และในความเป็นจริง กู้ฉางชิงก็ยอมจำนนจริงๆ
เพียงแต่คือต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่าง
จริงๆเธออยากจะไม่ดูดำดูดี เธอก็ทำไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้วในฐานะนักออกแบบคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นจรรยาบรรณในวิชาชีพหรือความเห็นแก่ตัว ล้วนไม่หวังให้เสื้อผ้าที่ตนเองออกแบบ ต้องมีจุดด่างพร้อยไม่ว่าอย่าไรก็ตาม
อีกประการหนึ่ง ในตอนแรกเธอก็เพียงรับปากปลอมๆกับกู้ฉางชิง แต่ไม่ได้รับปากว่าประเทศจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้
แน่นอนว่ากู้หงเซินใช้อำนาจคุกคามครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ไม่มีทางที่จะเพิกเฉยได้ ทำได้เพียงพูดกับเฟิงจิงเหยาอย่างลับๆ
คิดแบบนี้แล้ว ในคืนนั้นที่กลับถึงบ้านตระกูลเฟิง เธอรอให้เฟิงจิงเหยากลับมารับประทานอาหารด้วยกัน ก็เอ่ยถึงเรื่องที่ไปโรงงานทอผ้าเมื่อตอนกลางวัน
“เมื่อเช้าฉันกับผู้จัดการใหญ่แล้วก็คุณลู่ไปคอนเฟิร์มผ้าที่โรงงานทอผ้ามาด้วยกัน คุณภาพไม่เลวเลย”
เธอพูดถึงตรงนี้ ก็สังเกตุการณ์เฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาสังเกตุเห็นสายตาของเธอ ก็ไม่ได้สนใจ ส่งเสียงอืมอย่างไม่เก็บมาใส่ใจ
คล้ายกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดเรื่องนี้จริงๆ
กู้ฉางชิงไม่รู้จะทำยังไง ทำได้เพียงกัดฟันกล่าวต่อไปว่า: “ถึงแม้ว่าผ้าส่วนใหญ่จะดี แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่มีตำหนิ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะหาคนรับผิดชอบการตรวจสอบคุณภาพเฉพาะด้าน มารับมือกับเรื่องนี้
ตามสถานการณ์ที่เธอพูดมานี้ ในที่สุดเฟิงจิงเหยาก็ฟังออกถึงความหมายแฝงในคำพูดของเธอ
เขาหยุดการกระทำในมือลงอย่างแปลกใจ เหลือบตาไปมองยังกู้ฉางชิง
พูดตามหลักแล้ว ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ควรจะปกป้องพ่อของเธอ แต่คำพูดที่เธอเล่ามาเมื่อกี้ กลับมีความหมายที่กล้าจะเป็นศัตรูกับพ่อของเธอด้วยซ้ำไป นี่จะทำให้เขาไม่แปลกใจได้อย่างไร
“คุณทำอย่างนี้ ไม่กลัวพ่อคุณโกรธหรอ?”
เขากล่าวถามอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ในสายตาแฝงการถามอย่างเจาะลึก คล้ายกับกำลังแยกแยะว่าคำพูดนี้ของเธอจริงหรือหลอก
ถึงอย่างไรจนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อให้กับพ่อของเธอ ใช้กลอุบายอย่างถึงที่สุด
กู้ฉางชิงมองออกถึงในสายตาที่งุนงงและสงสัยของเขา กล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆว่า: “ฉันเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กของบริษัทเท่านั้น”
ความหมายก็คือ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ ล้วนเป็นการกำหนดแผนของบริษัท
เฟิงจิงเหยาก็ฟังออกถึงความหมายนั้น ดวงตาเขาที่มองกู้ฉางชิงอย่างเคร่งขรึม ก็ยิ้ม
“เป็นพนักงานตัวเล็กๆที่ดีคนหนึ่ง”
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือกู้ฉางชิงผู้หญิงคนนี้แสร้งทำเป็นหาข้ออ้างให้ตนเอง
ถึงแม้ว่าพ่อเขาจะตำหนิ ก็ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอ ที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่าหลังจากนี้วัตถุดิบจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็จะไม่เกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นกับเธอ
กู้ฉางชิงเห็นสถานการณ์ ก็รู้ว่าความคิดที่รอบคอบของตนเองถูกผู้ชายคนนี้มองทะลุ ฝืนความไม่สบายใจภายในใจ กล่าวถามอีกครั้งว่า: “คุณคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เฟิงจิงเหยาได้ยิน ก็หันมามองเธอ กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า: “ตามที่คุณปรารถนา”
