เดิมทีวิกฤติในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบให้หุ้นของเฟิงซื่อมีความปั่นป่วน แต่ในเวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งวัน ทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไข
ลู่ซือหยี่อ่านความคิดเห็นต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตก็รู้สึกโมโหจนถึงกับทำลายข้าวของในห้อง
ทั้งที่เธอจัดการทุกอย่างอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะชน ต่อให้พี่จิ่งเหยาจะอยากเข้าข้างนังสารเลวกู้ฉางซินนั่นสักแค่ไหน ก็ต้องถูกบริษัทกดดันให้ลงโทษเธออยู่ดี
แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด!
โดยเฉพาะคำพูดของสิงหย่าอัน ทำให้เธอไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกต่อไป
ทั้งที่ตอนแรกยัยดารานั่นยังไม่ชอบขี้หน้านังผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย แต่กลับเปลี่ยนไปแค่ในพริบตา
น่ารังเกียจ!
นังกู้ฉางซินจะเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดหรือยังไงกัน?
ทำไมทุกครั้งที่วางแผนกำจัดเธอ เรื่องร้ายก็มักจะกลายเป็นดี
เธอคิดด้วยความโมโห ในขณะที่โทรศัพท์มือถือข้างกายดังขึ้น
เป็นสายจากเพื่อนร่วมชั้นคนนั้น แต่เธอก็ไม่คิดที่จะรับสาย
ในเวลาเดียวกัน ด้านกู้ฉางฉิงที่กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์การเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์
เธอเห็นว่าความคิดเห็นต่าง ๆ ของผู้คนถูกควบคุมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งผลอย่างดีกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก เธอรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก และกลับมามีอารมณ์ที่จะดีไซน์งานต่อ
เมื่อถึงเวลากลางคืนเฟิงจิ่งเหยาก็กลับมารับประทานอาหารที่บ้าน กู้ฉางฉิงอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา
“จริงสิคะ สิงหย่าอันตกลงที่จะเซ็นสัญญาเข้าสังกดบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องมาก่อนเลย”
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอและตอบอย่างสุขุมว่า “เมื่อวานนี้หลังจากที่คุณกลับไป ผมได้ไปพบเธอมา”
กู้ฉางฉิงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “แล้วเรื่องที่ข่าวเล็ดลอดออกไปนั้นตรวจสอบพบหรือยังคะ ว่าเป็นเพราะอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยาตอบเพียงแค่ ‘อืม’ และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นอย่างนั้นก็รู้ได้ว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไร เธอได้แต่ทำหน้ามุ่ย ไม่ถามต่อ แล้วทานอาหารต่อไป
หลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารเสร็จ คนหนึ่งก็กลับห้อง อีกคนหนึ่งก็ไปที่ห้องหนังสือ
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันถัดมา เมื่อเฟิงจิ่งเหยารับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปที่สาขาของบริษัท
ชวี่ยี่รอที่หน้าประตูบริษัทอยู่แล้ว
“อีกสิบนาที เรียกผู้บริหารทั้งหมดมาประชุม”
เฟิงจิ่งเหยาออกคำสั่งในขณะที่กำลังเดินไปขึ้นลิฟต์
ชวี่ยี่พยักหน้ารับคำสั่ง แล้วหยิบโทรศัทพ์มือถือออกมาและเริ่มจัดการทันที
ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ห้องประชุมก็เต็มไปด้วยเหล่าผู้บริหารระดับสูง
พวกเขากระซิบกระซาบพากันคาดเดาถึงเนื้อหาของการประชุมในครั้งนี้
ลู่ซือหยี่นั่งอยู่ในตำแหน่งของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งเมื่อเฟิงจิ่งเหยาเข้ามาพร้อมกับชวี่ยี่ ทุกคนถึงเก็บอาการไว้
“ที่มีการเรียกประชุมด่วนขึ้นในครั้งนี้ก็เพราะว่ามีหลายสิ่งที่ต้องรีบจัดการทันที”
หลังจากที่เฟิงจิ่งเหยานั่งลงที่ตำแหน่งประธานแล้ว เขามองไปรอบ ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เรื่องที่หนึ่ง บริษัทจะจัดตั้งแผนกตรวจสอบคุณภาพขึ้น ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพก่อน เมื่อผ่านมาตรฐานถึงจะนับว่าเสร็จสมบูรณ์และพร้อมที่จะจัดจำหน่าย……”
เขาค่อย ๆ พูดต่อถึงสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งในตอนท้าย สายตาเย็นชาของเขาจับจ้องไปที่ลู่ซือหยี่ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นับจากนี้ไป คุณถูกไล่ออกแล้ว”
ทันทีที่คำนี้ออกมาทุกคนก็ตะลึงงัน
ส่วนลู่ซือหยี่นั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปและใบหน้าก็ซีดลงทันที
อย่างไรก็ตามเฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สนใจท่าทีอาการของพวกเขา หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ประกาศสิ้นสุดการประชุม
ทันทีที่เขาออกไป ห้องประชุมที่ดูอึดอัดในตอนแรกก็เริ่มมีเสียงดังโหวกเหวกขึ้นมา
“หัวหน้าแผนกลู่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีดีท่านประธานถึงได้ไล่คุณออกได้?”
“นั่นน่ะสิ ผู้จัดการ คุณรู้หรือเปล่าว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ผู้บริหารแต่ละคนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
หลี่ม่านส่ายหน้า คิ้วขมวดแน่นพูดว่า “เรื่องนี้ท่านประธานไม่เคยพูดกับฉันมาก่อน”
เมื่อเธอพูดจบก็มองไปทางลู่ซือหยี่
ในขณะที่กำลังคิดอยากจะถามนั้น ก็เห็นว่าลู่ซือหยี่กำลังกัดฟันยืนขึ้นและตามเฟิงจิ่งเหยาออกไป
เธอไม่เข้าใจ ทั้งที่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เพราะอะไรพี่จิ่งเหยาถึงต้องไล่เธอออก
และก็ไม่อธิบายเหตุผลออกมาอย่างชัดเจน อย่างนี้จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร
“พี่จิ่งเหยา”
เธอตามมาจนถึงลิฟต์ ในที่สุดก็ได้พบกับเฟิงจิ่งเหยา จึงได้รีบเรียกเขาให้หยุดก่อน
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินแล้วแต่ก็ไม่อยากสนใจ
แต่ลิฟต์ยังมาไม่ถึง และเธอก็ไล่ตามมาจนได้
“พี่จิ่งเหยาคะ ทำไมพี่ถึงไล่น้องออก? มีตรงไหนที่น้องยังทำไม่ดีพอหรือเปล่าคะ?”
ลู่ซือหยี่ตามเข้าไปถามถึงในลิฟต์
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชวี่ยี่ยืนนิ่งไม่กล้าพูดอะไรอยู่อีกข้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ความจริงแล้วล่ะก็ คงจะถูกคุณหนูบ้านตระกูลลู่นี่หลอกต่อไปอีกแน่
ในขณะที่เขากำลังบ่นอยู่ในใจนั้น ด้านเฟิงจิ่งเหยาก็ได้ตอบเธอว่า
“เธอทำอะไรไว้ เธอรู้อยู่แก่ใจดี”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ลู่ซือหยี่ถึงกับหลับตาปี๋และตัวแข็งทื่อ
เห็นได้ชัดว่าพี่จิ่งเหยารู้ว่าเธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก พยายามที่จะอธิบาย แต่คำพูดยังไม่ทันได้ออกจากปาก ลิฟต์ก็ได้เลื่อนมาถึงโรงจอดรถที่ชั้นใต้ดิน
“บริษัทไม่ต้องการคนที่คอยสร้างปัญหา เป็นเพราะฉันเห็นแก่คุณแม่ถึงยังได้ไว้หน้าเธอ เธอกลับบ้านตระกูลลู่ไปซะเถอะ”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาพูดจบ ก็เดินผ่านเธอออกไปทันที
ลู่ซือหยี่ยืนอยู่ในลิฟต์มองดูร่างเขาที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือก
……
ในเวลาเดียวกัน ณ บ้านตระกูลเฟิง กู้ฉางฉิงได้รับข่าวว่าลู่ซือหยี่ถูกไล่ออกแล้ว
แม้ว่าที่บริษัทเฟิงจิ่งเหยาจะไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลในการไล่ออก แต่เธอก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง
เมื่อคืนตอนที่เธอถามเรื่องผู้แจ้งเบาะแสข่าวที่เล็ดลอดออกไปนั้น เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้พูดชัดเจน แต่เช้านี้พอไปถึงบริษัทก็ไล่ลู่ซือหยี่ออก
เกรงว่าลู่ซือหยี่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงข่าวนั้นนั่นเอง
แต่เธอไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้จะทำแบบนี้ไปทำไมกัน
หรือเป้าหมายจะเป็นตัวเธอเอง?
นี่เป็นการกระทำที่ต้องจ่ายราคาสูงเกินไปไหม อีกทั้งยังลากเฟิงซื่อให้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตามหลักแล้วลู่ซื่อหยี่ไม่น่าจะทำแบบนี้ได้
เธอคิดมากหลายอย่างแต่ก็ไม่เข้าใจเสียที สุดท้ายจึงเลิกคิดไป
เพราะอย่างไรก็ตามการที่ลู่ซือหยี่ออกไปถือเป็นข่าวดีสำหรับเธอ อย่างน้อยในอนาคตปัญหาในบริษัทก็จะน้อยลง
เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกสบายใจและกลับมาออกแบบงานอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จู่ ๆ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นขัดจังหวะการสร้างสรรค์ผลงานของเธอ
เธอเหลือบไปมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ บนหน้าจอแสดงว่าเป็นสายจากกู้หงเซิน เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจ
เพราะในใจเธอรู้ดีว่าการที่กู้หงเซินติดต่อมาในเวลานี้นั้นมีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็คือต้องการให้เธอช่วยเรื่องคดีความระหว่างตระกูลเฟิง
อย่างไรก็ตามเธอตั้งใจที่จะไม่ช่วยในเรื่องนี้
เพราะเคยบอกไว้แล้ว การที่เขาต้องรับผลอย่างในวันนี้ ล้วนเกิดจากตัวเขาเองทั้งนั้น
เอาของที่ไม่ดีมาย้อมแมวขาย แม้แต่เธอที่ไม่ใช่สายอาชีพนี้ยังรู้ถึงข้อห้ามนี้ในการทำธุรกิจ ส่วนเขานั้นรู้ดีแต่ก็ยังทำผิด
กู้หงเซินก็คงจะเดาออกว่าเธอตั้งใจจะไม่สนใจ
เมื่อโทรมาอีกสองสายไม่รับ เขาก็เปลี่ยนเป็นส่งข้อความแทน
‘ติ๊ง ติ๊ง’ ดังไม่หยุด ทำให้กู้ฉางฉิงไม่มีสมาธิที่จะออกแบบได้เลย เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู
ก็เห็นว่าข้อความทั้งหมดมีเนื้อหาข่มขู่และเตือนเธอ
กู้ฉางฉิงโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านอีกต่อไป
เพราะกู้หงเซินใช้แม่ของเธอมาข่มขู่อีกแล้ว
“คุณต้องการอะไรกันแน่?”
กู้ฉางฉิงโทรศัพท์กลับไป เธอกัดฟันถาม
“ฉันต้องการอะไรแกไม่รู้หรือไง? ให้เฟิงจิ่งเหยายกเลิกจดหมายจากทนายความซะ!”
กู้หงเซินออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ทำไม่ได้!”
กู้ฉางฉิงปฏิเสธออกไปอย่างไม่คิด
เมื่อกู้หงเซินได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น “แกไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธ เรื่องนี้แกต้องทำให้สำเร็จ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ไม่รอให้กู้ฉางฉิงได้ตอบโต้อะไรและขู่ขึ้นอีกครั้งว่า “อย่าคิดว่าตอนนี้ตัวแกอยู่บ้านตระกูลเฟิงแล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้ นอกเสียจากว่าแกไม่อยากสนใจว่าแม่แกจะเป็นตายร้ายดียังไง!”