สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – บทที่ 142 ของขาดทุน

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

เมื่อกู้ฉางฉิงมองดูคุณนายเฟิงที่เข้ามาพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ในใจก็เดาออกถึงสาเหตุการมาของเธอในครั้งนี้

แน่นอนว่าเมื่อคุณนายเฟิงเห็นเธอเข้าสีหน้าก็ยิ่งแสดงออกถึงความโกรธมากยิ่งขึ้น

“กู้ฉางซิน!”

เธอกัดฟันเรียก ประกายความโกรธในแววตาของเธอบ่งบอกว่าอยากจะฉีกทึ้งกู้ฉางฉิงซะเหลือเกิน

“คุณแม่”

เมื่อกู้ฉางฉิงมองเห็นท่าทีที่โกรธเกรี้ยวของเธอ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด

“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ตระกูลเฟิงของเราได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนักหนา ถึงได้สู่ขอของขาดทุนอย่างเธอเข้ามา!”

คุณนายเฟิงชี้หน้าตำหนิเธออย่างเจ็บแสบ “มีดาวอับโชคอย่างเธออยู่ ธุรกิจร้อยปีของบ้านตระกูลเฟิงก็ยังไม่พอให้เธอผลาญทำลาย”

เมื่อพูดจบ ก็นึกถึงข่าวที่กำลังแพร่กระจายอยู่ภายนอก จึงได้ตำหนิขึ้นมาอีกว่า “ไหนจะพ่อที่ละโมบโลภมากของเธออีก ช่างเป็นผีดูดเลือดกันทั้งตระกูลจริง ๆ”

กู้ฉางฉิงฟังคำตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวของเธอด้วยสีหน้าซีดเซียวโดยไม่มีคำแก้ตัวใดใด

เพราะมันเป็นความผิดของบ้านสกุลกู้จริง ๆ อีกทั้งเธอยังมารับบทเป็นกู้ฉางซิน ไม่ว่าคุณนายเฟิงจะพูดจาได้ไม่น่าฟังเพียงไรเธอก็จำต้องอดทน

เธอเม้มปากยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้คุณนายเฟิงตำหนิ

กลับเป็นคุณนายเฟิงเสียเองที่เมื่อไม่เห็นว่ากู้ฉางฉิงจะมีปฏิกิริยาต่อต้านใดใดทั้งที่เธอก็พูดมาเสียตั้งนาน รู้สึกเหมือนกำลังปล่อยหมัดลงบนปุยฝ้ายก็ไม่ปาน ทำให้เธอยิ่งอารมณ์เสียยิ่งนัก

“ทำไม เป็นใบ้หรือไง ปกติพูดว่าเธอคำหนึ่งเถียงกลับเป็นสิบไม่ใช่หรืออย่างไร?”

เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์

กู้ฉางฉิงได้แต่เม้มปาก

“เรื่องราวครั้งนี้ถือเป็นความผิดของบ้านสกุลกู้ ที่คุณแม่สั่งสอนก็สมควรแล้วค่ะ”

เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่กลับไม่รู้เลยว่าท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้คุณนายเฟิงรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังขึ้นไปอีก

เดิมทีเธออยากจะใช้เหตุการณ์นี้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้หญิงคนนี้ ให้ผู้หญิงคนนี้มามีปัญหากับเธอ เพื่อที่เธอจะสามารถมีข้ออ้างหาเรื่องทะเลาะได้

ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ราวกับกินยาผิด ไม่เพียงแต่ไม่โต้เถียงกับเธอแล้วยังมายอมรับความผิดง่าย ๆ ทำให้สิ่งที่เธอคำนวณไว้ผิดพลาดไปเสียหมด

“หึ อย่าคิดว่าการที่เธอยอมรับผิดแล้วเรื่องนี้มันจะจบ ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ถ้าคราวนี้เฟิงซื่อกรุ๊ปต้องเสียหายมากเพราะบ้านสกุลกู้ของเธอล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันยอมทนให้เธอเสนอหน้าอยู่ที่บ้านตระกูลเฟิงอีกแน่”

เธอทิ้งคำข่มขู่อย่างโกรธเกรี้ยวไว้ แล้วหมุนตัวจากไป

กู้ฉางฉิงคิ้วขมวดแน่นมองตามหลังเธอที่กำลังจากไป จากนั้นเธอก็ไปที่บริษัทด้วยความกังวล

