คุณนายเฟิงได้ยินอย่างนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเข้ม
เฟิงซู่มองก็รู้ว่าเธอไม่ยอมแพ้ แต่ก็พูดจนถึงตรงนี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นอีกสักหน่อย
“ไม่สนว่าจะพูดยังไง แต่นั่นเป็นเรื่องของจิ่งเหยากับกู้ฉางซิน คุณไม่ควรเข้าไปแทรกแซง”
คุณนายเฟิงยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าหู
“ทำไม ในสายตาของคุณฉันสนใจเรื่องเหล่านี้ ก็ถือเป็นความผิดของฉันหรอ?”
เธอตอบกลับด้วยความไม่พอใจ พูดจบเธอก็ไม่ให้โอกาสเฟิงซู่ได้พูด ก็พูดต่อว่า:“อีกอย่างตอนนี้ฉันก็โกรธ หรือว่าคุณไม่โกรธ ยังจะพูดอีก ถ้าคุณชอบผู้หญิงคนนั้นก็ให้เป็นลูกสะใภ้คุณ?”
เฟิงซู่ขมวดคิ้ว:“แม้ว่าฉันจะไม่ชอบ คุณคิดจะเปลี่ยนภรรยาให้จิ่งเหยา แต่ในความหมายของจิ่งเหยานานขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ อีกอย่างด้วยนิสัยของจิ่งเหยา คุณคิดว่าเขาจะเห็นด้วยหรา?”
คุณนายเฟิงฟังแล้วก็เงียบไม่พูดไม่จา
เธอจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ไม่รู้?
เป็นเพราะว่าเธอรู้ ดังนั้นเธอจึงหมดคำที่จะพูด
คิดอย่างนี้แล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความคิดที่คุณนายลู่เคยให้เธอไว้ก่อนหน้านี้
ทำให้กู้ฉางซินทำผิดร้ายแรง……จนความผิดของเธอไม่สามารถให้อภัยได้ นี่เป็นหนทางเดียว
ขณะที่เธอคิด สายตาของเธอก็ดูลึกล้ำ
……
กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าแผนการร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งนั้นมุ่งเป้ามาที่เธอ
วันนี้เป็นวันที่เธอกับกู้หงเซินนัดเจอกัน
อันที่จริงกู้ฉางชิงไม่อยากไป
แต่นี่เป็นนัดประจำที่ต้องไปรายงานสถานการณ์ตามที่พวกเขาตกลงกันไว้ และเป็นสิ่งที่เธอต้องทำ
ดังนั้นเธอจึงออกเดินทางจากบ้านตระกูลเฟิงอย่างระมัดระวัง และมาที่ร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้
กู้หงเซินอยู่ตรงที่นั่งพิเศษที่จองไว้
เขามองกู้ฉางชิงที่เดินกรีดกรายมาอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ
“แกมาช้านะ”
กู้ฉางชิงได้ยินอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจ
จริงๆแล้วในสายตาพ่อที่ดีของเธอ เธอไม่ใช่ลูกสาวของเขาอีกแล้ว แต่เป็นเครื่องมือภายใต้การบัญชาการของเขา
“คุณน่าจะรู้ ฉันอยู่ที่บ้านตระกูลเฟิงไม่ได้สบายอย่างที่คุณคิด”
เธอตอบอย่างเย็นชา ทำให้กู้หงเซินหมดหนทางที่จะหาความผิด
“พูดถึงสถานการณ์ในระยะนี้มาเถอะ!”
