สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – บทที่ 67 ขโมยของของคนอื่น

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

ขณะที่ชวี่ชิงหยุนพูด เธอก็พยายามค้นโต๊ะทำงานของกู้ฉางชิง

กู้ฉางชิงสีหน้าขรึม และพูดอย่างเคร่งเครียดว่า:“ฉันบอกว่าไม่ได้หยิบก็ไม่ได้หยิบสิ ดีไซเนอร์ชวี่ทำเกินไปแล้วนะ!”

ห้ามคนอื่นเคลื่อนย้ายของบนโต๊ะ

อย่างไรก็ตามชวี่ชิงหยุนไม่สนใจเธอ และค้นโต๊ะด้วยตัวเอง

ไม่นานก็เห็นมือของเธอหยุดอยู่ที่ซอกมุมหนึ่ง

“กู้ฉางซิน เธอบอกว่าเธอไม่ได้หยอบไปป แล้วนี่มันหมายความว่าไง?”

เธอยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วหยิบภาพวาดการออกแบบออกมาจากซอกต่อหย้ากู้ฉางชิง

กู้ฉางชิงมองไปที่ภาพวาดการออกแบบที่ลงนามชื่อของชวี่ชิงหยุน และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยน

ชวี่ชิงหยุนไม่สนใจท่าทีของเธอ แล้วถามอีกครั้งว่า:“กู้ฉางซิน เธอแอบขโมยแบบแผนของคนอื่น คงไม่ใช่ต้องการเอาไปใช้หรอกนะ?”

เมื่อได้ยินเอย่างนั้นกู้ฉางชิงก็มองไปที่ภาพวาดการออกแบบบนโต๊ะพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ฉันไม่เคยแตะต้องภาพวาดการออกแบบของคุณเลย”

ชวี่ชิงหยุนไม่เชื่อและมองไปที่เธออยย่างถากถาง

“ไม่เคยแตะต้อง เป็นไปไม่ได้ที่แบบแผนจะวิ่งมาหาเธอเอง?”

กู้ฉางชิงแค้นที่ไม่มีทางโต้แย้ง

ในขณะนั้นลู่ซือยวี่ก็กลับมาจากข้างนอก

เธอมองไปที่กลุ่มคนแล้วถามว่า:“พวกเธอมารุมล้อมทำอะไรกัน?”

เมื่อคนอื่นๆได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดถึงเรื่องเมื่อตะกี้ออกมา

หลังจากนั้นชวี่ชิงหยุนก็พูดให้คนอื่นคล้อยตาม และมองกู้ฉางชิงด้วนความโกรธ

“ผู้จัดการฉันต้องการให้กู้ฉางซินขอโทษฉัน”

เมื่อลู่ซือยวี่ได้ยินก็ตบไหล่เป็นการปลอบขวัญเธอ

“ไม่ต้องกังวล ฉันจะตัดสินให้เธอเอง”

พูดจบเธอก็มองไปที่กู้ฉางชิง และพูดอย่างเย็นชาว่า:“กู้ฉางซิน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าภาพออกแบบบนเว็บบอร์ดของเธอเอามาจากไหน อาจเป็นไปได้ว่าใช้เงินซื้อมา แต่เรื่องนี้หลักฐานมันชี้ไปที่เธอ เป็นความผิดเธอโดยไม่ต้องสงสัย เธอขอโทษจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นตราบาปภายหลัง เธอว่าดีไหม?”

กู้ฉางชิงได้ยินที่เธอพูดก็ยืนยังได้ว่าเธอเป็นคนทำ จนเกือบจะยิ้มออกมา

ถ้าเธอขอโทษก็เท่ากับยอมรับว่าเธอเป็นคนขโมยไป

วิธีการของลู่ซือยวี่ดีจริงๆ ขุดหลุมฝังเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

เธอมองอย่างถากถางกลับไปที่ลู่ซือยวี่ ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า:“ผู้จัดการลู่ อย่าพูดอย่างนี้ คุณมีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าฉันขโมยภาพวาดการออกแบบ?”

“หลายคนชี้ตัวไปที่คุณ เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขากล่าวหาคุณ?”

ลู่ซือยวี่โตแย้งโดยไม่คิด

กู้ฉางชิงได้ยินแล้วก็มองไปรอบๆด้วยสายตาเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า:“พวกคุณเห็นฉันขโมยด้วยตาตัวเองรึเปล่า?”

ทุกคนรู้สึกรำคาญเล็กน้อยกับคำถามของเธอ และทุกคนก็พึมพำเบาๆ

“แม้ว่าฉันจะไม่เห็นว่าคุณหยิบมันมา แต่ก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ว่ามีภาพวาดอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ”

“ใช่ ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะเถียงข้างๆคูๆอยู่อีก”

“อีกทั้งอาจารย์ชวี่ก็บอกแล้วว่า ขอเพีนงให้เธอขอโทษ แล้วเรื่องนี้ก็จะปล่อยผ่านไป”

กู้ฉางชิงฟังการสนทนาของพวกเขาและยิ้มออกมา

“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันไม่ได้หยิบภาพวาดการออกแบบมา ถ้าพวกคุณไม่เชื่อก็สามารถเรียกการตรวจสอบได้ และหากตรวจสอบไม่ได้ พวกเราก็ไปแจ้งตำรวจเพื่อดูว่าบนภาพวาดการออกแบบนี้ มีลายนิ้วมือของใครอยู่!”

เธอยืนตัวตรง น้ำเสียงหนักแน่น และมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า

ไม่ใช่สิ่งที่เธอทำและเธอจะไม่ยอมให้ตราบาปนี้ติดตัวเธอไป

ชวี่ชิงหยุนคิดไม่ถึงว่ามาถึงตอนนี้แล้วกู้ฉางชิงยังจะเล่นลิ้นอยู่อีก เขายิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “ดี งั้นก็ไปแจ้งตำรวจ ฉันก็จะอยากจะดูว่าคุณจะลงเอยอย่างไร!”

ขณะที่เธอพูด เธอส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆโทรหาตำรวจ

เมื่อผู้ช่วยเห็นก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา

เธอกำลังจะโทรแจ้งตำรวจ ลู่ซือยวี่ก็ขัดขวางเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ไม่ต้องแจ้งตำรวจหรอก พวกเราจัดการกันเองดีกว่า มิฉะนั้นถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป จะทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง”

เธอใช้คุณธรรมมาโน้มน้าว แต่จริงๆแล้วเธอกลัวว่าหลังจากโทรแจ้งตำรวจแล้ว เธอจะไม่สามารถปิดบังสิ่งที่เธอทำได้

ก่อนหน้านี้เธอคิดวางแผนใส่ร้ายกู้ฉางซิน แต่ลืมตรวจตราในห้องทำงาน

ในขณะนี้เธอรู้สึกเหมือนกำลังยกหินขึ้นและกระแทกเท้าของตัวเอง เธอโกรธแค้นมาก แต่ตอนนี้เธอต้องปลอบโยนไม่ให้ทั้งสองคนโทรแจ้งตำรวจ

กู้ฉางชิงได้ยินคำพูดที่ดูสง่างามของเขา อีกทั้งยังคำพูดที่พยายามเกลี้ยกล่อมชวี่ชิงหยุดไม่ให้แจ้งตำรวจ เธอก็รู้สึกแปลกใจ

ตามหลักแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นควรจะแจ้งตำรวจให้จัดการ แค่ลู่ซือยวี่ผู้หญิงคนนี้กลับทำสวนทางกัน

นี่เป็นการกระตุ้นความคิด

เธออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาสังเกตลู่ซือยวี่ และเธอก็มีการคาดเดาที่คลุมเครืออยู่ในใจ

บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเธอ

ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้วางแผนใส่ร้ายเธอแค่ครั้งสองครั้ง

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วความโกรธก็แวบเข้ามาในดวงตาเธอ

“ผู้จัดการลู่ ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว ควรตรวจสอบก็ตรวจสอบ ฉันไม่อยากถูกปรักปรำ!”

