กู้ฉางฉิงจ้องเขาอย่างเคือง ๆ จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและกวาดข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยหวังว่าจะใช้ท่านี้ปิดบังใบหน้าที่แดงก่ำของเธอไว้
แม้ว่าเธอจะบังใบหน้าเอาไว้ได้ แต่ใบหูสีชมพูนั้นก็ยังฟ้องเธออยู่ดี
“อย่าเอาแต่กินข้าวอย่างเดียวสิครับ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าผมบังคับจิตใจอะไรคุณ”
เมื่อมองไปที่ท่าทางเขินอายของเธอ เฟิงจิ่งเหยาก็อดไม่ได้ที่จะแหย่เธอเพิ่มว่า “อีกอย่าง เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีเนื้ออยู่แล้ว ถ้าผอมไปกว่านี้อีกก็จะยิ่งกอดไม่สบาย”
จากประโยคหลังของเขาทำให้กู้ฉางฉิงยิ่งโกรธขึ้ง พวงแก้มทั้งสองก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นไปอีก
“เฟิงจิ่งเหยา อย่ามาทะลึ่งนะ!”
เธอกัดฟันพูด เฟิงจิ่งเหยารีบคีบกับข้าวให้เธอ และพูดอย่างเอาใจว่า “เอาล่ะ ไม่ทะเลาะกันนะ ทานข้าวกันดีกว่า”
กู้ฉางฉิงมองดูเนื้อในชามแล้วส่งเสียงฮึดฮัด
เธอทานข้าวหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดทิ้งท้ายโดยไม่เปิดโอกาสให้เฟิงจิ่งเหยาได้ปฏิเสธแล้วจากไปเลย
“ฉันอิ่มแล้วค่ะ ที่บ้านยังมีงานดีไซน์ให้ต้องเตรียมอีก ขอตัวก่อนนะคะ”
เฟิงจิ่งเหยามองตามหลังที่จากไปด้วยความโกรธของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
พลันสายตาก็กวาดไปยังตำแหน่งที่กู้ฉางฉิงเพิ่งนั่งเมื่อครู่ก็พบว่ามีสิ่งของของผู้หญิงคนนี้อยู่บนนั้น
“ผู้หญิงคนนี้ ช่างซุ่มซ่ามลืมนู่นลืมนี่เสียจริง”
เขาพึมพำพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือบนโซฟาขึ้นมา แล้วเดินออกไปที่ประตู
กู้ฉางฉิงไม่รู้เลยว่าเฟิงจิ่งเหยาตามเธอออกมา
หลังจากที่เธอลงไปถึงชั้นล่าง ก็พบเข้ากับคนที่เธอไม่อยากจะพบ นั่นก็คือกู้หงเซินที่มาด้วยท่าทางข่มขู่คุกคาม
และเธอก็เดาออกถึงสาเหตุที่กู้หงเซินมาปรากฎอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องค่าปรับ
เมื่อคิดดังนั้น เธอก็ก้าวขึ้นหน้าไปขวางเขาไว้
“คุณมาที่นี่ทำไม?”
กู้หงเซินมองไปที่กู้ฉางฉิงที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน เขาผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีว่า “แกถามว่าฉันมาทำไม? ฉันถามแกหน่อยเถอะ เฟิงจิ่งเหยาจะฟ้องฉันมันหมายความว่าอะไร? นี่เขาไม่สนใจความสัมพันธ์แล้วหรือ? อย่าลืมว่าฉันเป็นถึงพ่อตาของเขานะ!”
หลังจากที่กู้ฉางฉิงฟังเขาพูดจบก็แทบอยากจะกลอกตามองบนทันที
“หึ ในเวลานี้คุณเพิ่งจะมาคิดได้ว่าเป็นพ่อตาของเขา แล้วตอนที่วางแผนเอาเปรียบเขาทำไมถึงคิดไม่ได้?”
เธอหัวเราะเย้ยหยัน “คุณไม่มองดูว่าตัวเองทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง กลับยังกล้ามาว่าคนอื่นอีก ตอนนี้บริษัทของเราต้องมาลำบากเพราะคุณ ที่ฟ้องคุณนั้นก็สมควรแล้ว”
ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับกู้หงเซินมาก่อน โดยเฉพาะคนคนนั้นยังเป็นคนที่เขาไม่เคยยอมรับอย่างกู้ฉางฉิง
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาโศกเศร้าอย่างหนัก
“นี่คือท่าทีที่แกพูดกับฉันอย่างนั้นเหรอ? นี่ยังไงล่ะ ถึงได้เปิดเผยตัวตนไม่ได้ ไอ้คนไม่ได้รับการสั่งสอน!”
เขาตำหนิให้เธออับอาย แต่กู้ฉางฉิงก็ไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาและตอบโต้กลับไปทันควันว่า
“ก็แน่ล่ะ เพราะพ่อของฉันก็เหมือนกับตายไปแล้วตั้งแต่ฉันยังเด็ก จึงไม่มีใครสอน ก็เลยกลายเป็นคนไม่ได้รับการสั่งสอน”
“แก……นังลูกชั่ว!”
เมื่อกู้หงเซินได้ยินเธอสาปแช่งให้เขาตายก็เดือดดาลอย่างมาก
ใบหน้าของเขาดูดุร้าย เขากางมือขึ้นหมายจะตบกู้ฉางฉิง
ฝ่ามือกำลังจะฟาดลงไปอยู่แล้ว แต่กลับมีมือเรียวหนึ่งยื่นเข้ามาและจับข้อมือของกู้หงเซินไว้แน่น
“คุณกู้ครับ ตอนนี้ฉางซินเป็นภรรยาของผม หากคุณจะตีเธอก็ควรจะถามความเห็นผมก่อนหรือเปล่า?”
เฟิงจิ่งเหยาพูดด้วยเสียงแข็ง แววตาของเขาเย็นชานัก
เขาสบัดมือของกู้หงเซินออกไปอย่างแรง แล้วเหลือบมองไปที่กู้ฉางฉิงที่กำลังตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ คิ้วของเขาขมวดและมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจ
ไม่ใช่ว่ากู้หงเซินคนนี้นั้นรักกู้ฉางซินมากราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ ทำไมถึงคิดจะทำร้ายเธอได้ลงคอ?
กู้หงเซินเป็นคนฉลาด เพียงแค่เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก็เดาออกว่าในใจเขากำลังสงสัยอะไร
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป ก็จึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ประธานเฟิงเข้าใจผิดแล้ว ผมกับฉางซินแค่กำลังทักทายกัน”
เมื่อพูดจบ เขาก็ส่งสายตาเตือนไปที่กู้ฉางฉิง แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “จะว่าไป จิ่งเหยาคุณมาได้เวลาเลย ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอยู่พอดี”
กู้ฉางฉิงรู้ดีว่าเขาต้องการจะพูดอะไร และเธอก็ไม่สนใจสายตาเตือนของเขา จึงพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “พ่อ อย่าให้มันเกินไปนะคะ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันอีก”
เมื่อกู้หงเซินได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็ขุ่นเคืองขึ้นทันที ความฉุนเฉียวในดวงตาก็เพิ่มขึ้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเฟิงจิ่งเหยาอยู่ด้วย เขาก็อยากจะสั่งสอนนังผู้หญิงที่ลืมกำพืดของตัวเองคนนี้เสียจริง
เฟิงจิ่งเหยาหรี่ตาลงสังเกตดูประกายไฟในความเงียบของคนทั้งสอง
“ฉางซิน คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมก็กำลังอยากจะคุยกับประธานกู้อยู่พอดี”
เขาพูดพร้อมตบบ่าปลอบโยนกู้ฉางฉิง
อย่างไรก็ตามกู้ฉางฉิงก็ไม่สบายใจและยังอยากจะพูดอะไรออกมาแต่กลับถูกเฟิงจิ่งเหยาพูดตัดบทเสียก่อน
“ไว้ใจได้ ไม่เสียเปรียบแน่นอน เชื่อผมนะ หืม?”
คำสุดท้าย เสียงเล้าโลมเบา ๆ ในจมูก ทำให้กู้ฉางฉิงทำได้เพียงหันตัวและจากไป
ขณะที่เธอจากไป เฟิงจิ่งเหยาก็เอามือล้วงกระเป๋าแล้วกวาดสายตามองกู้หงเซินด้วยสายตาเย็นชา
“ชวี่ยี่ พาคุณกู้ขึ้นไปข้างบน”
เขาออกคำสั่งด้วยเสียงแข็งแล้วเข้าไปในลิฟท์โดยไม่สนว่าสีหน้าของกู้หงเซินจะแย่แค่ไหน
ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองก็เข้ามาในห้องทำงาน
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรก่อน แต่กลับนั่งจัดการเอกสารบนโต๊ะทำงาน ทำราวกับกู้หงเซินเป็นอากาศธาตุ
แน่นอนว่าท่าทีของเขาทำให้กู้หงเซินโมโห
แต่เมื่อคิดถึงจุดประสงค์ที่เขามาในครั้งนี้ก็จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้ จากนั้นจึงพูดขึ้นทำลายความเงียบว่า “จิ่งเหยา พวกเราสองครอบครัวในตอนนี้ต่อให้ตีกระดูกจนหักก็ยังมีเส้นเอ็นเชื่อมต่อกัน คุณฟ้องร้องผมก็เท่ากับทำให้เราทั้งสองบ้านต้องขายหน้า จะดีกว่าไหมถ้าถอนฟ้องแล้วเราสองบ้านมาทำข้อตกลงส่วนตัวกัน?”
เฟิงจิ่งเหยายิ้มเล็ก ๆ แต่แววตาเย็นชา
“เกรงว่าประธานกู้จะลืมไปแล้วว่าผมเป็นคนที่แยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน อีกอย่างฉางซินเองก็น่าจะเคยบอกคุณไว้ก่อนแล้วว่าอย่าใช้ผ้าด้อยคุณภาพ เป็นคุณเองที่ไม่ฟังคำเตือน จนตอนนี้ทำให้บริษัทของผมต้องเสียชื่อเสียง ค่าชดเชยและความเสียหายต่าง ๆ รวมกันมูลค่านับสิบล้าน และความเสียหายเหล่านี้ก็เกิดจากปัญหาเนื้อผ้าของคุณ แน่นอนว่าคุณจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายเหล่านี้”
เขาพูดจนจบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแบบที่ไม่สามารถขัดได้
กู้หงเซินเองก็ถูกพูดจนหน้าแดง อยากจะตอบโต้แต่ก็ไม่มีคำพูด
เฟิงจิงเหยาไม่สนใจเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ก็ได้เน้นย้ำจุดยืนให้เขาอีกครั้ง
“ท่านประธานกู้ ผมหวังว่าในการคุยธุระกันคราวหลังคุณจะไม่ยกเอาเรื่องความสัมพันธ์ขึ้นมาพูดอีก คุยธุรกิจอย่างนักธุรกิจ ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจคำนี้ได้เป็นอย่างดี อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากในภายภาคหน้าคุณยังอยากทำธุรกิจร่วมกับผมอีก ผมจะไม่ปฏิเสธและแน่นอนว่าจะไม่ตกลงง่าย ๆ เช่นกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหยุดสักครู่ รอดูว่ากู้หงเซินมีอะไรจะพูดหรือไม่
เป็นไปตามคาด หลังจากที่เขาหยุดพูด กู้หงเซินก็เลิกคิ้วขึ้นพูดอย่างไม่พอใจว่า “ประธานเฟิง พูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยาเหลือบมองดูเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ คุณควรจะเข้าใจว่าบริษัทไม่ใช่ของผมคนเดียว ยังมีผู้ถือหุ้นอีกหลายคน ผมต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ผู้ถือหุ้นทุกคนสบายใจ ส่วนคุณหากยังต้องการจะร่วมมือกันต่อ ก็ต้องทำตามข้อเสนอของผมเท่านั้น”
กู้หงเซินโมโหมาก นี่เป็นการทำลายช่องทางร่ำรวยและแผนการของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าหากไม่ตกลง เขาก็จะเสียประโยชน์มากกว่า
ในขณะที่เขายังคงสับสนอยู่นั้น เฟิงจิ่งเหยาที่ดูเหมือนจะหมดความอดทนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “ถ้าประธานกู้รู้สึกว่ายังไม่เหมาะสม ก็สามารถกลับไปพิจารณาดูก่อนได้ ได้คำตอบเมื่อไหร่ก็ค่อยแจ้งมาที่ผม ตอนนี้ผมยังมีงานต้องสะสาง โปรดให้อภัยที่ไม่สามารถส่งคุณได้ ชวี่ยี่ ส่งแขก!”
เขาต่อสายให้ชวี่ยี่เข้ามา
เมื่อกู้หงเซินถูกเขาไล่ตรง ๆ ก็โมโหจนขึ้นหน้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันตัวและจากไป