กู้ฉางชิงฟังคำเสแสร้งของลู่ซือยวี่ หัวเราะแห้งๆออกมาถือว่าเป็นการตอบกลับ
และทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในงานเลี้ยงฉลอง
เมื่อทุกคนมาถึงห้องอาหาร คนรับใช้ก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร
พูดคุยสนทนากันไม่หยุด
คุณนายเฟิงพูดคุยกับคุณแม่ลู่อย่างมีความสุข
เฟิงซู่กับคุณพ่อลู่ก็กำลังคุยกันถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
แม้แต่เฟิงจิงเหยาก็ถูกลู่ซือยวี่เอาแต่ถามถึงเรื่องบริษัท
กู้ฉางชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้คนเดียว เหมือนถูกทุกคนมองข้าม
เธอมองไปรอบๆที่กำลังวุ่นวายพูดคุยกัน สายตาเธอเต็มไปด้วยความอึดอัด
ลู่ซือยวี่ที่เห็นเธอไม่เป็นตัวของตัวเอง จ้องมองด้วยสายตาที่สะใจ
ในเมื่อเธอกล้ามาเอง ก็อย่าหาว่าเธอทำให้ลำบากใจ
และคนในบ้านตระกูลลู่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทำเหมือนราวกับว่าไม่เห็นกู้ฉางชิง
เมื่ออาหารครบแล้ว ก็เชิญให้ตระกูลเฟิงรับประทาน
“ทั้งหมดนี่ซือยวี่เป็นคนเข้าครัวลงมือทำเอง ทำตามที่พวกคุณชอบเลย ไม่รู้ว่าจะถูกปากไหม”
“เกรงใจจังเลยซือยวี่!”
คุณนานเฟิงมองไปโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร มองไปรอบๆกับข้าวมากมายเป็นของโปรดเธอหมดเลย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉันอิจฉาคุณนายลู่จริงๆที่มีลูกสาวน่ารักแบบนี้ เสียดายฉันมีแต่ไอ่หัวดื้อแถมยังชอบทำให้ฉันโมโห”
ในขณะที่เธอพูดใบหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู
คุณแม่ลู่เห็นเช่นดีใจดวงตาเต็มไปด้วยประกาย
เห็นเธอพูดอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ก็เปลี่ยนเรื่องและมองไปที่กู้ฉางชิง ยิ้มและพูดว่า: “ถึงแม้ว่าคุณนายจะไม่มีลูกสาว แต่กู้ฉางชิงก็ถือว่าเป็นลูกสาวเหมือนกันนะแถมคุณกู้ยังถูกเลือกเองกับมือของนายท่าน ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ คุณนายเฟิงอย่าถ่อมตัวนักเลย”
กู้ฉางชิงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาพูดคุยกันอยู่ดีๆทำไมถึงวนกลับมาพูดถึงเธอได้
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง คาดไม่ถึงดันสบตากับคุณแม่ลู่พอดี ไม่รู้ด้วยเหตุใดทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
ต่อมาก็ได้ยินคุณแม่ลู่พูดจาไม่รู้จะยกย่องหรือเหยียดหยาม
“จะว่าไปเจอคุณกู้ครั้งก่อนไม่ได้มองดีๆ ครั้งนี้มองอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกว่าคุณกู้สวยเซ็กซี่เหมือนกันนะ”
กู้ฉางชิงขมวดคิ้วไม่เข้าใจคุณนายลู่พูดหมายถึงอะไร
เธอสวยหรือว่ากำลังบอกเธอเย้ายวนกันแน่
เธอลดสายตาลง เก็บความรู้สึกไว้และตอบ: “คุณนายลู่ก็ชมเกินไป”
คุณนายเฟิงที่ไม่ชอบกู้ฉางชิง เมื่อเห็นเธอน้อมรับคำชมก็ไม่พอใจและพูดว่า: “เธอยังเทียบไม่ได้กับซื่อยวี่ คุณนายลู่อย่าไปชมเธอเลย”
คุณแม่ลู่เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เช่นนี้แล้วคุณนายเฟิงถึงพอใจและพูดถึงการพัฒนาของซือยวี่เมื่อหลายปีผ่านมานี้
“จะว่าไปแล้วก็ใจหาย หลายปีก่อนยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ มาปีนี้โตเป็นสาวสวยแล้ว ต่อมาต้องเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั่วทุกทวีปแน่เลย”
คุณแม่ลู่ได้ยินเช่นนี้เสแสร้งทำหน้าเศร้าและพูดว่า: “จะมีประโยชน์อะไร ยังไงจิงเหยาก็ไม่ชอบเธอ”
คำพูดนี้ตั้งใจพูดแหนบแหนมเฟิงจิงเหยา
ทันใดนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็นิ่งสงบ
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณนายเฟิงก็เปลี่ยนไป
เธอจ้องมองไปที่เฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาได้ยินคำพูดเมื่อกี้ ก็วางตะเกียบลง
“คุณนายลู่พูดเป็นเล่น ซือยวี่ดีเกินไปเหมาะสมกับคนที่ดีกว่า”
เขาพูดเช่นนี้เหมือนเป็นการปฏิเสธอีกครั้ง ทำให้บ้านลู่หมดหนทางที่จะพูดด้วย
ทั้งหมดก็เพียงแค่อยากทำให้ตระกูลลู่รู้สึกว่าลูกสาวพวกเขาควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า
คุณนายลู่ก้มหน้าทันที สีหน้าของลู่ซือยวี่ก็ไม่ดีนัก
แต่คุณพ่อลู่ คนแก่เจ้าเล่ห์
ถึงแม้ในใจเขาจะไม่มีความสุข แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อจากเรื่องนี้
“จะว่าไปแล้ว ซือยวี่ก็ประพฤติตัวดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยให้ฉันกับแม่ต้องเป็นห่วงเลย”
คุณนายเฟิงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบพูดต่อด้วยความเอ็นดู
“เท่านั้นไม่พอ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีที่สุด แถมยังจิตใจดีด้วย เธอเพิ่งจากไปสองสามวัน สองวันมานี้ทำให้ฉันไม่ชินเลย กลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ว่ายังไงก็คงเพราะว่าอยู่ด้วยกันมาหลายปี อยู่ๆจากไปกระทันหัน ในใจรู้สึกว่างเปล่าจริงๆ รู้สึกขาดอะไรไปยังไงอย่างงั้น”
เธอพยายามพูดความรักที่มีต่อลู่ซือยวี่ออกมาเพื่อให้ใบหน้าของคุณนายลู่ดูมีความสุขขึ้น
เมื่อเธอพูดจบ เฟิงซู่ก็พูดตามทันที
“เธอเองก็คิดมาก คราวหลังค่อยพาซือยวี่ไปที่บ้านอีก ยังไงแล้วบ้านก็อยู่ไกลจากกัน”
“จะว่าไปก็ใช่”
คุณนายเฟิงตอบ
ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกับตระกูลลู่ กู้ฉางชิงที่กำลังเฝ้าดูพวกเขาคุยกัน ในใจรู้สึกเย้าะเย้ย
จากการสนทนาของพวกเขาแล้ว ราวกับว่าซือยวี่เป็นคนในครอบครัว แต่เธอเป็นแค่คนนอก ถูกพวกเขาจัดไว้ข้างนอก
จะว่าไปมุมมองนี้เธอเองก็ดูออกแต่แรกแล้ว