เธอพูดจบก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น:“พวกคุณโทรหาตำรวจได้เลย ฉันจะไปสังเกตุการณ์ที่ห้องบันทึกวีดีโอ จะได้ไม่มีใครบางคนเข้าไปทำอะไรก่อนล่วงหน้า”

ในตอนท้ายของประโยคเธอกวาดสายตาที่แฝงด้วยความหมายที่ไม่แน่ชัดไปที่ลู่ซือยวี่

ลู่ซือยวี่สังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติของเธอ สีหน้าก็เปลี่ยน

เธอไม่รู้ว่าสายตาของกู้ฉางซินหมายถึงอะไร หรือว่าเธอดูออกแล้ว?

ชั่วขณะหนึ่งความลุกลี้ลุกลนปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ แต่ก็ถูกเธอระงับไว้

ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาคิดเรื่องนี้ เธอจะต้องขัดขวางคนพวกนี้ ไม่ปล่อยให้พวกเขาทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่

“กู้ฉางซิน เธอต้องการทำให้เรื่องนี้ไม่สามารถควบคุมได้หรอ?”

เธอก้าวไปข้างหน้า จับข้อมือของกู้ฉางชิงแน่น และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เมื่อพูดจบเธอไม่รอให้กู้ฉางชิงตอบกลับ เธอก้าวไปข้างหน้าและข่มขู่ด้วยเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถได้ยิน:“นี่เป็นเรื่องใหญ่และไม่ดีสำหรับใครทั้งนั้น หรือว่าเธออยากรบกวนพี่จิ่งเหยาด้วยด้วยเรื่องล่ะ?อย่าลืมคำเตือนที่คุณป้าหมิงบอกเธอเมื่อวาน”

เมื่อกู้ฉางชิงฟังจบ ยิ้มแล้วมองไปที่คนตรงหน้า

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

ขณะพูดแววตาเธอเป็นประกายเย็นชา และพูดเยาะเย้ยว่า:“ลู่ซือยวี่ คุณไม่เห็นด้วยอย่างนี้ คงไม่ใช่เพราะใจฝ่อหรอกนะ?”

เมื่อลู่ซือยวี่ได้ยินสีหน้าก็เคร่งขรึมทันที

จริงๆแล้วนังผู้หญิงเลวคนนี้เดาได้

เธอจ้องมองกู้ฉางชิงด้วยสายตาอึมครึม

กู้ฉางชิงไม่ได้สนใจแววตาของเขา เมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเธอเดาถูก เธอหัวเราะเยาะและพูดว่า:“เธอไม่อยากให้ฉันตรวจสอบก็ได้ แต่ต้องล้างมลทินให้ฉัน มิเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จบ ฉันคงต้องไปแจ้งตำรวจให้มาจัดการ”

เมื่อลู่ซือยวี่ได้ยินอย่างนั้นก็โกรธมากขึ้น

นังผู้หญิงเลวคนนี้กล้าขมขู่เธอ!

แม้ว่าเธอจะโกรธจนยากที่จะทนไหว แต่เธอก็ทำได้แค่ทำตามที่เขาบอก

ใครบอกเธอทำสิ่งไม่ดีแล้วไม่เช็ดให้สะอาด

“อาจารย์ชวี่ ฉันคิดออกแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกกัน”

เธอกัดฟันและจ้องไปที่กู้ฉางชิง และรีบอธิบายว่า:“เมื่อตอนเที่ยงฉันเดินผ่านโต๊ะทำงานของคุณจึงหยิบภาพวาดการออกแบบขึ้นมาดู แล้วลืมวางกลับไปที่เดิม ไม่คิดว่ามันจะหายไปอยู่ตรงที่ดีไซเนอร์กู้ ”

เมื่อพูดจบเธอก็ไม่ลืมที่จะให้ชวี่ชิงหยุนดูแววตาของเธอ

ชวี่ชิงหยุนเดิมที่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเธอ เขารับรู้ถึงการบอกใบ้บางอย่าง แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมัน

“เหอๆ ที่แท้ก็เป็นการเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”

เธอร่วมมือกับลู่ซือยวี่:“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าได้รับการชี้แจงแล้ว ทุกคนก็แยกกันไปทำงานตามตำแหน่งหน้าที่

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

Status: Ongoing
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท