“นี่เป็นผลงานของอาจารย์หวังเหว่ยจริง ๆ ด้วย ตระกูลเฟิงช่างมีน้ำใจกว้างขวางเสียจริง”
“ภาพวาดนี้ พ่อของเราอยากได้มาโดยตลอด แต่ไม่เคยเจอเบาะแส คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องประมูลมันมาให้ได้ ทุกท่านโปรดหลีกทางให้ด้วย”
“เฮ้ พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ ภาพวาดนี้ฉันก็อยากได้เหมือนกัน เรามาแข่งกันที่ความสามารถดีกว่า”
เรียกได้ว่าภาพวาดเพียงภาพเดียวของเฟิงจิ่งเหยานั้นได้กระตุ้นบรรยากาศของการประมูลให้คึกคักขึ้นมา
ในขณะเดียวกันนักประเมินก็ได้ประเมินมูลค่าของภาพวาดนี้เสร็จสิ้นพอดี
“ภาพวาดนี้ของท่านประธานเฟิงนั้นมีมูลค่ามากกว่าแปดล้าน”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้าบ่งบอกให้ชวี่ยี่เก็บภาพ แล้วจึงไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางสงบ
และขณะนี้พิธีกรก็ได้อ่านรายชื่อผู้บริจาครายต่อไป
ผู้บริจาครายต่อไปก็คือกู้ฉางฉิงนั่นเอง
เธอส่งมอบเครื่องเพชรที่จะบริจาคให้กับเจ้าหน้าที่ เธอมองไปรอบ ๆ ยิ้มอ่อนและพูดอย่างสุภาพว่า “แค่ของธรรมดา”
ทุกคนยิ้มและพยักหน้าถือเป็นการตอบรับ
มีเพียงลู่ซือหยี่เท่านั้นที่มองเธออย่างดูถูก
เธอสืบรู้มาแต่แรกแล้วว่านังสารเลวนี่จะบริจาคอะไร สร้อยคอมูลค่าแค่สองสามล้านเธอยังกล้าที่จะเอาออกมา ช่างหยามฐานะของตัวเองเสียจริง
“สิ่งที่คุณนายรองบริจาคก็คือ สร้อยหัวใจน้ำแข็ง ที่ออกแบบโดยผู้ชนะเลิศหน้าใหม่ผลงานลำดับที่สิบเอ็ดจากบริษัทจิวเวอร์รี่ B&Y มีมูลค่าตลาดอยู่ที่สามล้าน”
พิธีกรประกาศ และในเวลาเดียวกันก็ได้แจ้งรายชื่อผู้บริจาคลำดับต่อไป
“กู้ฉางซิน ยังคิดว่าเธอจะเอาอะไรดีดีออกมาเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะขี้เหนียวถึงขนาดมอบของราคาแค่สองสามล้าน ช่างหน้าขายหน้าจริง ๆ”
เฟิงจิ้งหยวนใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับบนเวที โน้มตัวเข้าไปพูดประชดประชันข้างหูกู้ฉางฉิง “บอกแล้วว่าเธอไม่คู่ควรกับตระกูลเฟิงของเรา คุณปู่ก็ไม่เชื่อ สายตาช่างสั้นนัก ซือหยี่ยังดีกว่าเธอซะอีก”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ที่บนเวทีพิธีกรก็ประกาศถึงของบริจาคของลู่ซือหยี่ขึ้นมา
มันคือต่างหูหยกจักรพรรดิ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่มูลค่ากลับมากกว่าของกู้ฉางฉิงถึงสองเท่า
“ซือหยี่ นี่คือต่างหูคู่ที่ก่อนหน้านี้เธอชอบมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้เอาออกมาเสียล่ะ?”
เฟิงจิ้งหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นต่างหูคู่นั้น
“แม้ว่าฉันจะชอบต่างหูคู่นี้ แต่ด้วยสีที่เข้มเกินไปจึงไม่ค่อยเหมาะกับฉันสักเท่าไหร่ สู้เอามาใช้ในการสนับสนุนคุณป้าหมิงดีกว่า”
ลู่ซือหยี่มองไปทางคุณนายเฟิงอย่างเอาใจ
แน่นอนว่าคุณนายเฟิงต้องชื่นชมเธอ
“ซือหยี่ช่างเป็นเด็กรู้ความเสียจริง ๆ”
ลู่ซือหยี่ทำราวกับเกรงใจกับคำชม ก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย
ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็นนั้น เธอแอบเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปทางกู้ฉางฉิงอย่างได้ใจ
ราวกับกำลังบอกเป็ยนัยว่าคราวนี้เธอเป็นผู้ชนะ
โดยไม่รู้เลยว่า กู้ฉางฉิงไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องนี้เลย
เธอไม่ได้สนใจลู่ซือหยี่ และนั่งอยู่กับเฟิงจิ่งเหยา ฟังพิธีกรประกาศมูลค่าของสิ่งของบริจาคอย่างเงียบ ๆ
คิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินอะไรแปลก ๆ เข้า
คนขี้เหนียวอย่างกู้หงเซินได้บริจาคของเก่ามูลค่ากว่าห้าล้าน
ช่างเป็นเรื่องที่หายากเสียจริง
สองชั่วโมงผ่านไปการบริจาคได้สิ้นสุดลง คุณนายเฟิงได้ขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งประกาศให้ทุกคนกินดื่มและสนุกกันให้เต็มที่
เมื่อเธอพูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปที่ห้องจัดเลี้ยง
กู้ฉางฉิงก็กำลังจะออกไปกับเฟิงจิ่งเหยา แต่กลับถูกคุณนายเฟิงเรียกให้หยุดไว้ก่อน
“ฉางซิน เธออยู่ติดตามพวกเขาคัดแยกสิ่งของบริจาคเหล่านี้ที่นี่แหละ การประมูลจะจัดขึ้นในภายหลัง ถ้าไม่มีใครคอยเฝ้าดูอยู่ ฉันก็ไม่ไว้ใจ เธอเองก็ไม่ได้มีธุระอะไร ก็อยู่ดูแลที่นี่ไปแล้วกัน”
เมื่อเธอพูดจบก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่สนใจว่ากู้ฉางฉิงจะยินยอมหรือไม่
เมื่อกู้ฉางฉิงไม่มีทางอื่น ก็จึงทำได้เพียงอยู่ตรงนั้น
เธอกลับไปนั่งที่เดิม นั่งเล่นนิ้วมือของตัวเอง ในขณะที่รอเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้นับของ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในขณะที่เธอรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้เดินเข้ามา
“คุณนายรอง ทางนี้ตรวจเช็คของใกล้จะเสร็จแล้ว คุณต้องการจะตรวจสอบสักหน่อยไหมคะ?”
เพื่อไม่ให้คุณนายเฟิงหาเรื่องเธอ กู้ฉางฉิงจึงได้เข้าไปดู เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เธอจึงได้ออกไปยังที่ห้องจัดเลี้ยง
เธอกลับเข้าไปที่ห้องจัดเลี้ยง ตั้งใจว่าจะไปหาเฟิงจิ่งเหยา เธอกวาดสายตาไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นเขา ก็เลยยอมแพ้
เธอยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า มองเข้าไปยังที่สถานที่จัดงานที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มและความรื่นเริงที่อยู่ด้านใน เธอซึ่งไม่ชอบงานประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงหาสถานที่เงียบ ๆ เพื่อนั่งพัก
ลู่ซือหยี่เห็นเธอนั่งอยู่คนเดียวที่มุมห้อง ในตาเปล่งประกายด้วยเจตนาไม่ดี
เธอและเฟิงจิ้งหยวนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักมองหน้ากันแล้วพยักหน้า จากนั้นเฟิงจิ้งหยวนก็ได้ถอยออกจากสถานที่จัดงานไป
ไม่นานหลังจากที่เธอจากไป เจ้าหน้าที่ที่ตรวจนับสิ่งของบริจาคก่อนหน้านี้ก็ได้เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
เธอเดินเข้าไปหาคุณนายเฟิงด้วยใบหน้าตื่นตระหนก และไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรถึงทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณนายเฟิงมืดมนลงในทันใด
“ของอะไรหายไปนะ?”
เธอถามด้วยเสียงเย็น และจงใจทำเรื่องให้ใหญ่ขึ้น
เจ้าหน้าที่คนนั้นตัวสั่นด้วยความตกใจและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ของที่หายไปนั้นคือน้ำตาสาวงามที่คุณมู่เป็นผู้บริจาคค่ะ พวกเราค้นหาทั่วทั้งบริเวณแล้วแต่ก็ไม่พบ สงสัยว่าอาจจะถูกคนขโมยไป”
ทันทีที่คำพูดนี้ของเธอออกมา คนที่ตกใจเพราะเสียงคุณนายเฟิงก็พากันถอนหายใจออกมา
“มีคนกล้าขโมยของ? ของเหล่านี้บริจาคเพื่อช่วยเหลือคน ยังมีคนที่เลวเช่นนี้อยู่อีก”
“คงไม่ใช่คนที่อยู่ภายในงานหรอกนะ?”
“คุณอย่าพูดซี้ซั้วไป พวกเราที่นี่ต่างเป็นคนระดับไหน จะมีใครสนใจขโมยสิ่งของเหล่านั้นกัน?”
“นั่นน่ะสิ อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกพนักงานขโมยไปเอง เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกอย่าง น้ำตาสาวงามของคุณมู่ก็เป็นไข่มุกฉลามคุณภาพสูงที่หาได้ยากในรอบศตวรรษ มีมูลค่าตลาดสูงถึงเจ็ดล้าน เป็นที่ต้องการอย่างมากทั้งในตลาดมืดหรือตลาดยาก็ตาม”
การสนทนาของทุกคนดังขึ้น ๆ จนเจ้าหน้าที่คนนั้นกังวลมากหลังจากที่ได้ยิน ดังนั้นเธอจึงรีบอธิบายเพื่อปกป้องตัวเอง
“คุณนายเฟิงคะ พวกเราร่วมงานกันมาก็หลายครั้งแล้ว คุณนายน่าจะรู้กฎเหล็กของพวกเราเป็นอย่างดี การขโมยของของลูกค้าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเรา”
คุณนายเฟิงมองดูเธอด้วยใบหน้าเย็นชา และไม่ได้ตอบกลับในทันที ดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
กู้ฉางฉิงยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน เมื่อฟังจนจบก็เข้าใจเรื่องราวว่าของบริจาคถูกขโมยไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ยังไม่ทันที่เธอจะสำรวจตัวเอง ก็มีคนเดินมุ่งเข้ามาหาเธอ
“คุณนายรอง คุณนายเชิญให้คุณไปพบค่ะ”
กู้ฉางฉิงมองไปที่เธอแล้วหันไปมองคุณนายเฟิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ความรู้สึกไม่สบายใจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามภายใต้สายตาของทุกคน ไม่มีทางให้เธอได้ปฏิเสธ เธอทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินเข้าไป
“คุณแม่ ตามหาฉันเหรอคะ?”
เมื่อคุณนายเฟิงเห็นเธอเดินเข้ามาก็ขมวดคิ้วขึ้นพูดว่า “เมื่อกี้เธอก็น่าจะได้ยินแล้วใช่ไหม ของบริจาคชิ้นหนึ่งถูกคนขโมยไป และตอนนี้ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนเอาไป ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉะนั้นเธอต้องถูกค้นตัวพร้อมกับพวกเขา เพื่อไม่ให้คนอื่นมาครหาได้ว่าฉันจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยุติธรรม”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอก็หมองลง
เธอคิดว่าคุณนายเฟิงเรียกเธอมาเพื่อจะสอบถามถึงสถานการณ์ด้านในในตอนนั้นเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะให้เธอมาถูกค้นตัวด้วย
นี่เป็นการหักหน้าเธออย่างไม่ต้องสงสัย แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะโต้ตอบอะไรต่อหน้าผู้คนจำนวนมากนี้ได้
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะให้ความร่วมมือ”
เธอเม้มริมฝีปากแล้วตอบ พร้อมหันตัวยื่นกระเป๋าถือใบเล็กของเธอให้คนเอาไปตรวจสอบ
เพราะเธอไม่ได้ขโมย จึงไม่กลัวการตรวจสอบ
ขณะกำลังคิดอยู่ ไม่ทันไร ราวกับถูกตบหน้าเข้าให้ด้วยความจริง
“คุณนายเฟิงคะ หาน้ำตาสาวงามพบแล้วค่ะ อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของคุณนายรอง!”