ลู่ซือยวี่เข้าใจความหมายที่แม่พูด พยักหน้าและจัดการกับอารมณ์ตัวเอง
จริง เธอยังมีโอกาส จะให้เพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่นี้มาทำให้เธอแพ้ไม่ได้
กู้ฉางซิน อนาคตยังอีกยาวไกลเรามาดูกัน
……
ทางกู้ฉางชิง ยังไม่รู้ว่าลู่ซือยวี่วางแผนที่จะแข่งกับเธอไปทีละนิด
ทั้งสองคนกลับถึงบ้านใหม่ จู่ๆเฟิงจิงเหยาก็ถามว่า: “ว่าแต่ เสื้อผ้าที่ฝ่ายออกแบบกำลังผลิตเป็นอย่างไรบ้าง อีกสองวันบริษัทก็จะเอาออกมาโปรโมทแล้วนะ”
กู้ฉางชิงขมวดคิ้วและตอบ: “น่าจะใกล้เสร็จหมดแล้ว ที่ฉันยังเหลืออีกชุดเดียว คืนนี้แก้สักนิดก็เรียบร้อยหมดละ”
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า: “เหนื่อยหน่อยนะ”
กู้ฉางชิงส่ายหัวพูดสั้นๆว่าอาบน้ำและเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
ผ่านไปไม่นานเธออาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่ได้สนใจเฟิงจิงเหยา เดินไปโต๊ะทำงานตั้งหน้าตั้งตาทำงานตัวเองต่อ
เฟิงจิงเหยาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หยิบชุดนอนและเดินเข้าห้องอาบน้ำ อาบเสร็จออกมาก็ไม่ได้รบกวนเธอ เขาเปิดไวน์แดงและหยิบนิตยสารการเงินไปนั่งอ่านอยู่ที่โซฟาในห้องอย่างสบายๆ
แต่ว่าตัวอักษรในหนังสือไม่เข้าหัวสักตัวเพราะว่าสายตามัวแต่จ้องมองกู้ฉางชิงโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้แสงที่นุ่มนวล หลังของกู้ฉางชิงที่ผอมตัวเล็ก ทำให้คนอดใจไม่ไหวที่อยากจะอุ้มมากอดไว้ในอ้อมกอด
เขาจิบไวน์และจ้องมองไปที่กู้ฉางชิงด้วยความมึนมัว
และนึกถึงความสัมพันธ์ช่วงนี้ ทำให้รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
กู้ฉางชิงสังเกตเห็นรู้สึกมีคนจ้องมองอยู่ข้างหลัง ทำให้เธอรู้สึกเกรงไปทั้งตัว แต่เธอก็ปรับตัวได้ไวทำให้ตัวเองไม่สนใจสิ่งรอบข้างและตั้งใจลงมือทำงานต่อไป
ไม่รู้ว่าเธอใช้เวลานานแค่ไหน สุดท้ายชุดสุดท้ายที่เธอทำก็ถือว่าสำเร็จลุล่วง
“เสร็จแล้ว!”
เธออดไม่ได้ที่จะยืดเส้นยืดสาย มองไปที่ผลงานของเธอใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม
เฟิงจิงเหยาได้ยินเสียงดีใจจึงหันไปมอง
“สมบูรณ์แบบที่สุด”
เขาต้องยอมรับในความสามารถด้านการออกแบบของกู้ฉางชิง
ชุดที่เสร็จแล้วเต็มไปด้วยสีสัน มีความเป็นสามมิติดึงดูดสายตาคนที่สุด
กู้ฉางชิงกำลังฟังคำชมของเขา กำลังจะพูดถ่อมตนแต่เสียงท้องร้อง’จ๊อกจ๊อก’ก็ดังขึ้นก่อน
เสียงดังไม่เบา เธอรับประกันได้เลยว่าเฟิงจิงเหยาต้องได้ยินแน่นอน
ใบหน้าเธอรู้สึกเขินอาย
“เธอหิวหรอ?”
