เฟิงจิ่งเหยามองไปที่เธอ จากนั้นก็มองเข้าไปในห้อง ไม่ได้ขยับตัว
“เธอต้องการบอกอะไรฉันเกี่ยวกับกู้ฉางซิน?”
เมื่อลู่ซือหยี่เห็นแบบนี้ก็รู้ว่าคงจะบังคับเขาไม่ได้แน่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดไปที่รูปถ่ายแล้วยื่นไปให้เขา
“นี่คือภาพถ่ายที่คนรับใช้ถ่ายได้อย่างไม่ตั้งใจที่สวน เผอิญถูกน้องพบเข้าเสียก่อน น้องกลัวว่าเขาจะเอาไปโพนทะนาข้างนอก จึงได้แย่งภาพมา ก็เลยอยากมาถามว่าพี่จิ่งเหยาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีค่ะ?”
ภาพที่เห็นคือ รูปถ่ายที่กู้ฉางฉิงกับฉินเป่ยหานกำลังจับมือกันที่ในสวน”
ท่ามกลางดอกไม้ภายใต้แสงจันทร์ ดูแล้วเป็นภาพที่โรแมนติกอยู่ไม่น้อย
ประกอบกับมุมที่ถ่ายออกมานั้นทำให้ดูราวกับทั้งคู่นั้นเป็นคู่รักกัน
เฟิงจิ่งเหยามองดูภาพด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
ลู่ซือที่คอยจับจ้องอาการของเขา เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มมีความโกรธ เธอก็แอบดีใจและยิ่งยั่วยุเขา “พี่จิ่งเหยาคะ เดิมทีน้องตั้งใจว่าจะไม่ให้พี่เห็นรูปนี้หรอกค่ะ กลัวว่าจะไปทำลายความสัมพันธ์ของพวกพี่ แต่น้องก็ทนไม่ได้จริง ๆ ไม่อยากจะให้พี่จิ่งเหยาถูกหลอก”
เธอพูดราวกับทุกเรื่องล้วนทำเพื่อเฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยาสีหน้าหนักอึ้งและไม่ได้พูดอะไร
มือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นนั้นได้บ่งบอกอารมณ์ในใจของเขา
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นภาพบาดตาบนจอโทรศัพท์
เขารีบลบภาพนั้นทิ้งไป
ลู่ซือหยี่มองเขาและอยากจะพูด
แต่ก่อนที่จะพูดอะไรก็ถูกเฟิงจิ่งเหยากล่าวเตือนขึ้นเสียก่อน
“เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง และหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ถูกแพร่งพรายออกไปจากเธอ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
อย่าตำหนิที่เขาต้องพูดแรงเลย
เพราะเขาเข้าใจดี หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพ่อแม่เข้าก็จะกลายเป็นปัญหาครอบครัวขึ้นมาอีก
ลู่ซือหยี่เดาความคิดของเขาได้จึงรับปากทางสายตา
“พี่จิ่งเหยาวางใจได้ น้องจะไม่พูดออกไปแน่นอนค่ะ”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้าและยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอ “หมดเรื่องแล้ว ฉันจะลงไปก่อนล่ะ”
พอพูดจบเขาก็หันตัวกลับ
ลู่ซือหยี่รีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าตัวเขาไว้
“ยังมีเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นเหรอ?”
เฟิงจิ่งเหยามองไปที่แขนที่ถูกเธอจับไว้และขมวดคิ้ว
“พี่จิ่งเหยาคะ วันนี้วันเกิดของน้อง พี่เข้าห้องมาพูดคุยเป็นเพื่อนน้องจะได้ไหมคะ?”
ลู่ซือหยี่แสร้งทำตัวน่าสงสาร
แต่เฟิงจิ่งหยาก็ไม่หวั่นไหว ถอนมือออกและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ยังมีแขกเหรื่อรออยู่ข้างล่างอีกมาก ถ้าเรื่องที่เจ้าบ้านหายไปถูกพูดออกไป บ้านตระกูลเฟิงจะถูกครหาว่าไม่มีมารยาทได้”
เมื่อเขาพูดจบก็ตั้งใจจะกลับลงไปอีกครั้ง
ลู่ซือหยี่เห็นดังนั้นก็กังวลใจ
“แต่……แต่ว่าน้องรู้สึกไม่ค่อยสบาย ใช่ค่ะ น้องไม่สบาย พี่จิ่งเหยาอยู่ดูแลน้องไม่ได้เหรอคะ?”