พูดจบ เขาก็รับประทานอาหารเสร็จ เช็ดมุมปากที่วดงามมีสง่า ทิ้งไว้ประโยคนึงแล้วว่าจะไปห้องหนังสือ ลุกขึ้นแล้วออกไป
กู้ฉางชิงมองภาพด้านหลังเขาเดินออกไป ถอนหายใจที่กลั้นไว้อย่างโล่งอก
เรื่องนี้ถือว่าได้บอกคร่าวๆไปแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อถึงเวลากู้หงเซินจะทำเรื่องอะไรที่มันมากเกินไปจริงๆ ก็มาโทษตัวเธอไม่ได้
เธอคิดพลาง ในใจก็ปล่อยวางก้อนหินก้อนใหญ่ลง จึงมีความอยากรับประทานอาหารต่อไป
รอเธอทานอิ่ม ก็กลับเข้าห้อง ทำงานที่ค้างอยู่ในมือต่อไป
ช่วงเวลานึง บ้านหลังใหม่ที่เงียบสงบทั้งหลัง
จนกระทั่งหัวค่ำ จึงต้อนรับแขกคนนึงเข้ามา
“คุณชาย คุณลู่อยู่ด้านนอกขอเข้าพบครับ”
พ่อบ้านรายงานอยู่นอกห้องหนังสืออย่างเคารพนบนอบ
เพราะก่อนหน้านี้เฟิงจิงเหยามีกฎบังคับว่าหากลู่ซือหยี่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ไม่สามารถเข้าไปเหยียบบ้านหลังใหม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว ฉะนั้นขณะนี้ที่เธอมาอีกครั้ง ก็จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ
เฟิงจิงเหยาได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองไปยังพ่อบ้าน
“เธอพูดว่ามีเรื่องอะไรไหม?”
พ่อบ้านตอบกลับว่า: “ตามที่บอกคืองานบริษัท คุณชายต้องการพบไหมครับ?”
เฟิงจิงเหยาทำไม้ทำมือ ให้เขาไปพาคนเข้ามา
พ่อบ้านพยักหน้า หลังลงชั้นล่างไปพาลู่ซือหยี่เข้ามาในบ้านหลังใหม่ เดินตรงไปยังห้องหนังสือ
หลังจากลู่ซือหยี่ตามพ่อบ้านมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ก่อนเธอมาหาพี่จิงเหยา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่จำเป็นต้องรายงาน แต่ปัจจุบันนี้เพราะกู้ฉางชิงหญิงชั่วคนนั้น เธอจึงถูกขัดขวางในการเข้าออก นี่จะไม่ทำให้เธอโมโหได้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้เห็นบ้านหลังใหม่ที่เธอไม่ได้เห็นเพียงไม่กี่วัน มีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย
มีการเพิ่มแจกันดอกไม้บนโต๊ะสำหรับวางชุดน้ำชา ทุกทิศทางมีการตกแต่งอย่างอบอุ่นอยู่ไม่น้อย ทำให้ห้องที่เงียบสงัดก่อนหน้านี้มีกลิ่นอายของบ้านอยู่ไม่น้อย
เห็นตาที่แดงกร่ำทั้งคู่ของเธอ
เธอไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่ล้วนคือผลงานชิ้นเยี่ยมของกู้ฉางชิงหญิงชั่วคนนั้น
ไม่ช้าก็เร็วสักวันนึง เธอจะขับไล่เธอออกไป พร้อมกับขยะที่ไม่มีประโยชน์ของเธอ
เธอคิดพลาง ใช้กำลังระงับเก็บสายตาของตนเอง ไม่นานก็เดินตามพ่อบ้านมาถึงห้องหนังสือ
“คุณชาย คุณลู่มาแล้วครับ”
พ่อบ้านเคาะประตูรายงานให้ทราบ รอให้เฟิงจิงเหยาขานรับ จึงเปิดประตูห้อง ให้ลู่ซือหยี่เข้าไป
และพอลู่ซือหยี่ก้าวเข้าไปยังห้องหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะถูกความงดงามตรงหน้าทำให้หลงใหล
เพียงแค่เห็นเฟิงจิงเหยาสวมชุดอยู่บ้าน พิงอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ปลดกระดุมคอเสื้อออกสองเม็ด แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่แน่วแน่มีพลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออยู่ใต้การส่องแสงของแสงไฟ เขาส่งกระจายกลิ่นอายของความเกียจคร้าน ราวกับเสือชีตาห์ที่กำลังพักผ่อนอยู่ ทั้งทำให้คนหลงใหลทั้งอันตราย
ลู่ซือหยี่เห็นก็ลำคอตึงเกร็ง จะปิดบังความรักใคร่ชื่นชมภายใต้ดวงตานี้ได้อย่างไร
เธอจ้องมองไปที่เฟิงจิงเหยาอย่างบ้าคลั่ง อีกคือในใจที่ปฏิญาณอย่างไม่แสดงออก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตลอดชั่วชีวิตนี้เธอจะต้องได้ผู้ชายคนนี้
มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับตนเอง!
