กู้ฉางชิงเห็นเสี่ยวเหมยก็ตกใจ
“เสี่ยวเหมย ทำไมเป็นเธอ?”
ถึงแม้ว่าเมื่อวานเธอจะสะสึมสะลือแต่ก็จำได้ว่าคนที่พาเธอมาคือเฟิงจิงเหยา
“คุณชายดูแลคุณทั้งวันแล้ว ที่บริษัทมีปัญหาเพิ่งออกไปเมื่อกี้ คุณนายรองจะหาคุณชายหรอคะ?”
เสี่ยวเหมยบอกเรื่องราวเมื่อวานให้เธอ กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้แล้วรู้สึกชุ่มใจทั้งใจ
เฟิงจิงเหยาผู้ชายแบบนั้นมาดูแลเธอทั้งวัน
อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกกระอักในใจพูดไม่ออก
“ไม่ต้องแล้ว ถ้ามีธุระที่บริษัทต้องจัดการก็อย่าไปรบกวนเขาดีกว่า” เธอส่ายหัวปฏิเสธ
เสี่ยวเหมยพยักหน้าตอบ และหันไปเป็นห่วงเธอ: “แล้วคุณนายรองดีขึ้นบ้างหรือยังคะ ถ้าไม่สบายตรงไหนต้องรีบบอกนะ”
กู้ฉางชิงหัวเราะและพูด: “ฉันแค่เป็นไข้เอง ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงสักหน่อย กินยาแก้ไข้ก็หายแล้ว”
เสี่ยวเหมยเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดอะไร
ที่บ้านหลักคุณนายเฟิงเองก็ได้ยินว่ากู้ฉางชิงไม่สบาย แถมเฟิงจิงเหยายังไปเฝ้าดูแลทั้งวันทั้งคืน เป็นกังวลเล็กน้อย
ไม่ว่ายังไงแล้วเธอก็เป็นแม่ยายของกู้ฉางซิน ถ้ากู้ฉางซินไม่สบายเธอที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านก็ควรไปดูอาการ เป็นห่วงเป็นใยจะได้ไม่ถูกใครนินทา
แต่ว่าเธอเองก็ไม่ได้เต็มใจจะไป รู้สึกลังเล สุดท้ายก็หันไปถามเฟิงจิ้งหยวนที่มาเที่ยวหาเธอ
“จิ้งหยวน แกว่าฉันจะไปเยี่ยมกู้ฉางซินที่อยู่โรงพยาบาลดีไหม?”
เฟิงจิ้งหยวนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะเยาะออกมา
“เยี่ยมอะไรกัน วันก่อนยังแข็งแรงดีๆอยู่เลย อยู่ๆจะมาไม่สบายแถมยังเป็นหนักอีก ดูก็รู้ว่าปลอม”
เธอพูดจบ สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
คุณนายเฟิงคิดตามแล้วก็มีเหตุผล เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะไปเยี่ยม
เมื่อตกเย็น กู้ฉางชิงนอนอยู่โรงพยาบาลจนเบื่อ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก เรียกให้เสี่ยวเหมยไปทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาล
“แต่ว่าคุณหมอบอกว่าให้นอนดูอาการอีกหนึ่งคืน กลัวคุณนายรองจะเป็นอะไรอีก แถมคุณชายก็เซ็นรับรองแล้ว ถ้าเขาไม่อนุญาติก็ให้คุณนายรองออกจากโรงพยาบาลไม่ได้”
เสี่ยวเหมยตอบด้วยความลำบากใจ
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ก็พูดไม่ออก
แค่เป็นไข้ธรรมดา ทำไมต้องมาโรงพยาบาล
เธอมองเสี่ยวเหมย คิดในใจยัยเสี่ยวเหมยไม่กล้าขัดคำสั่งของเฟิงจิงเหยาแน่นอน งั้นรอตอนเขามาค่อยเอ่ยปากขอเฟิงจิงเหยาเองละกัน
เมื่อตอนค่ำ เฟิงจิงเหยามาถึงโรงพยาบาล
“ตื่นแล้วหรอ?”