ดูเหมือนเธอจะเจอข้ออ้างที่สมเหตุสมผล เธอยืนพิงอยู่ที่ประตูและพูดอย่างอ่อนแรง
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาได้ยินดังนั้น ก็หยุดและหันกลับไปมองดูเธอ
ก็เห็นว่าพวงแก้มทั้งสองของลู่ซือหยี่แดงขึ้นอย่างผิดปกติ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกหก เขาเดินกลับไปอีกครั้งและพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ตามหมอมาดูอาการดีไหม?”
ลู่ซือหยี่เห็นเขาเดินกลับมา แววตามีประกายแห่งความสุข เธอแสร้งเป็นเวียนหัวไม่มีแรงแม้จะยืนแล้วล้มไปที่อ้อมอกของเฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยารีบพยุงตัวเธอไว้ และสังเกตว่าอุณหภูมิร่างกายของตัวเธอนั้นสูง เขาก็ขมวดคิ้ว
“ซือหยี่ เธอเป็นไข้ใช่ไหม?”
ลู่ซือหยี่ที่ซบอยู่ที่อกของเฟิงจิ่งเหยา สูดดมกลิ่นกายของเขาอย่างกระหาย
เธออยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไป
แต่สำนึกก็เตือนให้เธออย่าลืมแผนการที่วางไว้
“น้องก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว และร้อนมาก”
เธอตอบเฟิงจิ่งเหยาอย่างอ่อนแรง และไม่ลืมที่จะยื่นมือออกไปดึงเสื้อผ้าของเธอ
เดิมทีชุดที่เธอสวมก็มีลักษณะเป็นชุดเปิดไหล่ข้างเดียวอยู่แล้ว เมื่อถูกเธอดึงแบบนี้ ผ้าตรงหน้าอกก็ร่นลงมาไม่น้อย เผยให้เห็นเนินเนื้อเกือบครึ่ง
ยิ่งอยู่ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างก็ยิ่งน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
แต่เธอก็ไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น
เธอไม่เพียงแต่ดึงชุดของตัวเอง แต่ยังฉีกเสื้อผ้าของเฟิงจิ่งเหยาด้วย
เฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้ว รีบจับมือของเธอให้หยุดและดุอย่างเย็นชาว่า “ลู่ซือหยี่ หยุดเดี๋ยวนี้!”
ลู่ซือหยี่ที่ดูเหมือนจะขาดสติ มองดูเฟิงจิ่งเหยาที่อยู่ใกล้แค่คืบ ก็เริ่มหายใจแรง
เธอไม่ตอบเฟิงจิ่งเหยา แต่กลับก้าวขึ้นหน้าด้วยความกล้าเพื่อจะจูบเฟิงจิ่งเหยาให้ได้
เฟิงจิ่งเหยารีบหลบโดยสัญชาตญาณ และผลักเธอออกไปด้วยความโกรธ
“ฉันว่าเธอไข้ขึ้นจนเลอะเลือนไปแล้ว รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร?”
“น้องไม่รู้ค่ะ พี่จิ่งเหยา น้องอึดอัดเหลือเกิน พี่ช่วยน้องหน่อยได้ไหมคะ?”
ลู่ซือหยี่ถูกผลักออกโซซัดโซเซอยู่สักพักกว่าจะยืนนิ่งได้ แล้วก็โถมตัวเข้าไปหาเฟิงจิ่งเหยาอีก ใช้ร่างกายของเธอโอบรัดเฟิงจิ่งเหยาเอาไว้
เฟิงจิ่งเหยาอยากจะผลักเธอออกอีกครั้ง แต่กลับถูกลู่ซือหยี่โอบรัดไว้แน่นผลักยังไงก็ผลักไม่ออก
ตอนแรกเขาเข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ตัวร้อนเป็นไข้ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นเขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล
“ลู่ซือหยี่ เธอถูกวางยาแล้ว?”