กู้หงเซินตะคอกอย่างเย็นชา ราวกับว่าขี้เกียจจะมุ่งประเด็นไปที่เธอ
กู้ฉางชิงก็หวังว่าการเจอกันจะจบลงโดยเร็ว ไม่ต้องรายงานอืดอาดยืดยาด
“ในระยะนี้ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น……ตอนนี้ฉันก็อยู่ในบริษัทอย่างมั่นคง”
เธอหยิบเอาสิ่งที่เกิดขึ้นมาพูดสั้นๆ แต่กู้หงเซินอยากฟังเรื่องที่เข้าต้องการฟังเท่านั้น
เพราะเขาสนใจแค่ว่ากู้ฉางชิงได้เปิดเผยความลับหรือไม่
เขามองดูแล้วมันมีช่องโหว่มากมาย
“ฉันไม่ได้ให้แกไปอยู่ที่บริษัทเพื่อหลบเลี่ยงความสามารถ?ใครสั่งให้แกไปเฉิดฉายอยู่ที่บริษัท และลู่ซือยวี่กับเฟิงจิ่งเหยาพวกเขามุ่งเป้ามาที่แก หรือว่าแกไม่โกรธ?ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าอารมณ์โกรธของฉางซินเป็นยังไง?”
เขาขมวดคิ้วในขณะที่พูดเกี่ยวกับการแสดงออกของกู้ฉางชิงด้วยความไม่พอใจ
กู้ฉางชิงเม้มริมฝีปากในขณะที่ฟัง และอดไม่ได้ที่จะแก้ต่าง
“เรื่องการออกแบบก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่คุณต้องการหุ้นของตระกูลเฟิง ฉันก็ไม่ถึงกับว่าไปตกหลุมพลาง การถอนตัวออกมาตอนนี้ กลับจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่ายเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างลู่ซือยวี่ยังมีคนตระกูลเฟิง ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านสามีในอนาคตของกู้ฉางซิน ฉันก็แค่ทำตามอารมณ์ของเธอ และไม่ต้องรอให้เธอกลับมา คนในบ้านตระกูลเฟิงก็จะไล่ฉันออกไป”
ต้องพูดว่าคำพูดของกู้ฉางชิงนั้นสมเหตุสมผล
กู้หงเซินไม่สามารถโต้แย้งได้ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ
เขาขมวดคิ้วและพูดเตือนว่า:“ฉันไม่ได้ขอให้แกเป็นฉางซินเต็มร้อย แต่แกต้องไม่แสดงออกมามากเกินไป มิเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นสงสัยเอาได้”
“จะเป็นไปได้ยังไง?นานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครสงสัย?”
กู้ฉางชิงไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด ถึงอย่างไรก็นานขนานนี้แล้ว ต้องมีคนสงสัยจริงๆ ไม่นานก็ต้องตรวจสอบเธอ
แน่นอนว่าเธอต้องหาวิธี กู้หงเซินก็ดูออกเช่นกัน
เขายิ้มอย่างเย็นชาและตอบกลับมาว่า:“ทำไมจะเป็นไม่ได้ ก็เมื่อสองสามวันก่อน ฉันพบว่ากำลังมีคนตรวจสอบกู้ฉางซินอยู่”
กู้ฉางชิงได้ยินอย่างนั้นก็ตกตะลึง
“ใครกำลังตรวจสอบอยู่?”
เธอถามด้วยความตกตะลึง เฟิงจิ่งเหยาก็แว็บเข้ามาในหัวเธอ
“หรือว่าเป็นเฟิงจิ่งเหยา?”
เธอพูดอีกครั้ง ถึงอย่างไรเธอก็เปิดเผยตัวตนออกมาต่อหน้าผู้ชายคนนี่สองสามครั้ง
กู้หงเซินส่ายหัว:“น่าจะไม่ใช่”
เขาครุ่นคิดสักพักและตอบว่า:“อาจจะเป็นคนอื่นในตระกูลเฟิง แน่นอนว่าจิ่งเหยาก็ไม่ยกเว้น ถึงอย่างไรก็ไม่ควรประมาทคนคนนี้ ความคิดต้องมั่นคงแม้ว่าจะมีคนสงสัย และต้องสงบเยือกเย็น ดังนั้นแกจะต้องเตรียมรับมือ คนอื่นๆในตระกูลเฟิงด้วย แกต้องระวัง!”
กู้ฉางชิงได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พยักหน้าและพูดว่า:“ฉันรู้แล้ว”
จากนั้นกู้หงเซินก็เตือนอีกสองสามคำ และทั้งสองก็เงียบลง
กู้ฉางชิงมองไปที่เขา และเตรียมจะจากไป:“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”
เธอพูดจบและกำลังจะจากไป แต่ถูกกูู้หงเซินหยุดไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
กู้ฉางชิงขมวดคิ้วและหันกลับไปมองอย่างหงุดหงิด
เธอไม่อยากอยู่ร่วมกับกู้หงเซิน รู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วอึดอัดเป็นพิเศษ
“ฉันได้ยินว่าช่วงนี้เธอได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
กู้หงเซินดูเหมือนจะไม่เห็นการแสดงออกบนใบหน้าของเธอ จึงถามเธอตรงๆ
กู้ฉางชิงได้ยินเขาพูดด้วยความเป็นห่วงก็ตกใจ
ผู้ชายคนนี้หมายความว่ายังไง?
หรือว่ามีคุณธรรมขึ้นมาถึงรู้จักเป็นห่วงเธอ?
ในขณะที่เธอคิดก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
ถึงจะเป็นห่วงเธอจริงๆ ทำไมตอนที่เธออยู่โรงพยาบาลไม่เคยไปเยี่ยมเลยสักครั้ง
ความคิดเธอผุดขึ้นมาในใจเหมือนระลอกคลื่น และค่อยๆจางหายไป
“ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะยุ่งจนเกินไป ร่างกายรับไม่ไหวก็เลยไม่สบาย”
เธอตอบอย่างไม่ใยดี
กู้หงเซินขมวดคิ้ว:“ฉันไม่สนว่าแกเป็นเพราะอะไร แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า แกตอนนี้คือฉางซิน เฟิงจิ่งเหยาตอนนี้คิดว่าแกคือฉางซินเดินด้วยกันไปกับเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่แกควรคิด ทางที่ดีแกเก็บมันไว้ในใจจะดีกว่า!”
กู้ฉางชิงได้ยินอย่างนั้น ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ใจดีเป็นห่วงเธอขนาดนั้น
“คุณวางใจ ฉันจำได้แจ่มแจ้งชัดเจน ไม่ต้องให้คุณค่อยเตือนสติซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก!”
เธอกัดฟันตอบกลับ พูดจบก็ไม่สนใจว่ากู้หงเซินจะพูดอะไร หิ้วกระเป๋าและหันหลังเดินจากไป
กู้หงเซินมองดูเธอจากไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความวิตกกังวล
กู้ฉางชิงยิ่งนานยิ่งไม่ยอมเชื่อฟัง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของตระกูลเฟิงอีก
ฟังจากที่กู้ฉางชิงเล่าแล้ว เฟิงจิ่งเหยากับผู้หญิงคนนี้เข้ากันได้ดี ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉางซินจะกลับมา เฟิงจิ่งเหยาจะค้นพบอะไรหรือไม่
ถึงอย่างไรถ้าคนที่ร่วมเคียงหมอนมีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงจะรู้เป็นคนแรก
เขายิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ
ไม่ได้ เขาต้องเตรียมการอื่นๆไว้
เขาตัดสินใจและออกจากร้านกาแฟทันที
กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอออกมาแล้ว กู้หงเซินคิดเรื่องต่างๆอยู่คนเดียว
เธอกลับไปที่บ้านตระกูลเฟิง อารมณ์ก็สงบลงมาก
อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้โกรธกับการปฏิบัติที่แตกต่างของกู้หงเซิน เธอรู้ดีว่าไม่ใช่แค่วันหรือสองวัน
คิดอย่างนั้นแล้วเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่เห็นบ้านตระกูลเฟิงที่ใหญ่มากอย่างนี้ เธอก็เหนื่อยอย่างอธิบายไม่ถูก