เช่นนี้เธอมองไปที่ทุกคนรอบๆตัวเธอ และตัดสินใจจะนั่งเงียบๆเป็นแค่ฉากประกอบเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีคนคีบอาหารใส่ถ้วยเธอ
ในขณะที่เธอกำลังตะลึง ข้างหูก็มีเสียงของเฟิงจิงเหยาดังขึ้น “ทำไมเธอไม่ค่อยกินเลย กินเยอะๆสิ”
กู้ฉางชิงเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเฟิงจิงเหยาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ
“อืม”
เธอพยักหน้า และกินกับข้าวที่เฟิงจิงเหยาคีบให้ทันที
คนอื่นๆที่มองอยู่ก็แสดงอาการที่แตกต่างกัน
ลู่ซือยวี่โกรธจนใบหน้าน่าเกลียดไปหมด ดวงตาเต็มไปด้วยความหึงหวง
คุณแม่ลู่ยังไม่ทันรู้สึกดีขึ้น
เห็นได้ชัดจากการกระทำของเฟิงจิงเหยาว่าไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเธอตั้งแต่แรก
หลังจากนั้น มื้ออาหารก็ผ่านไปด้วยดี
ผู้คนเริ่มมากล่าวอำลาตระกูลลู่
เมื่อออกจากบ้านตระกูลลู่ คุณนายเฟิงทนไม่ไหวแล้วและเรียกเฟิงจิงเหยา
“เมื่อกี้แกทำแบบนั้นหมายความว่าไง? รู้ไหมเกือบทำให้พวกเราต้องอับอาย”
เฟิงจิงเหยาถูกตำหนิอย่างไร้เหตุผล ขมวดคิ้วและถามว่า: “ผมทำแบบนั้นแล้วทำไม? ถ้าแม่ไม่ได้มีความคิดที่ไม่จริงจะให้อับอายได้ยังไง?”
คุณนายเฟิงได้ยินคำเถียงเช่นนี้รู้สึกโกรธขึ้นมา
“ยังจะต้องมีเหตุผลอีกหรอ แกก็รู้ว่าซือยวี่รู้สึกยังไงกับแก……”
เธอกำลังจะบอกความรู้สึกที่ลู่ซือยวี่มีต่อเขา แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเฟิงซู่ขัดจังหวะ
เขาเหลือบไปมองกู้ฉางชิง พูดด้วยอารมณ์เสีย: “ทะเลาะอะไรกันนักหนา? เงียบๆหน่อยได้ไหมนี่เพิ่งออกจากบ้านเขามาแท้ๆ!”
คุณนายเฟิงมองไปที่กู้ฉางชิงและพูดด้วยความไม่พอใจว่า: “อย่าคิดว่าแกทำให้ซือยวี่ออกจากบ้านแล้วแกชนะ เธอจะกลับมาอีกแน่นอน!”
พูดจบ เธอไม่สนใจสีหน้าของกู้ฉางชิงและเฟิงจิงเหยาและเดินตรงไปที่รถกับเฟิงซู่
กู้ฉางชิงมองรถที่กำลังผ่านไป เธอกัดริมฝีปากในใจรู้สึกไม่สบายใจและกดดัน
เฟิงจิงเหยาสังเกตเห็นสีหน้าไม่ดีของเธอ เดินไปข้างหน้าและจับมือเธอพูดว่า: “อย่าใส่ใจกับคำพูดของแม่เลยนะ เรากลับบ้านกันเถอะ”
กู้ฉางชิงตกลึงไปชั่วขณะ โดยเฉพาะสองคำสุดท้ายกลับบ้าน ทำให้เธอยิ่งรู้สึกใจสั่นไปหมด
เธออดทนเก็บอาการไว้ พนักหน้าและเดินจากไปกับเขา
ในขณะที่พวกเขากำลังจากไป ลู่ซือยวี่ที่มองดูอยู่ชั้นสองก็เห็นพวกเขาจับมือกันไป ทำให้เธอใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความหึงหวง
คุณแม่ลู่ที่ดูอยู่ข้างๆ รู้ถึงความรู้สึกของลูกสาว เดินไปปลอบและพูดว่า: “ซือยวี่ ไม่เป็นไรนะ แกไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส ยิ่งตอนนี้พ่อแกได้เลื่อนตำแหน่ง ตระกูลเฟิงที่ไม่ได้ปองดองกับเราต้องรู้สึกเสียดายแน่นอน”