ต่อให้จะไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง แต่จากอาการท่าทางก็ดูรู้ว่าต้องใช่แน่
เห็นได้ชัดว่าลู่ซือหยี่น่าจะตกหลุมพรางใครเข้าให้แล้ว
“น้องไม่ทราบค่ะ พี่จิ่งเหยา น้องร้อนเหลือเกิน น่าจะถูกวางยาจริง ๆ นั่นแหละค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ฤทธิ์ของยาก็ยิ่งทำให้เธอกล้าที่จะถาโถมตัวมากยิ่งขึ้น
เมื่อสองมือของเธอถูกปล่อย เธอก็รีบไปฉีกดึงเสื้อนอกของเฟิงจิ่งเหยาออก แถมยังพูดราวกับมีเหตุผลว่า “พี่จิ่งเหยา ขอเพียงพี่ช่วยน้อง น้องจะไม่โทษพี่จิ่งเหยา และจะไม่บอกเรื่องนี้ให้กับคุณป้าหมิงกับฉางซิน พี่จิ่งเหยาคะ พี่ก็ช่วยน้องเถอะนะคะ น้องรู้สึกไม่สบายอึดอัดตัวจริง ๆ”
เมื่อพูดจบเธอก็โน้มตัวไปข้างหน้าอีกครั้งและพยายามจะจูบ
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอที่เอาแต่พยายามจะเข้าหา ปลายจมูกของเขาฉุนไปด้วยกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นเครื่องสำอางต่าง ๆ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ เขาก็คิดถึงกู้ฉางซินขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้นก็ใช้เครื่องสำอาง แต่เขากลับไม่เคยได้กลิ่นที่ฉุนแรงเช่นนี้บนตัวเธอมาก่อน มีเพียงกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัวของเธอ เป็นกลิ่นที่สะอาดสดชื่น ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสบาย
ในขณะที่เขากำลังใจลอยอยู่นั้น กลิ่นใต้จมูกของเขาก็ยิ่งฉุนแรงขึ้น พลันสายตาก็เห็นลู่ซือหยี่เกือบจะจูบเขาได้แล้ว
ความรังเกียจฉายในดวงตาของเขา เขาหันศรีษะหนี ทำให้ลู่ซือหยี่จูบพลาดไปที่ปกคอเสื้อของเขาแทน
“พี่จิ่งเหยาอ่ะ”
ลู่ซือหยี่ร้องเรียกเขาด้วยความเสียใจ
เธอต้องการบุกอีกครั้ง แต่กลับถูกเฟิงจิ่งเหยารวบแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ แล้วลากเธอออกไป
ลู่ซือหยี่ไม่เต็มใจ และดิ้นรนอยู่ในมือเขา
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังฉุดกระชากลากกันอยู่นั้น กู้ฉางฉิงก็ปรากฎตัวขึ้นที่กลางทางเดิน
เมื่อเธอเห็นภาพทั้งสองคนที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ก็ผงะไป
เมื่อกี้คนรับใช้ของบ้านใหญ่เพิ่งไปบอกเธอว่าเฟิงจิ่งเหยามีธุระตามหาเธอ ให้เธอขึ้นมาหาเขาบนบ้าน
คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับฉากที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้
และเมื่อสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเธอเห็นเหตุการณ์เข้า ก็แสร้งทำเป็นแปลกใจและตะโกนว่า “คุณชาย คุณหนู พวกท่าน……”
แม้ว่าสาวใช้จะไม่ได้พูดคำสุดท้ายออกมา แต่เฟิงจิ่งเหยาก็รู้ดีว่าเธอต้องเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่
สีหน้าของเขาเข้มขึ้นทันที เขากวาดสายตามองไปทางกู้ฉางฉิงที่นิ่งอึ้งด้วยความงุนงง และพูดขึ้นด้วยเสียงดุว่า “โวยวายอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าคุณหนูของเธอไม่สบาย? ยังไม่รีบตามหมอมาอีก?”