ลู่ซือหยี่เอ่ยขึ้นมาถึงการปกป้องกู้ฉางฉิงของเฟิงจิ่งเหยา ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ตอนนี้พี่จิ่งเหยาไปหนุนหลังให้หล่อนแล้ว เกรงว่าใครก็จะไปโค่นตำแหน่งสะไภ้ของหล่อนไม่ได้น่ะสิ”
เฟิงจิ้งหยวนยิ้มเยาะ
“แล้วคิดว่ากู้ฉางซิน จะเหมาะสมกับสะไภ้ตระกูลเฟิงของฉันงั้นหรอ แค่ตอนนี้ทำเป็นน่าเอ็นต่อหน้าจิ่งเหยาเท่านั้นแหละ”
เธอพูดขึ้น ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างได้ แสดงถึงเจตนาที่ไม่ดี “ฉันนึกออกแล้วว่าเมื่อก่อนหล่อนชอบไปเที่ยวกลางคืน ชอบไปเถลไถลอยู่ตามสถานที่พวกนั้น ตอนนี้เกรงว่าเพราะจิ่งเหยาห้ามไว้ แต่คงจะอยากไปน่าดู รอให้ฉันหาวิธีพาหล่อนไป ต้องเผยธาตุแท้ออกมาได้แน่ๆ”
ลู่ซือหยี่ฟังแล้วคิดภาพตาม
แต่เธอยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ฟังเฟิงจิ้งหยวนพูดต่อ “พอถึงเวลาก็ให้คนหลอกพาหล่อนไปมั่วซุมตามที่พวกนั้น แค่นี้หล่อนคงไม่ได้อยู่ต่อหรอก”
“แต่ว่าทำแบบนี้แล้วจิ่งเหยาจับได้ล่ะ ถึงตอนนั้นเรื่องมันโยงมาถึงเธอได้นะ จิ้งหยวน”
ในใจของลู่ซือหยี่เห็นด้วยกับวิธีของเธอ แต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นห่วงใย
“วางใจได้ ฉันไม่มีทางทำให้จิ่งเหยารู้ว่าเป็นฉันหรอก ถ้ารู้เรื่องแล้ว ฉันก็จะโทษว่าเป็นกู้ฉางซินผู้หญิงต่ำๆคนนั้นไง เพราะถึงยังไงหล่อนก็มีความผิดก่อนหน้านั้นมากมายอยู่แล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าจิ่งเหยาจะไม่เชื่อ ”
ลู่ซือหยี่เห็นว่าเธอวางแผนไว้อย่างดีแล้ว ก็แสดงความชื่นชมออกมา “จิ้งหยวนเธอนี่สุดยอดเลย ที่จัดการเรื่องทุกข์ใจของฉันได้”
เฟิงจิ้งหยวนไม่เห็นด้วย “ได้ยังไงกัน เธอเป็นเพื่อนฉันนี่ และฉันก็เห็นว่าเป็นหลานสะไภ้ถ้าฉันไม่ช่วยเธอ แล้วจะไปช่วยใคร”
……….
ที่เรือนหอ กู้ฉางฉิงที่ไม่รู้ว่าเฟิงจิ้งหยวนวางแผนจะลงมือกับเธอ
เธอก็กำลังถูกเฟิงจิ่งเหยากำชับว่า :”สองวันนี้ คุณก็พักผ่อนอยู่ที่บ้าน หลังจากสองวันนี้มู่เฉาเกอจะเข้าบริษัทไปถ่ายงาน ปรึกษาเรื่องที่ผ่านมา ชุดที่คุณออกแบบจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดหลัก พอถึงเวลาคุณก็เข้าไปจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเองแล้วกันนะ”
“รับทราบค่ะ ฉันจะพักผ่อนให้เต็มที่ รับรองว่าไม่ทำให้บริษัทเสียเวลาแน่นอนค่ะ”
กู้ฉางฉิงเผยรอยยิ้มออกมา และรับปาก
ไม่ว่ายังไงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของดีไซเนอร์ก็คือการที่ผลงานที่ตัวเองออกแบบได้รับการยอมรับ
เฟิงจิ่งเหยาก็เข้าใจทันที เมื่อมองเห็นแววตาเป็นประกายของเธอ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุ๊บหน้าผากเธอ “งั้นคุณพักผ่อนนะ เดี๋ยวผมไปห้องหนังสือจัดการธุระนิดหน่อย”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทิ้งให้กู้ฉางฉิงนั่งอึ้งอยู่บนเตียง
สัมผัสที่อบอุ่นที่ดูเหมือนธรรมดาที่หน้าผาก แต่กลับทำให้เธอต้องยกมือขึ้นมาลูบเบาๆ
ใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ราวกับปาก้อนหินลงในน้ำแล้วคลื่นน้ำก็ค่อยๆแผ่วงกว้างออกไป
ผ่านไปสักพัก เธอก็ดึงสติกลับมา
เธอตบแก้มที่ร้อนผ่าวเบาๆ :”กู้ฉางฉิง เธอคิดอะไรของเธอเนี่ย เธออย่าลืมฐานะของเธอสิ !”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการเตือนสติตัวเองแบบนี้ได้ผลหรือเปล่า แต่ก็ทำให้จังหวะหัวใจค่อยๆกลับมาสู่ปกติ
เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นภาพออกแบบวางอยู่บนโต๊ะ จึงลุกขึ้นไปหยิบมาวาดต่อ
จริงๆแล้วตอนนี้เธอก็ยังเวียนหัวอยู่ แล้วก็วาดรูปต่ออีกนิดหน่อย หลังจากรอให้จังหวะหัวใจเป็นปกติ ก็ทนไม่ไหว จึงต้องกินยาแล้วนอนพัก
แต่ในใจของเธอก็ได้แต่คิดถึงอีกสองวันหลังจากนี้
สองวันผ่านไป อาการหวัดของกู้ฉางฉิงดีขึ้นแล้ว
แล้วก็เป็นวันที่มู่เฉาเกอเข้าบริษัทไปถ่ายงาน
“เดี๋ยวฉันจะเข้าบริษัทกับคุณด้วยนะ”
ขณะที่สองคนกำลังทานอาหารกันอยู่ เฟิงจิ่งเหยาก็พูดขึ้นมาเรื่องที่จะเข้าบริษัทกับกู้ฉางฉิง
“โอเค”
กู้ฉางฉิงตอบรับ
ครู่เดียว ทั้งสองคนทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปบริษัท
กู้ฉางฉิงลงรถที่ปากทางเข้าบริษัมเหมือนเดิม
เมื่อเธอเข้ามาถึงบริษัท สอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล แล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่มีการถ่ายทำ
ชั้นที่มีการถ่ายทำคือชั้นที่สิบ มีบริเวณกว้าง ภายในตกแต่งด้วยสีสันสไตล์ต่างๆ
สไตล์ยุโรป มีกลิ่นอายโบราณ ตกแต่งเหมือนอยู่ที่บ้าน
แต่ยังไงเครื่องแบบยูนิฟอร์มก็ยังเป็นของเฟิงซื่อกรุ๊ป อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น ก็มีครบครัน
ทั้งหมดล้วนเป็นของมียี่ห้อ
เมื่อกู้ฉางฉิงเข้าไปถึงสถานที่ถ่ายทำ ด้านในนั้นดูเหมือนจะยุ่งวุ่นวายกันอยู่ก่อนแล้ว
ฝ่ายฉาก เดินไปมาเซ็ตอุปกรณ์ต่างๆ
มู่เฉาเกอกำลังแต่งหน้าอยู่
มีผู้ช่วย มีผู้จัดการใหญ่ของบริษัทคุณหลี่ม่าน แล้วก็มีลู่ซือหยี่ ชวี่ชิงหยุน และดีไซเนอร์คนอื่นๆ
แม้แต่เฟิงจิ่งเหยาก็อยู่ด้วย
เขานั่งอยู่ข้างมู่เฉาเกอ สีหน้าที่อ่อนโยนไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
แต่มู่เฉาเกอก็ยิ้มตอบโต้ไป
ท่าทางของสองคนดูสนิทคุ้นเคย ทำเอากู้ฉางฉิงประหลาดใจ แต่ทว่าลู่ซื่อหยี่กลับรู้สึกอิจฉาจนต้องกำมือแน่น
เธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลเฟิงมาตั้งหลายปี ยังไม่สนิทสนมกับพี่จิ่งเหยาขนาดนี้เลย
ที่บ้านตระกูลเฟิง พี่จิ่งเหยาไม่พูดจาอ่อนโยนกับเธอขนาดนี้ มีแต่เย็นชาใส่ตลอด
แต่กับผู้หญิงคนนี้ กลับทำให้พี่จิ่งเหยามีท่าทีที่แตกต่าง พูดจาอ่อนหวาน นุ่มนวลเสมอ
เธอคงแพ้ให้กับกู้ฉางซินผู้หญิงต่ำๆคนนี้ ผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่ามาจากไหนคนนี้งั้นหรอ
เธอได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ ด้านเฟิงจิ่งเหยากับมู่เฉาเกอไม่ได้สนใจมากนัก
คุยกันแต่เรื่องเกี่ยวกับที่จะถ่ายทำกันวันนี้
เฟิงจิ่งเหยากำชับว่า : “เดี๋ยวตอนที่ถ่ายนะ คุณช่วยดึงเอาจุดเด่นของชุดออกมาให้มากที่สุดนะ”
มู่เฉาเกอได้ยิน และเขาก็แต่งหน้าเสร็จพอดี ลืมตาขึ้นมา แล้วพยักหน้าตอบรับ ไม่อยากเห็นกลุ่มคนที่ด้านหลังกู้ฉางฉิง
เธอตอบรับทราบคำสั่งของเฟิงจิ่งเหยาเมื่อสักครู่ แล้วก็อมยิ้มขึ้นมา “คุณหมายถึงดีไซเนอร์ทั้งหมดของบริษัทใช่ไหม หรือว่าหมายถึงเธอ……”
เฟิงจิ่งเหยามองไปตามสายตาของเธอ ก็มองไปเห็นกู้ฉางฉิง แล้วก็ทำให้เข้าใจความหมายนัยๆของเธอ
เขาเม้มปาก พูดเสียงเข้ม “หมายถึงทั้งหมด ในที่นี้ งานของบริษัทสำคัญที่สุด”
มู่เฉาเกอได้รับคำตอบอ้อมๆนี้ ยักคิ้วขึ้น แล้วก็ยิ้มกว้างมากขึ้น
“ถ้างั้น วันนี้ควรเลี้ยงข้าวฉันด้วยนะ ฉันถึงจะตกลง”
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้คิดไว้ “เย็นนี้มีกินเลี้ยงกับทีมของบริษัทอยู่แล้ว แล้วผมก็ไปด้วย”
มู่เฉาเกอสบตาเขา
“กินเลี้ยงหรอ ก็ได้ งั้นก็โอเคค่ะ”
เธอพูดจบ ก็เดินออกจากห้องแต่งหน้าไป เตรียมตัวเริ่มถ่ายทำ
แล้วเมื่อเธอปรากฎตัวออกมา ในสตูดิโอ ก็มีเสียงฮือฮามากมาย
ต้องบอกว่าเมื่อก่อนมู่เฉาเกอได้รับความนิยมมาก ใบหน้าที่งดงามหาที่เปรียบไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือออร่าของเธอ
แม้ตอนนี้จะใส่ชุดที่บริษัทออกแบบ ก็สามารถดึงดูดสายตาทุกคน จนไม่สามารถละสายได้เลย
โดยเฉพาะเมื่อเธอยืนอยู่หน้ากระจก เงาในกระจกก็ยิ่งสะท้อนความสวยงามของเธอออกมา จนแทบอยากจะใส่ชุดนั่นเอง
ท่าทางของเธอ ก็ทำให้เปลี่ยนสไตล์ได้ตลอด
เย็นชา อ่อนโยน ออดอ้อน
กู้ฉางฉิงยิ่งมอง ยิ่งรู้สึกน่านับถือ และชื่นชมอยู่ในใจ
ลู่ซือหยี่ยิ่งรู้สึกอิจฉาจนแทบคลั่งจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
เพราะด้วยนิสัยที่หยิ่งยโสของเธอ ไม่สามารถทนความโดนเด่นของมู่เฉาเกอได้ เธอไม่อยากจะเอ่ยถึงมากนัก
แต่ก็ยิ่งทำให้เธอไม่พอใจ
เธอมองไปที่เฟิงจิ่งเหยาที่ที่อยู่นอกฉากในสตูดิโอ แววตาเป็นประกาย แสร้งชมว่า “พี่จิ่งเหยานี่เก่งจังเลยนะคะ ที่ติดต่อให้คุณหนูมู่มาเป็นแบบได้ เสื้อผ้าเซ็ตนี้ของเราต้องได้รับการตอบรับดีแน่ๆเลยค่ะ”