เฟิงจิงเหยาไม่ได้หัวเราะขำเธอและถามเบาๆ
กู้ฉางชิงพยักหน้า
“หิวนิดหน่อย”
มื้อค่ำวันนี้ที่บ้านตระกูลลู่ เธอแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อกี้ก็มัวแต่วุ่นกับการแก้งานทำให้ย่อยเร็วกว่าปกติ
เฟิงจิงเหยาไม่พูดอะไรมาก ให้เธอลงไปข้างล่างแล้วเรียกคนรับใช้ทำอาหารให้
กู้ฉางชิงไม่ได้ปฏิเสธ เธอพยักหน้าและเดินออกไป
เมื่อเธอไปถึงห้องครัว คนรับใช้เลิกก็เลิกงานหมดแล้ว
เธอก็ไม่อยากไปรบกวนจึงตัดสินใจจะหาอะไรกินเอง
ทันทีที่เธอเปิดตู้เย็นก็ต้องตะลึง
ข้างในมีแต่อาหารสดทำให้เธอไม่สามารถลงมือทำได้
เธอไม่เชื่อว่าห้องครัวใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีอาหารสำเร็จรูปเลย จึงค้นหาอย่างจริงจังแล้วก็เจอบะหมี่
“โชคดียังมีแก ไม่งั้นคืนนี้ฉันได้หิวทั้งคืนแน่เลย”
เธอกำลังเตรียมจะเทบะหมี่ลงจาน ทันใดนั้นก็คิดได้ว่ายังมีเฟิงจิงเหยาที่อยู่ข้างบน เวลาผ่านไปนานแล้วเขาเองก็น่าจะหิวแล้วแหละมั้ง?
อีกอย่างอยู่ที่บ้านลู่ ฉันก็เห็นเขากินไม่เยอะ
คิดได้เช่นนี้ เธอจึงเดินขึ้นไปถาม
“เฟิงจิงเหยา เธอจะกินอะไรไหม?”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ ใบหน้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เขาเหลือบไปมองเวลาในโทรศัพท์ ขมวดคิ้วและพูดว่า: “เวลานี้คนรับใช้น่าจะเลิกงานไปหมดแล้วไม่ใช่หรอ?”
“ใช่สิ ฉันเลยว่าจะทำเอง พอดีนึกขึ้นได้ว่ามื้อค่ำเธอเองก็กินไปเยอะก็เลยมาถามดูก่อน”
กู้ฉางชิงตอบโดยไม่คิด ทำให้เฟิงจิงเหยาต้องหรี่ตาสงสัย
เพราะเขาไม่เคยได้ยินเลยว่าคุณหนูกู้ทำอาหารเป็นด้วย
ข่าวลือกันว่าคุณหนูคนนี้เหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด อย่าว่าแต่แต่งมาตระกูลเฟิงเลย ต่อให้อยู่ตระกูลกู้เธอก็สุขสบายไม่เคยลำบาก
กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสงสัยของเฟิงจิงเหยา เห็นเขาไม่ตอบสักทีจึงถามอีกรอบ
“เธอจะกินไหม?”
เฟิงจิงเหยาตั้งสติ มองเธออย่างลึกซึ้งและตอบว่า: “กิน”
กู้ฉางชิงพยักหน้าแล้วหันหลังเดินลงไปเตรียมตัวข้างล่าง เธอไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกใจของเฟิงจิงเหยาและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเข้าครัวมันผิดปกติยังไง
ใครบอกให้เธอหิวเกินไปล่าว!
ในขณะเดียวกันเฟิงจิงเหยามองข้างหลังเธอที่กำลังเดินไป ทันใดนั้นเหมือนนึกออกไรจึงวางนิตยสารและเดินตามลงไปดู
เมื่อเขามาถึงห้องครัวก็เห็นกู้ฉางชิงสวมผ้ากันเปื้อน กำลังจัดการวัตถุดิบอย่างชำนาญ
ล้างผัก หั่นผัก หั่นเนื้อ เทน้ำมัน ต้มหมี่ ทำทุกอย่างอย่างชำนาญราวกับว่าทำเป็นประจำอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปไม่นาน ผัดหมี่กลิ่นหอมฟุ้งสองจานก็พร้อมเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะ
หน้าตาและกลิ่นน่ากิน จนเฟิงจิงเหยาต้องตะลึงยิ่งไปกว่านั้นเขายังสงสัยอีก
“กินได้แล้ว”
กู้ฉางยังก็ยังไม่สังเกตเห็นความประหลาดใจในสายตาเขา ยื่นตะเกียบให้พร้อมบอกให้กิน
เฟิงจิงเหยาตั้งสติและเหลือบมองเธอ นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
ท่าทางของเขาสง่างามมากราวกับเป็นงานศิลปะที่ประดับประดางดงาม จนกู้ฉางชิงที่มองอยู่รู้สึกหวั่นไหวไปทั้งใจ
เหมาะสมแล้วที่ได้รับการสอนมารยาทแค่กินก๋วยเตี๋ยวยังดูดีขนาดนี้
“รสชาติพอได้ไหม?”
เธอเห็นเฟิงจิงเหยาวางตะเกียบลงก็เลยเอ่ยถามไปโดยไม่รู้ตัว
เฟิงจิงเหยามองเธอด้วยสายตาสับซ้อนและตอบว่า: “ก็ไม่เลวนะ”
“เธอพอกินได้ก็โอเคแล้ว”
ไม่รู้ว่านี่ใช่คำชมของเขาไหม กู้ฉางชิงก็ก้มหน้ากินบะหมี่ในชามต่อ
เพราะว่าหิว เธอกินอย่างมุมมาม
เฟิงจิงเหยาเอาแต่จ้องมองเธอและแกล้งถามว่า: “ปกติเธออยู่บ้านทำอาหารไหม?”
“อืม เมื่อก่อนอยู่บ้านทำเป็นประจำ ฉัน……”
กู้ฉางชิงตอบไปโดยไม่รู้ตัว พูดถึงครึ่งนึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอพูดหลุดออกไป
“เธอทำไม?”
เฟิงจิงเหยาไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเธอ จึงถามต่อไป
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้แววตาทั้งคู่มองที่เขารู้สึกกดดันไปทั้งใจ
“ฉัน……ตอนฉันเรียนมหาลัยไม่ชินกับอาหารข้างนอก เพราะงั้นเลยชอบต้มบะหมี่กินเอง”
เฟิงจิงเหยาเห็นท่าทีกระสับกระส่ายของเธอจึงถามอีกว่า: “ทำเป็นแค่บะหมี่หรอ?”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาเชื่อไหมทำได้แค่พยักหน้าและตอบว่า: “ใช่แล้วทำเป็นแต่บะหมี่เพราะมันง่ายที่สุดแล้ว”
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
“ต้มบะหมี่เป็นก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่เข้าครัวทำอาหารเป็น”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
คำพูดนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อแล้ว
ในขณะที่เธอก็ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ของเธอสองสามคำอย่างตั้งใจ
เฟิงจิงเหยาเห็นเธอก้มหน้ากินอาหาร ตาทั้งคู่ก็หรี่ลง
เขาไม่สามารถดูออกได้ว่าเมื่อกี้ผู้คนนี้กังวลเรื่องอะไรราวกับว่ามีอะไรซ่อนอยู่ทำให้เขารู้สึกมีอะไรผิดปกติแต่เขาก็คิดไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ ทำได้เพียงรอสังเกตครั้งต่อไป
กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าในใจเขากำลังสงสัยอะไรแต่ว่าการถากถามเมื่อกี้ทำให้เธอรู้สึกผิดและเธอก็กลัวที่จะอยู่กับเฟิงจิงเหยา
ดังนั้นเธอจึงรีบเก็บถ้วย อ้างว่าจะไปทำงานต่อและรีบขึ้นไปข้างบน
เมื่อถึงห้องนอน เธอก็ตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆและพูดว่า: “วันนี้เสี่ยงมาก เกือบหลุดพูดออกไปแล้วครั้งหน้าต้องระวังกว่านี้!”