เขามองกู้ฉางชิงที่นอนอยู่บนเตียง ถามด้วยความเป็นห่วง: “ยังรู้สึกปวดเมื่อยไม่สบายตรงไหนไหม?”
กู้ฉางชิงส่ายหัว
“ไม่มีตรงไหนไม่สบายแล้ว รู้สึกดีขึ้นมากไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลรอดูอาการ”
ในขณะที่เธอพูดก็กลัวเฟิงจิงเหยาจะปฏิเสธ จึงพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน: “ ฉันไม่ชอบยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลจริงๆ ถ้าเธอไม่เชื่อก็ให้หมอมาตรวจดูอีกที ถ้าไม่มีอาการอะไรแล้วเรากลับบ้านกันเถอะ”
เฟิงจิงเหยามองเธอและไม่ได้ปฏิเสธ จึงให้เสี่ยวเหมยไปตามคุณหมอ
จะว่าไปที่กู้ฉางชิงบอกก็เป็นความจริง ไข้ก็ลดแล้ว ในตอนนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่กู้ฉางชิงไม่ได้บอกเฟิงจิงเหยาหมด ถึงแม้ไข้จะลดแล้วจริงแต่เธอก็ยังมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อย
เฟิงจิงเหยาไม่รู้ หลังจากที่เธอไม่เป็นอะไรแล้วก็พาเธอกลับไปบ้านเฟิง
ในขณะที่กำลังจะลงจากรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆอาการก็กำเริบ กู้ฉางชิงที่กำลังจะก้าวขาลงจากรถก็เกิดวิงเวียงและล้มลงไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเฟิงจิงเหยารีบยื่นมือคว้าเธอไว้ ป่านนี้เธอก็คงไปนอนกองอยู่กับพื้นแล้ว
“นี่หรอที่เธอบอกหายดีแล้ว?”
เสียงที่เย็นชาของเฟิงจิงเหยาดังก้องขึ้นในหัวของกู้ฉางชิง
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ก็หดตัวก้มลงราวกับว่ารู้สึกผิดแล้ว
เฟิงจิงเหยาเห็นแบบนี้ก็ถอนหายใจออกมา ไม่ได้พูดอะไรและอุ้มเธอเข้าบ้าน
คิดไม่ถึงเมื่อเดินเข้ามาปุ้บก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องรับแขกในบ้านใหญ่
เฟิงจิงเหยาหยุดชะงักดูโดยไม่รู้ตัว ก็เห็นลู่ซือยวี่นั่งอยู่กับคุณนายเฟิงยังมีเฟิงจิ้งหยวนอยู่ด้วย ทั้งสามคนหัวเราะกันอย่างชอบใจ
ในขณะเดียวกัน คนรับใช้สังเกตเห็นเฟิงจิงเหยาจึงตะโกนออกมาว่า
“คุณชาย”
ทันทีที่คำนี้ดังขึ้น ทั้งสามคนที่กำลังหัวเราะอยู่ในห้องรับแขกก็หันมาดู
เมื่อพวกเขาเห็นเฟิงจิงเหยาที่กำลังอุ้มกู้ฉางชิง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เปลี่ยนไปทันที
โดยเฉพาะลู่ซือยวี่ กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างก็พูดไม่จบ
“พี่จิงเหยา……”
เธอมองไปที่เฟิงจิงเหยาด้วยความเศร้าและยังเจ็บปวดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
กู้ฉางชิงเองก็เห็นพวกเขา รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเฟิงจิงเหยาดูไม่เหมาะสม
ในขณะที่เธอกำลังจะส่งสัญญาณให้เฟิงจิงเหยาวางเธอลง ข้างหูก็มีคำถากถางของเฟิงจิ้งหยวนลอยมา
“อ่อนแอสะจริง ก็คิดว่าจะเป็นอะไรมากซะอีก”
คุณนายเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดอะไร
วันธรรมดาลูกชายตัวเองก็เหนื่อยมากพอแล้ว ตอนนี้ยังจะต้องมาวิ่งขึ้นวิ่งลงเพราะกู้ฉางซิน
“เฮ้อ เมื่อก่อนทำไมดูไม่ออกว่าเธออ่อนแอ?”
เธอพูดประชดประชัน
กู้ฉางชิงทำไมจะฟังไม่ออกว่าพวกเขาไม่พอใจ
เธอเม้มปากและพูดว่า: “เฟิงจิงเหยา ปล่อยฉันลงเถอะ”
เฟิงจิงเหยาเหลือบมองเธอแต่ไม่ได้เคลื่อนไหว
เขามองไปที่คุณนายเฟิงและคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขาและพูดด้วยอย่างเย็นชาว่า: “แม่ ไม่มีอะไร ฉันจะพากู้ฉางซินกลับเดี๋ยวนี้”
พูดจบ เขาก็ไม่รอให้คุณนายเฟิงถามว่าไม่มีอะไรจริงหรอ ก็อุ้มกู้ฉางชิงเดินไปที่บ้านใหม่ทันที
ทันทีที่เขาจากไป สีหน้าทั้งสามคนก็ดูหมองลงไป
โดยเฉพาะลู่ซือยวี่ สีหน้าแย่จนดูไม่ได้
คุณนายเฟิงแค่มองก็เห็นถึงความแปลกไปของเธอ ไม่รู้ว่าจะปลอบยังไง ทำได้แค่พูดว่า: “ซือยวี่ มันก็เป็นแค่ช่วงนี้แหละ แกอย่าไปใส่ใจเลยนะ”
ลู่ซือยวี่เข้าใจถึงความหมายของคุณนายเฟิง กัดฟันและตอบ: “ คุณน้าหมิงวางใจเถอะค่ะ หนูเข้าใจ”
ถึงแม้เธอจะพูดแบบนี้ แต่ในใจที่กำลังหึงหวงลุกเป็นไฟแทบจะเผาไหม้คนทั้งเป็นได้เลย
ถ้าไม่ใช่ว่าต้องเก็บภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าป้าหมิง เธอโวยวายออกมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ความอดทนของเธอ เฟิงจิ้งหยวนเองก็ดูออก
เธอหันมายิ้มและพูดว่า: “ เอาล่ะ พี่สะใภ้ เราอย่ามาพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย ซือยวี่กลับมาทั้งที เราอย่านั่งอยู่ตรงนี้เลย ไปเดินเล่นข้างนอกกับฉันเถอะ ไปผ่อนคลายกันซะหน่อย
ลู่ซือยวี่รู้ว่าเธอกำลังเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่เช่นนั้นเธอต้องโวยวายออกมาแน่ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ปฏิเสธ
คุณนายเฟิงเธอก็ไม่ไปขัดจังหวะ
เธอรู้ดีว่าเรื่องเมื่อกี้ทำให้ซือยวี่เสียความรู้สึกแค่ไหน มีจิ้งหยวนคอยเป็นเพื่อน ทั้งคู่อายุก็รุ่นราวเดียวกันความสัมพันธ์ก็ดีต่อกัน ให้เธออยู่เป็นเพื่อนปลอบใจคงจะทำให้ซือยวี่รู้สึกดีขึ้น
ทั้งสองคนเดินไปที่สวนดอกไม้คุณนายเฟิงก็มองพวกเธออยู่ข้างหลัง
จากนั้นเฟิงจิ้งหยวนก็มองไปรอบๆไม่มีคน เธอหยุดเดินและหันมาจับมือลู่ซือยวี่
“ซือยวี่ ฉันรู้ว่าเธอต้องการอะไร วางใจเถอะ ฉันจะช่วยเธอเอาจิงเหยาคืนมาให้ได้”
ลู่ซือยวี่ได้ยินเช่นนี้ ภายใต้แสงตอนเย็นที่มืดมนไม่สามารถเดาสีหน้าเธอออกได้
เธอเสแสร้งหมดหวังและพูดว่า: “ถ้าแย่งคืนกลับมาได้ คงได้นานแล้ว…..”