เฟิงจิ่งเหยาไม่ใช่คนที่จะฝืนใจคนอื่น
เนื่องจากเขาเกิดความรัก เขาจึงแสดงออก
เขาพลิกตัวกดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา และจับริมฝีปากสีแดงที่มีกลิ่นหอมหวาน
สัมผัสที่นุ่มนวล ทำให้เขาอยากลิ้มรส และอยากดูดซับให้มาก
ลิ้นงัดฟันของเธอออก โจมตีบุกเข้าไป
นิ้วมื้อเหมือนจะเป็นไฟลุกลามไปทีละนิ้วทีละนิ้ว จนเผาผิวของเธอ
กู้ฉางชิงรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายของเธอ และความรู้สึกชาก็แผ่ซ่านไปจนถึงปลายประสาท ปลุกเธอจากการหลับใหล
“อืม……”
เธอฮึมฮำโดยไม่รู้ตัว แววตาเป็นประกาย ออดอ้อนฉอเลาะ
เฟิงจิ่งเหยาจ้องมองไปที่หน้าตาน่ารักของเธอ แล้วก็รุกไล่ไปตามตามสัญชาตญาณ
กู้ฉางชิงไม่มีพลังที่จะต้านทาน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับอย่างเชื่อฟัง
……
วันรุ่งขึ้น กู้ฉางชิงตื่นขึ้นมาก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ความทรงจำของคืนที่ผ่านมาเหมือนการฉายภาพยนตร์ซ้ำ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
เมื่อคืนไม่รู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาต้องการเธอไปกี่ครั้ง เธอจำได้ว่าตัวเองมึนแล้วก็ผ่านไป
เธอรูสึกสบายตัว คิดว่าเฟิ่งจิ่งเหยาช่วยเธอทำความสะอาด
เมื่อคิดแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปด้านข้าง แล้วก็ไม่พบร่างของเฟิงจิ่งเหยา แต่มีเสียงน้ำในห้องน้ำ
ขณะที่เธอกำลังจะลุกจากเตียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกจากด้านใน
ก็เห็นเฟิงจิ่งเหยานุ่งผ้าขนหนูออกมา อนบนที่เปลือยเปล่าของเขายังคงเต็มไปด้วยความชื้นและหยดน้ำ รูปร่างแข็งแรง ดูเย้ายวนและเซ็กซี่มากๆ
กู้ฉางชิงเพียงจ้องมอง จากนั้นก็ละสายตาออกอย่างรวดเร็ว แต่แก้มสีแดงยังคงทรยศต่ออารมณ์ของเธอในเวลานั้น
เฟิงจิ่งเหยาสังเกตเห็นท่าทางของเธอ จึงหลบสายตาและยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ทำไมนานขนาดนี้แล้ว ยังคงเขินอายเช่นนี้?”
เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อกู้ฉางชิง และหัวเราะเยาะเย้ย
ในขณะเดียวกันความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
จากข้อมูลบอกว่าภรรยาองเขามีชีวิตส่วนตัวที่ไม่เป็นระเบียบ และเป็นคนใจกล้า ตอนนี้ดูจากร้างกายที่เปลีอยเปล่าและหน้าที่แดงของเขา เหมือนกับข่าวคราวนี้ไม่ถูกต้อง
ทันที่ที่เขานึกถึงสิ่งที่กู้ฉางชิงปกปิด ก็ต้องเก็บความสงสัยไว้ ดวงตาที่คลุมเคลือมองดูกู้ฉางชิง ดูท่าทีโต้ตอบของเธอ
“ใครบอกว่าฉันเขินอาย ฉันก็แค่เหนื่อย”
กู้ฉางชิงไม่ได้สังเกตสายตาที่มีเงื่อนงำของเขา โต้แย้งพาลโกรธเอาดื้อๆ
แล้วเฟิงจิ่งเหยาก็หรี่ตาลง และเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของกู้ฉางชิง
เมื่อคืนเขาคิดที่จะขอมันโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ และพูดเบาๆว่า:“งั้นวันนี้พักผ่อนที่บ้านก็ได้นะ”
กู้ฉางชิงได้ยินอย่างนั้น เธอก็ปฏิเสธโดยไม่คิด
เธอไม่อยากอยู่บ้านและไม่ทำอะไรเลย
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่ได้บังคับ
จากนั้นทั้งสองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และลงไปทานอาหารที่ชั้นล่าง
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาทานอาหารเสร็จและกำลังจะออกไป กู้ฉางชิงก็ลังเลและเรียกให้เขาหยุด
“คือว่า เฟิงจิ่งเหยาวันนี้ฉันขอติดรถไปที่บริษัทด้วยได้ไหม”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาได้ยินก็ขมวดคิ้วและพูดว่า:“ทำไม?”