เดิมทีเธอตั้งใจจะไปหาหลี่ม่านโดยตรงเพื่อจะถามว่าเบื้องบนตัดสินใจจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

แต่ก่อนที่เธอจะเคาะประตู ก็ได้ยินเข้ากับเสียงสนทนาด้านใน

“ผู้จัดการใหญ่ ข้างบนยังไม่สั่งการอะไรลงมาอีก หรือพวกเราทำหนังสือขอโทษออกมาก่อน เอาใจแฟนคลับของสิงหย่าอันไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์ของบริษัทก็จะถูกพวกเขาทำลายลงแน่”

“รออีกสักหน่อยเถอะ ถ้าหากเราทำอะไรโดยพลการแล้วเกิดสวนทางกับมติข้างบนจะทำอย่างไร?”

หลี่ม่านห้ามลูกน้องไว้อย่างใจเย็น

ผู้บริหารระดับสูงหลายท่านไม่ได้ออกมาพูดอะไร แต่ก็มีการคุยถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง

“เห้อ ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกก็น่าจะสนับสนุนหัวหน้าลู่ปฏิเสธเรื่องผู้จัดหาวัตถุดิบรายใหม่นี้ ช่างไม่มีการรับประกันอะไรเอาเสียเลย”

“ก็นั่นน่ะสิ ฉันได้ยินมาว่าที่โรงงานแห่งนี้ได้รับการอนุมัติจากท่านประธานของเราเป็นเพราะว่ามีเส้นสายวงใน”

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ฉันยังได้ยินมาว่าตอนที่มีการไปตรวจสอบสินค้าครั้งแรกนั้นยังพบว่ามีผ้าที่มีปัญหาอยู่ไม่น้อย”

หลี่ม่านฟังพวกเขาบ่นกันไปมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“พอได้แล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือวิกฤติของบริษัทในครั้งนี้”

เธอย้ำถึงประเด็นอย่างดุดัน โดยไม่รู้ว่ากู้ฉางฉิงยืนอยู่ที่ด้านนอก

จากท่าทีเคร่งขรึมของพวกเขา ทำให้เธอรู้ดีว่าเรื่องราวคงร้ายแรงกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้แน่

เธอหันหลังออกจากที่ทำงานและคิดว่าตัวเองจะไม่ทำอะไรเลยเห็นทีจะไม่ได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเธอเป็นต้นเหตุ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็มีทางออกขึ้นแล้วในใจ

สิงหย่าอันคือกุญแจสำคัญที่จะปราบพายุไซเบอร์ลูกนี้ให้สงบลงได้

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่เธอออกจากบริษัทแล้วก็ได้ไปซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งแล้วตรงไปยังโรงพยาบาล

ณ ห้องพักฟื้น พอสิงหย่าอันทราบว่ากู้ฉางฉิงมาขอเข้าเยี่ยม เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ และให้ผู้ช่วยปล่อยให้เธอเข้ามาได้

“ได้ยินมาว่าคุณมาพบฉัน ทำไม บริษัทของคุณตัดสินใจได้สักทีว่าจะชดเชยให้ฉันอย่างไรแล้ว?”

กู้ฉางฉิงที่กำลังส่งดอกไม้ในมือให้กับผู้ช่วย เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่มาครั้งนี้ ดิฉันไม่ได้มาในนามของบริษัท แต่ต้องการมาเจรจากับคุณสิงเป็นการส่วนตัวค่ะ”

เธอเดินไปด้านข้างของสิงหย่าอันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สิงหย่าอันมองไปที่เธอแล้วคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย “คุณต้องการคุยอะไรกับฉัน?”

“ฉันอยากขอให้ทางทีมงานของคุณสิงช่วยชี้แจงปัญหาเกี่ยวกับเนื้อผ้านี้ให้กับบริษัทของเราค่ะ”

กู้ฉางฉิงพูดเป้าหมายของเธอออกมาตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม

เมื่อสิงหย่าอันฟังจบสีหน้าก็เปลี่ยนไป

ยังไม่ทันที่เธอจะวีนออกมา ผู้ช่วยข้างกายของเธอก็โมโหขึ้นแทน

“บ้าบอสิ้นดี ทำไมหย่าอันของเราถึงต้องไปช่วยพวกคุณชี้แจงด้วย!”

สิงหย่าอันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด “บริษัทจะรังแกกันเกินไปแล้วหรือเปล่า อย่าลืมนะว่าฉันเป็นผู้เสียหาย!”

กู้ฉางฉิงคาดไว้ก่อนแล้วว่าคำพูดของเธออาจจะทำให้สิงหย่าอันไม่พอใจได้

ดังนั้นเธอจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้ใส่ใจในท่าทีของทั้งสองมากนัก “ดิฉันว่าคุณสิงเข้าใจความหมายของดิฉันผิดไปแล้วล่ะค่ะ ดิฉันไม่ได้ต้องการจะรังแกคุณ เพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนข้อตกลงกับคุณ คุณสิงลองฟังดูสักหน่อยดีไหมคะ?”

สิงหย่าอันมองดูเธอด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

“ฉันไม่สนว่าคุณจะเสนอเงื่อนไขอะไร ถ้าไม่ใช่มาเพื่อคุยเรื่องค่าชดเชยให้ฉัน ฉันก็จะขอตัวพักผ่อนแล้ว ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระของคุณ เสี่ยวถง ส่งแขก!”

เสี่ยวถงผู้ช่วยของเธอก้าวขึ้นหน้ามา ทำท่าผายมือออกข้าง ๆ ส่งกู้ฉางฉิง

กู้ฉางฉิงเห็นแล้วแต่ก็ไม่ขยับตัว

เสียวถงร้อนรนก้าวขึ้นหน้ามาอีกหมายจะลากตัวเธอ

กู้ฉางฉิงหลบตัวอย่างทะมัดทะแมง เธอมองไปที่เตียงผู้ป่วย และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ดิฉันได้ยินมาว่าสัญญานักแสดงของคุณสิงใกล้จะหมดลงแล้ว ไม่ทราบว่าคุณเคยพิจารณาอยากย้ายไปก้าวหน้าที่บริษัทอื่นบ้างไหมคะ?”

สีหน้าของสิงหย่าอันเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้

“เสียวถงหยุดก่อน”

เธอขมวดคิ้วจากนั้นก็มองไปที่กู้ฉางฉิงและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร?”

กู้ฉางฉิงรู้สึกโล่งใจขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเธอยอมฟังสิ่งที่ตัวเองจะพูด

เธอรีบพูดในสิ่งที่เมื่อครู่ยังไม่ทันได้พูดออกมา

“ความหมายของดิฉันนั้นง่ายมาก ขอเพียงคุณสิงช่วยเราชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และเมื่อสัญญาของคุณสิงสิ้นสุดลง ก็สามารถเซ็นสัญญาเข้ากับบริษัทบันเทิงภายใต้เครือเฟิงซื่อกรุ๊ปได้เลย นอกจากนี้ทางเรายังเสนอที่จะให้การสนับสนุนที่ดีกว่าบริษัทปัจจุบันของคุณอีกด้วย”

เมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้ว ทั้งสิงหย่าอันและเสี่ยวถงต่างตกก็ตะลึงไป

ดวงตาของทั้งสองมีประกายสั่นไหวอย่างชัดเจน

สำหรับศิลปินแล้วบริษัทที่ดีนั้นไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ

แต่พวกเขาก็ยังคงสงวนท่าทีไว้

โดยเฉพาะสิงหย่าอันที่มองดูกู้ฉางฉิงอย่างสงบนิ่ง แต่มีร่องรอยความสงสัยปรากฎในแววตาของเธอ

“เท่าที่ฉันรู้มา คุณเป็นเพียงแค่ดีไซเนอร์เล็ก ๆ ของเฟิงซื่อกรุ๊ป คุณจะจัดการให้ฉันเข้าไปก้าวหน้าอยู่ในเฟิงซื่อได้อย่างไร? แล้วทำไมฉันต้องเชื่อใจคุณ?”

กู้ฉางฉิงฟังคำถามของเธอแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

“คุณสิงวางใจได้ค่ะ แม้ว่าดิฉันจะเป็นเพียงดีไซเนอร์ แต่ก็ใช่ว่าจะทำสิ่งที่สัญญากับคุณไว้ไม่ได้ ตอนนี้คุณควรจะพิจารณาว่าจะรับข้อเสนอที่ดิฉันให้ไว้หรือไม่จะดีกว่า”

เมื่อสิงหย่าอันได้ฟังแล้วก็มองดูเธออย่างลังเล

กู้ฉางฉิงรู้ดีว่าเธอกำลังลังเลอะไร ฉะนั้นเธอจึงวางเหยื่อล่อใจอีกครั้ง

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

Status: Ongoing
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท