วันที่ต่อๆมาช่วงนี้ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร
กู้ฉางชิงกลับสู่สภาพที่พร้อมทำงาน คุณนายเฟิงก็กำลังเตรียมเรื่องงานเลี้ยงการกุศลอยู่
เพราะบริษัทเฟิงจะบริจาคเงินร้อยล้านขึ้นไปในการทำการกุศล และคุณนายเฟิงก็ยังก่อตั้งคณะการกุศลขึ้นในบริษัทเฟิงอีกด้วย
และงานการกุศลนี้ จะให้การช่วยเหลือแก่เด็กพิการ
และคุณนายเฟิงจัดการคอนเฟิร์มรายชื่อและส่งการ์ดเชิญออกไป
คนที่ได้รับการเชิญนั้น พวกเขาก็จะเตรียมของที่จะมาบริจาค และพวกเขายังจะเอาของไปประมูลอีกด้วย และกำไรเงินที่ได้มาก็เอาไปทำการกุศล
รอคุณนายเฟิงจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เธอถึงจะให้ป้าหวังเอาเอกสารปึกนึงไปส่งให้กู้ฉางชิง
“คุณหญิงคะ อีกสองสามวันคุณนายเฟิงจะจัดงานการกุศล นี่คือเอกสารของงานค่ะ คุณนายเฟิงสั่งไว้ว่าคุณหญิงต้องดูรายละเอียดของคนที่ถูกเชิญทั้งหมดอย่างละเอียดค่ะ”
ป้าหวังพูดไปพร้อมกับส่งเอกสารในมือให้เธอไป
กู้ฉางชิงเลิ้กคิ้วขึ้น แต่ก็รับเอกสารมา
เธอกำลังอยากจะถามเลยว่าคุณนายเฟิงหมายความว่าอย่างไร แต่ป้าหวังก็หันหลังเดินกลับไปแล้ว
การกระทำที่ทำเหมือนเธอไม่อยู่ในสายตา กู้ฉางชิงก็รู้สึกไม่พอใจนัก
แต่พอนึกถึงว่าเธอเป็นคนของคุณนายเฟิง ก็เลยไม่ได้พูดอะไร
เธอก้มหน้าลงดูเอกสารในมือ กลับเห็นว่ากู้หงเซิงก็ถูกเชิญ เธอขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
จากเหตุผลที่ดูจะเข้าท่าคือ คุณนายเฟิงกับบ้านเธอทะเลาะกันขนาดนี้ และดูถูกตระกูลกู้ด้วยซ้ำ แล้วทำไม ยังต้องเชิญเขามาด้วย?
หรือว่ามันเป็นเพราะเธอเอง?
พอเธอคิดถึงตรงนี้ ก็ส่ายหัวไปมา
เพราะเธอเข้าใจว่าเธอน่ะไม่ได้สำคัญอะไรขนาดที่คุณนายเฟิงเชิญเขามาเพราะเธอ
นี่คุณนายเฟิงจะทำอะไรกันแน่นะ?
เธอที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่ในสมอง ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากข้างๆ
เธอมองไปที่หน้าจอ กู้หงเซิงโทรมา
เธอหลับตาก่อน แล้วลืมตาขึ้นมากดรับสาย
“มีอะไร” เธอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในโทรศัพท์กู้หงเซิงก็ไม่ได้จะทำตัวเสแสร้งอะไร พูดมาเลยตรงๆว่า “ตระกูลเฟิงส่งการ์ดเชิญมา ให้ฉันไปร่วมงานมะรืนนี้ ถึงเวลาให้เธอน่ะทำตัวสนิทสนมกับฉันด้วย”
กู้ฉางชิงขมวดคิ้ว เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรกู้หงเซิงก็พูดต่อเตือนว่า
คนข้างนอก เขารู้ว่าฉันกับกู้ฉางชินน่ะ ความสัมพันดีต่อกัน ให้ดีเธออย่ามีพิรุธ เพราะถ้ามันพลาด เธอรู้ผลที่จะตามมาดี”
“ฉันรู้แล้ว ถึงเวลาฉันจะพยายามร่วมมือด้วย”
กู้ฉางชิงกัดฟันตอบ รู้สึกเหมือนถูกขู่
แต่เธอก็ไม่มีทางที่จะต่อต้านอะไร ใครให้จุดอ่อนเธออยู่ที่เขาหละ
กู้หงเซิงได้รับคำตอบจากเธอถึงจะพอใจและเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“ใช่ วันที่จัดงานเธอเตรียมจะบริจาคอะไร”
“ฉันก็พึ่งได้รับข่าวเมื่อกี้ ยังไม่ได้เตรียม แต่ฉันกับเฟิงจิงเหยาคุยกันแล้ว ไม่ขายหน้ากู้ฉางชินหรอก”
กู้ฉางชิงรู้ว่าคำถามที่เขาถาม ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เป็นเพราะกลัวว่าจะทำให้ลูกสาวอีกคนหนึ่งเสียหน้าก็เท่านั้นเอง
และความเป็นจริงก็เป็นแบบนี้
กู้หงเซิงกลัวเธอไม่เคยเข้าร่วมงานอะไรแบบนี้ เลือกของไม่เป็น เดี๋ยวถึงเวลาก็มาทำกู้ฉางชินเสียชื่ออีก
เพราะยังไงตอนนี้สิ่งที่เธอแบกรับไว้คือชื่อของกู้ฉางชิน
“ถ้าเธอกับเฟิงจิงเหยาปรึกษากันแล้วก็ดี ฉันก็จะไม่สนใจ จำไว้ อย่าขายหน้าฉัน แล้วก็อย่ามีพิรุธ”
ก่อนวางเขาย้ำอย่างไม่ไว้ใจ
กู้ฉางชิงมองสายที่วางไปด้วยสายตาเย็นๆ พร้อมกับยิ้มแห้ง ทิ้งมือถือไปอีกฝั่ง ทำเหมือนไม่ฟังคำที่เขาพูดเลย
พอตกดึก เฟิงจิงเหยากลับมา ที่ฝั่งป้าหวังก็กลับมา บอกให้สองคนไปทานอาหารที่ห้องหลัก
ที่โต๊ะอาหาร คุณนายเฟิงพูดถึงเรื่องของงานการกุศล
“ฉางชิน เอกสารที่ให้ไปตอนเย็น ดูหมดยัง?”
เธอถามไถ่ ตอนแรกกะจะหาเรื่อง แต่ใครจะรู้ว่ากู้ฉางชิงใช้เวลาทั้งเย็นจำรายชื่อข้อมูลรายละเอียดของแขกรับเชิญ
ตอนนั้น สีหน้าของคุณนายเฟิงดูไม่ดีเลย แต่ไม่ช้า เธอก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่
“ถ้าดูจบแล้ว แล้วเธอเตรียมของที่จะบริจาครึยังล่ะ?”
เธอถามอีกรอบ ดูสีหน้าเขาดูสนใจมาก ทำให้เตือนกู้ฉางชิงขึ้นมา
ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะใช้วิธีเลวๆอะไรมาทำกลั่นแกล้งเธออีก
เธอขมวดคิ้ว “หนูกะว่าจะเอาเพชรน้ำที่พ่อให้หนู ไม่รู้ว่าแม่จะว่ายังไงค่ะ?”
เพชรน้ำ เป็นกำไลคู่หนึ่งที่ราคาประมาณสามล้านหยวน คือตอนแรกที่กู้ฉางชินแต่งงานมาที่นี่ เป็นของมาจากที่บ้าน และแน่นอนว่ามีของอื่นที่มีค่าอีกมากมาย แต่เธอไม่ใช่ตัวกู้ฉางชินเอง เลยไม่อยากจะเอาอะไรดีกว่า เผื่ออีกหน่อยมีปัญหาตามมาอีก และคุณนายเฟิงยังเลือกมากอีก เธอเลยเลือกสิ่งที่เป็นราคากลางที่สุด
เป็นตามที่เธอคิดเป๊ะ คุณนายเฟิงได้ยินสิ่งของที่หล่อนจะบริจาค ก็ถึงกับพูดไม่ออกเลย
ถ้าจะพูดว่าสิ่งที่เธอให้ไม่ค่อยแพง แต่กำไลเพชรน้ำ มีชื่อเสียงมาก ถึงจะไม่ใช่ของเลอค่าอะไร แต่มันมีการดีไซน์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร คนไม่น้อยที่ชอบสิ่งนี้
กู้ฉางชิงมองไป
ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใจดีขนาดนี้หรอก สายตาเธอที่กรอกไปมา มองไปที่เฟิงจืงเหยาที่อยู่ข้างๆ ยิ้ม “พูดถึง แม่ถามฉันตลอด ก็เลยไม่ได้ใส่ใจว่าจิงเหยาบริจาคอะไร วันนั้นจิงเหยาอยากจะบริจาคอะไรหรอ?”
ตามที่ฉันพูดคุณนายเฟิงเลยมองไปที่เฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยาเผชิญกับสายตาผู้หญิงสองคนที่จ้องมองเขามา “สวีหยางเตรียมเรียบร้อยแล้ว เป็นงานของอาจารย์หวังเหวย โซวซานจือโจ้”
พอเขาพูดออกมาแบบนี้ กู้ฉางชิงรู้สึกประหลาดใจมาก
เพราะอาจารย์หวังเป็นคนที่มีการศึกษาและผลงานที่สูงมาก
ภาพวาดของเขาภาพหนึ่งมูลค่าเป็นล้านๆยังเอื้อมได้ยาก มีคนเคยออกราคาเป็นล้านเพื่อจะซื้อเก็บสะสมไว้
คุณนายเฟิงพยักหน้าด้วยความเต็มใจ
หลังจากนั้นเธอกับเฟิงจิงเหยาก็คุยกันเรื่องของงาน
“วันนั้นเธอกลับมาเร็วหน่อยนะ ช่วยพ่อเธอรับแขก……”
เธอพูดบ่นไปไม่น้อย เฟิงจิงเหยาเงียบฟังอย่างดี
พอเธอพูดจนพอเห็นกู้ฉางชิงที่อยู่ข้างๆเฟิงจิงเหยา ก็เกิดอยากพูดขึ้น “ส่วนฉางชินน่ะ ฉันไม่อยากให้เธอทำอะไร จะได้ไม่ต้องผิดอะไรมาก อยู่ให้มันนิ่งๆเงียบๆก็พอ อย่ามาขายหน้าฉันก็แล้วกัน”
“แม่!”
พอเฟิงจิงเหยาฟังคำที่แม่เขาพูด ก็ขมวดคิ้วไม่เห็นด้วยกับคำที่เธอพูด
คุณนายเฟิงเข้าใจลูกตัวเองดี ยิ้มแล้วพูดว่า “โอเคๆๆไม่พูดแล้ว กินข้าวกัน”
เธอพูดกล่อมจิงเหยา แล้วพอตอนที่จิงเหยาไม่เห็นก็หันไปจิกตาส่งสัญญาณใส่
กู้ฉางชิงก็ไม่ได้แคร์อะไร
ไม่ให้เธอทำอะไร เธอยิ่งสบายเข้าไปใหญ่
……
เวลาเดินไวอย่างกับอะไร แค่พริบตาเดียวก็ถึงคืนวันงานแล้ว
ที่โรงแรมเซิ้งหยวิ่นกง มีพรมแดงปูทั้งทางจนถึงหน้าประตูโรงแรม
มีรถหรูล้อมรอบ มีชายหญิงที่หน้าตาดีลงจากรถ เดินไปทางฝั่งโรงแรมอย่างสง่า
ทางที่พวกเขาเดินมีไฟที่กระพริบอยู่ไม่น้อยส่องมาที่พวกเขา
ในโรงแรม ผู้คนมากมายที่เกาะกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของงานคืนนี้อยู่
ตระกูลเฟิงเป็นเจ้าภาพ ก็ต้องเข้างานสุดท้ายอยู่แล้ว
คุณนายเฟิงเดินลงมาอย่างช้าๆจากบันได
และข้างหลังคุณนายเฟิงมีเฟิงจิ้งหยวนตามมา
และกู้ฉางชิงกับเฟิงจิงเหยาเป็นรุ่นเล็ก เลยอยู่หลังสุด
แต่ทั้งสองคนออกมาหน้างาน ทำให้ดึกดูดสายตาของคนไม่น้อยเลย