เฟิงจิ่งเหยาถอนมือออก และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เข้ามาสิ”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินหันหลังเข้าไปและนั่งลงที่โต๊ะทำงาน
กู้ฉางฉิงเดินตามเขาเข้ามา รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
“คุณต้องการคุยอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยามองเธออย่างเย็นชาและถาม
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินดังนั้นจึงก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ฉันรู้ดีว่าคุณไม่เห็นด้วยแน่กับการที่จะให้คุณถอนฟ้อง เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากถามคุณว่า เราสามารถใช้วิธีอื่นในการจ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่?”
เฟิงจิ่งเหยาเลิกคิ้วหรี่ตาและยิ้มเยาะว่า “คุณจะชดใช้ด้วยวิธีไหน?”
เมื่อพูดจบเขาก็กวาดตามองกู้ฉางฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังสอบสวนเธออยู่
กู้ฉางฉิงรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูถูก
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงอดกลั้นเก็บความไม่พอใจในใจเอาไว้ เม้มริมฝีปากพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ฉันมีผลงานชิ้นหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของ RC แบรนด์ต่างประเทศ พวกเขาติดต่อกับฉันมาโดยตลอด เร็ว ๆ นี้ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังวางแผนจะเข้าทำการตลาดในประเทศจีน และกำลังมองหาบริษัทเสื้อผ้าภายในประเทศเพื่อจะร่วมทุนสร้างแบรนด์ร่วมกันขึ้น”
หลังจากที่เธอพูดจบ ก็มองไปที่เฟิงจิ่งเหยาด้วยสายตาแน่วแน่
เฟิงจิ่งเหยาเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “แล้วยังไง?”
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกแย่เล็กน้อย
เดิมทีเธอคิดว่าเมื่อพูดเรื่องนี้แล้วผู้ชายคนนี้ก็ควรจะเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
เพราะผู้ชายคนนี้ฉลาดมีไหวพริบดี
เมื่อเธอกำลังจะอธิบายเพิ่มอยู่นั่นเอง เธอก็สังเกตเห็นแววตาของเฟิงจิ่งเหยาวูบไหว
ทันใดนั้น เธอยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจ
เกรงว่าคน ๆ นี้จงใจแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็รู้สึกเคืองขึ้นมา
แต่ในเมื่อเธอเป็นคนมาขอร้องเขา เธอจึงได้แต่เพียงกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ และพูดในสิ่งที่เขาต้องการ
“ความหมายของฉันคือ บริษัทของเราสามารถเข้าร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความร่วมมือนี้ แต่เดิมดีไซน์เนอร์ของพวกเขาก็ชื่นชมผลงานออกแบบของฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ณ จุดนี้ เรามีข้อได้เปรียบที่บริษัทอื่นไม่มี และฉันก็ได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นมาแล้วบ้าง หากเราสามารถร่วมมือกับพวกเขาในครั้งนี้ นี่จะเป็นโอกาสสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้มากกว่าห้าสิบล้าน เพราะฉะนั้นจะเห็นแก่ความร่วมมือนี้ชดเชยปัญหาที่บ้านสกุลกู้สร้างขึ้นได้ไหมคะ?”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาฟังข้อเสนอทั้งหมดของเธอแล้ว นัยย์ตาก็ฉายแววประหลาดใจ
เขาไม่คาดคิดว่ากู้ฉางซินคนนี้จะมีความสามารถถึงเพียงนี้
“คุณแน่ใจแค่ไหน?”
