวลานั้นกู้ฉางซินจะเป็นอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน เฟิงจิงเหยาพยักหน้า “เอาล่ะ! จะยังอยู่หรือไม่ก็รอดูพฤติกรรมกันต่อไป”
“พี่จิงเหยาไว้ใจได้เลย ข้าจะช่วยเหลือพี่เอง ข้าไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อบริษัทแน่นอน ”
ได้ยินเขาตอบแบบนี้ ลู่ซือยวี่ดีใจมาก และมองไปที่กู้ฉางชิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยชัยชนะ
ทั้งห้องเต็มไปด้วยความสุข แต่กู้ฉางชิงกลับรู้สึกตัวเองเป็นแค่คนนอก
นายท่านเฟิงจับมือนางแล้วพูดว่า “จิงเหยา บริษัทเจ้าก็ขาดคนถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉางซินเข้าไปช่วย ข้าได้ยินมาว่า ฉางซินมีความสามารถด้านการออกแบบเหมาะกับบริษัทของเจ้า แทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆให้ไปฝึกฝนที่บริษัทดีกว่า
ทันทีที่นายท่านเฟิงพูดจบ สีหน้าของคุณนายเฟิงก็เปลี่ยนไปและจ้องมองด้วยสายตาที่ดุร้ายไปยังกู้ฉางซิน “พ่อ อย่าล้อกันเล่นหน่า นางมีความสามารถที่จะช่วยบริษัทได้อย่างไร เข้าไปจะไม่ทำให้จิงเย๋าวุ่นวายกว่าเดิมหรอ? ”
“พ่อ ถ้ามีการเข้าไปพร้อมกันสองคน อีกหน่อยจะมีคนพูดได้ว่าเราใช้เส้นสาย”
นายท่านเฟิงขมวดคิ้วพร้อมใบหน้าที่จริงจัง ช่วงนี้เขาได้ยินไม่น้อยว่ากู้ฉางซินเก่งด้านการออกแบบ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
ลูกสะใภ้คนนี้มาอยู่บ้านหลังนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ตลอดเวลาหนึ่งปีก็น่าจะเพียงพอให้พวกเขาเรียนรู้
“ฉันจะดูว่าใครกล้า! ”
นายท่านโมโห “อุตสาหกรรมของตระกูลเฟิง ใครจะยอมให้คนพวกนี้มาวิจารณ์มั่วๆ? ”
ทันใดนั้นห้องก็รุนแรงขึ้น คุณนายเฟิงหยุดพูดและนางก็ไม่กล้าที่จะพูดต่อเถียงกับนายท่าน ทำได้เพียงจ้องมองไปยังฉางกู้ชิงด้วยสายตาปานจะกลืนกิน
ลู่ซือยสี่ที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินว่านายท่านเฟิงจะให้กู้ฉางซินไปที่บริษัทใหม่ นางไม่พูดอะไรเอาแต่เลิ่กลั่กมองไปเฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาปฏิเสธที่จะให้กู้ฉางซินเข้าร่วม นางรู้ดี
แต่นี่คือความกดดันจากนายม่าน นางก็ไม่กล้ารับประกัน
นางกัดฟันและพูดในใจ ตาแก่นี่ อะไรๆก็มุ่งเน้นให้แต่กู้ฉางซิน
บรรยากาศในห้องเริ่มเย็นลง เฟิงจิงเหยากำลังจะเอ่ยปากพูดแต่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงระฆังอันไพเราะ
มันคือเสียงโทรศัพท์เข้าของกู้ฉางซิน
โทรศัพท์มือถือของนางวางไว้บนโต๊ะ เฟิงจิงเหยามองด้วยหางตา ก็ดันเห็นชื่อของ”ฟู่หยุนชวน”
ใบหน้ารีบก้มลงทันที
“ขออนุญาตออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ ” กู้ฉางชิงพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์และเดินออกไป