กู้ฉางชิงเม้มริมฝีปากและอธิบายว่า:“รถในโรงรถมีราคาแพงเกินไป ไม่สะดวกที่จะขับไปบริษัท”
ทันทีที่เธอพูดสิ่งนี้เฟิงจิงเหยาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และคำพูดอ้อมค้อมในตอนเช้าก็คค่อยๆเข้ามาอีกครั้ง
ว่ากันว่ากู้ฉางซินรักรถ รถในโรงรถแต่ละคันราคาหลายสิบล้าน และยังเป็นรุ่นที่ผลิตในปริมาณจำกัด ล้วนเป็นเธอซื้อมันเป็นการส่วนตัวในตอนแรก แต่ตอนนี้บอกว่ามันแพง
ใขขณะที่คิดเขาก็มองกู้ฉางชิงด้วยสายตาอึมครึม นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ดูเหมื่อนว่าหลังจากที่เขากลับมาผู้หญิงคนนี้นอกจากโมโหนิดหน่อย ไม่กลั่นแกล้ง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งที่เขามองไม่เห็นผู้หญิงตรงหน้าเขา
แท้จริงแล้วเธอปกปิดได้ดีเกินไปลึกเกินไป หรือเธอกลับเนื้อกลับตัวแล้ว?
นั้นเป็นความคิดที่แตกต่างของเขาทั้งหมด แล้วเขาก็ได้สติ
เขามองไปที่กู้ฉางชิงที่ยังคงรอคำตอบของเขาอยู่ เขาไม่ปฏิเสธ และพยักตอบรับ
สิบนาทีต่อมาทั้งสองก็เดินทางถึงสำนักงานสาขา กู้ฉางชิงยังคงลงรถที่ทางเข้าเหมือนเดิม
หลังจากเธอเข้าไปที่บริษัท ทุกอย่างก็สงบ
ลู่ซือยวี่ก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเธอ
อีกไม่นานก็ถึงเวลาประชุมตอนเช้า
ลู่ซือยวี่ในฐานัรักษาการผู้จักการ เป็นประธานในการประชุมช่วงเช้านี้
“จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้คือเพื่อบอกทุกคนเกี่ยวกับการเตรียมการครั้งต่อไปของแผนกออกแบบของเรา”
เธอยืนอยู่ด้านบนนำเสนอเค้าโครงผ่านโปรเจ็กเตอร์ และเริ่มเตรียมการ
“ตอนนี้บริษัทก่อตั้งขึ้นแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี้ ใช้ทักษะของตนเองเพื่อเปิดตลาดให้กับบริษัท”
เธอพูดถึงตรงนี้แล้วก็มองไปรอบๆก่อนที่จะพูดต่ออย่างเคร่งขรึมว่า:“ฉันรู้ว่าทุกคนในที่นี้มีความกระตือรือร้นในเรื่องแฟชั่นและองค์ประกอบที่เป็นที่นิยม และการวางตำแหน่งของ บริษัทคือการปรับแต่งระดับไฮเอนด์ มุ่งเป้าไปยังลูกค้าชนชั้นสูงทั้งหมด ฉันหวังว่าทุกคนจะใส่ใจในทุกๆด้าน และอย่าให้มีอะไรผิดพลาด”
“แน่นอนว่าตอนนี้หัวหน้าดีไซเนอร์ของพวกเรามีเพียงชวี่ชิงหยุน มู่ฉิงคง และกู้ฉางซิน แต่คนอื่นๆก็ไม่ต้องท้อแท้ ขอเพียงทุกคนสู้ก็จะมีอนาคตที่สดใส!”
หลังจากพูดจบเธอก็มองคนอื่นๆอย่างมีแรงบันดาลใจ
และทั้งห้องประชุมก็คล้อยตามคำพูดของเธอ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ
คนส่วนใหญ่ไม่พอใจที่กู้ฉางชิงเป็นหัวหน้าดีไซเนอร์
ถึงอย่างไรในวันหนึ่ง พวกเขายังสามารถเรียนรู้ได้อีกมาก โดยเฉพาะลู่ซือยวี่จะเปิดโปงข้อมูลของกู้ฉางชิงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
“ผู้จัดการบ้าไปแล้วหรอ ให้คนบ้านป่ามาเป็นหัวหน้าดีไซเนอร์ ไม่กลัวบริษัทเสียหายหรือไง”
“ไม่ ฉันได้ยินว่าดีไซเนอร์กู้จบเฉพาะทางด้านการเงิน และงานอดิเรกคืออกแบบ”
“พระเจ้า นั้นเธอก็ไม่มีประสบการณ์มาก่อน เธอออกแบบมาแล้วจะใช้งานหรอ”
เสียงเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเสียงใหญ่หรือเสียงเล็ก แทบจะทุกคนที่ได้ยิน
เมื่อกู้ฉางชิงได้ยิน ก็ค่อยๆได้สติกลับมาจากความตกตลึงอย่างช้าๆ
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังสงสัยรอบๆตัว เธอขมวดคิ้วและมองไปที่ลู่ซืออยู่ ด้วยความงงงวย
นี่มันท่ามวยจีนอะไรอีก หรือว่าไม่รู้จะทำยังไงเลยใช้งานทางธุรกิจเพื่อวางแผนจะข้าเธอหรอ?
ขณะคิดเธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากอย่างเยาะเย้ย
ไม่ใช่ว่าเธอโอ้อวด แต่เธอยังมีความมั่นใจในความสามารถของเธอ
ดังนั้นไม่ว่าลู่ซือยวี่จะสร้างความลำบากใจในที่ทำงานให้เธอยังไง เธอจะไม่มีทางให้มันเกิดผลกระทบกับเธอ
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเธอก็นั่งลงอย่างราบเรียบ และปล่อยให้คนรอบข้างพินิจพิเคาระห์
แต่ลู่ซืออยู่เห็นว่าเธอสงบมากท่ามกลางข่าวลือ และอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มในใจ
ในความคิดของเธอกู้ฉางชิงกำลังแสร้งทำเป็นสงบ รอหลังจากที่เธอโดดเดี่ยว ดูซิว่าเธอจะแสร้งทำยังไง
เธอหันกลับมาจ้องมองด้วยสายตาความเย็นชา พูดอีกสองสามคำ แล้วประกาศปิดการประชุม
เมื่อกู้ฉางชิงได้ยินคำว่าเลิกประชุม เธอก็ลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเตรียมที่จะออกไป เธอไม่ต้องการให้รอยจูบที่คอของเธอถูกเปิดเผย เพราะว่าเวลาเสื้อผ้าขยับก็จะโผล่ให้เห็น แต่ลู่ซือยวี่ก็บังเอิญเห็นมันเข้า
ทันใดนั้นเธอก็จ้องมองกู้ฉางชิงราวกับว่าสายตาเป็นคมมีด อยากจะสับเธอให้ละเอียดเป็นหมื่นๆชิิ้น
ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นในใจเธออย่างบ้าคลั่ง