เฟิงจิงเหยารู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ ในใจก็ปรากฎถึงความเบื่อ กล่าวอย่างเย็นชาว่า: “คุณหาฉันมีธุระอะไร?”
ลู่ซือหยี่ดึงสติกลับมา ฟังออกถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียงของเขา รีบระงัยความรักใคร่ชื่นชมในสายตาทันที
ไม่มีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอไม่สามารถให้พี่จิงเหยารับรู้ได้ถึงเรื่องภายในใจของเธอ ไม่เช่นนั้นพี่จิงเหยาจะต้องตัดความสัมพันธ์กับเธออย่างแน่นอน
คิดพลาง เธอก็กระแอมลำคอ ชี้แจ้งวัตถุประสงค์ในการมา
“พี่จิงเหยา ที่ฉันมาคืออยากจะพูดกับคุณเกี่ยวกับเรื่องสินค้าผ้าที่นำเข้า
ใช่ ตั้งแต่เริ่มต้น จุดประสงค์นี้ที่เธอมาก็เพื่อร้องเรียน
เธอพูดบิดเบือนความจริงเรื่องที่โรงงานเมื่อกลางวันมีผ้าคุณภาพต่ำปะปนอยู่ในจำนวนนั้น
“พี่จิงเหยา เรื่องนี้พวกเราจะไม่สามารถให้อภัยได้โดยไร้หลักการ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบคุณภาพของสินค้าในวันข้างหน้าของพวกเรา”
เฟิงจิงเหยาเห็นหน้าตาท่าทางที่โมโหของเธอ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆว่า: เรื่องนี้ฉางชิงเคยบอกกับฉันแล้ว ต่อไปฉันได้จัดให้คนควบคุมและเร่งรัดโดยเฉพาะแล้ว”
ลู่ซือหยี่คาดไม่ถึงว่ากู้ฉางชิงจะพูดออกมา จึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เดิมทีเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะโฉดชั่วทะเยอทะยานเหมือนกับพ่อของเธอ คิดไม่ถึง ไม่นึกเลยว่าจะซื่อตรงแบบนี้
ทันใดนั้น เธอก็อึดอัดในอก รู้สึกว่าตนเองเป็นรองผู้หญิงคนนั้นในทุกๆด้าน
กระทั่งเธอยากที่จะหาจุดอ่อนสักจุดนึง ก็ถูกผู้หญิงคนนั้นปิดตายรอยรั่ว
ที่ยิ่งทำให้คนอิจฉาคือ พี่จิงเหยายังปกป้องผู้หญิงคนนั้นอยู่ตลอด นี่ทำให้เธออิจฉาริษยาอย่างบ้าคลั่ง
ผู้หญิงคนนั้นมีสิทธิ์อะไรได้รับการชื่นชอบจากเขา
เธอชอบเขามาตั้งหลายปี ก็ไปมาหาสู่กันหลายปี ถึงกับเทียบไม่ได้กับที่พวกเขาอยู่ร่วมกันมาเพียงหนึ่งเดือนเชียวหรอ?
เฟิงจิงเหยาไม่ได้สังเกตเห็นถึงความคิดแค้นเคืองภายในใจของเธอ เห็นเธอยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวถามว่า: “คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม?”
ลู่ซือหยี่ดึงสติกลับมา กดความไม่ยินยอมภายในใจ ฉีกมุมปากยิ้มแล้วกล่าวตอบกลับว่า: “ไม่มีแล้ว”
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า: “ไม่มีก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
พูดจบ เขาก็ไม่สนใจลู่ซือหยี่อีก ก้มหน้าจัดการเอกสาร