เขาเคาะโต๊ะสักครู่แล้วถาม
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินสิ่งนี้ ก็นึกว่าเขามีความสนใจ แววตาของเธอมีประกายแห่งความดีใจ และพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “แม้ว่าครั้งนี้จะมีหลายบริษัทเข้าร่วมแข่งขัน แต่ฉันก็มีความมั่นใจกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาฟังเธอให้คำมั่นสัญญาอย่างมั่นใจ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังใช้ความคิด
ตอนนี้บริษัทเพิ่งจะเริ่มเปิดตัวก็ได้รับความเสียหายด้านชื่อเสียง
ถ้าหากอยากกลับมาสู่จุดเริ่มต้น ก็ต้องมีการเริ่มต้นใหม่ที่ดีอีกครั้ง
เพราะฉะนั้นการร่วมมือกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตในต่างประประเทศแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีสำหรับบริษัท
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เขาก็มองไปที่กู้ฉางฉิงด้วยสายตาที่หนักแน่น “เรื่องนี้ฉันสามารถตกลงได้”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินแล้ว ความกังวลที่แบกไว้ก็ถูกปลดปล่อยลงทันที และรอยยิ้มบนใบหน้าก็เผยออกมาอย่างไม่สามารถซ่อนไว้ได้
ในขณะที่เธอกำลังเตรียมจะพูดอะไรอยู่นั้น เฟิงจิ่งเหยาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป แม้ว่าผมสัญญาว่าจะถอนจดหมายของทนายความชั่วคราว แต่เงื่อนไขคือคุณจะต้องไปเจรจาตกลงร่วมงานกันให้ได้เสียก่อน”
แน่นอนว่ากู้ฉางฉิงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงพยักหน้าตอบว่า “ฉันทราบค่ะ วันพรุ่งนี้ผู้รับผิดชอบของทางนั้นน่าจะเดินทางมาถึง ฉันจะคอยหาโอกาสเหมาะเข้าไปพบเขา”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นว่าเธอรู้ดีว่าควรต้องทำอย่างไร จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ
“และเมื่อถึงเวลาคุณต้องไปพบหลี่ม่าน ผมจะแจ้งเธอไว้ล่วงหน้าเอง”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ กู้ฉางฉิงก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นเสียทีเดียว
แม้ว่าชายคนนี้จะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยในตอนแรก แต่ต่อมาเขาก็ใจอ่อนจนได้
สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยเธอเท่านั้น แต่ยังช่วยชีวิตแม่ของเธอไว้ด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ “เฟิงจิ่งเหยา ขอบคุณนะคะ”
เฟิงจิ่งเหยารู้สึกแปลกใจและมองดูเธออย่างค่อยไม่เข้าใจนัก
กู้ฉางฉิงเม้มริมฝีปาก และพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ขอบคุณที่คุณยอมให้โอกาสฉันได้แก้ไข”
และก็ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือไม่ให้เธอต้องทรมานใจ
ประโยคสุดท้ายนั้น เธอไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่มองไปที่เฟิงจิ่งเหยาอย่างซาบซึ้ง
เฟิงจิ่งเหยาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เมื่อได้ยินคำนี้ เขาก็ส่งเสียงว่ารับรู้ออกมา
“ถือว่าคุณรู้งาน หากพ่อของคุณมีสายตาอย่างคุณสักครึ่งหนึ่ง รู้จักก้าวรู้จักถอย ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
กู้ฉางฉิงรู้ดีว่าเขาไม่พอใจในตัวกู้หงเซิน
อันที่จริงแล้วไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เธอเองก็รู้สึกเกลียดกู้หงเซินอย่างมาก
แต่เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกเหล่านี้ออกมาได้ เพราะในเวลานี้เธอคือกู้ฉางซิน!
เพราะฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงขอโทษ “ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”
เฟิงจิ่งเหยาไม่ปฏิเสธและรับคำขอโทษของเธอ
กู้ฉางฉิงมองดูเขาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทีสุขุม ก็คิดขึ้นได้ว่าเธอจัดการธุระหลักสำเร็จแล้ว ทางด้านคุณแม่ยังรอเธออยู่ จึงขอตัวออกมาก่อน
“สิ่งที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคุณแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ”
เมื่อเธอพูดจบ และเห็นว่าเฟิงจิ่งเหยาก็ไม่ได้รั้งอะไรเธอไว้ จึงหันหลังแล้วกลับออกไป
เฟิงจิ่งเหยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูเธอจากไปด้วยสายตาลุ่มลึก พลางขยับนิ้วเคาะโต๊ะอย่างไม่เป็นจังหวะ
เขานึกถึงบทสนทนาเมื่อสักครู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกาย
กู้ฉางซิน คุณช่างแตกต่างจากคำบอกเล่าเสียจริง ๆ ……
ด้านกู้ฉางฉิงเมื่อกลับออกมาก็ตรงไปที่ห้องทันที
เธอไม่รีรอที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและแจ้งเรื่องที่เฟิงจิ่งเหยารับปากจะยกเลิกหนังสือทนายความชั่วคราวให้กู้หงเซินรับรู้
“ไหนบอกทำไม่ได้ สุดท้ายก็ทำสำเร็จไม่ใช่เหรอ?”
กู้หงเซินหัวเราะพูดขึ้นเมื่อได้ฟังข่าวจากเธอ
กู้ฉางฉิงรู้สึกโมโห และก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
“คุณอย่าดีใจให้เร็วไปนักเลย แม้ว่าตอนนี้เฟิงจิ่งเหยาตกลงที่จะยกเลิก แต่เขาก็บอกอีกว่า คุณอย่าหวังที่จะได้ร่วมงานกับเฟิงซื่อกรุ๊ปอีก!”
มีเพียงวิธีการตัดขาดความร่วมมือระหว่างสองบริษัทเท่านั้น เรื่องเช่นนี้จึงจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต และจะช่วยให้เธอไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีก
แม้ว่าเธอจะคิดไว้อย่างดี แต่กู้หงเซินก็ยอมไม่ได้ที่จะสูญเสียแหล่งขุมทรัพย์มหาศาลอย่างตระกูลเฟิงไปได้
“นี่คือสิ่งที่เฟิงจิ่งเหยาพูด? และแกก็ยอมรับแล้วด้วย?”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป และถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มลึก
ในขณะที่กู้ฉางฉิงกำลังจะตอบกลับไปว่า ใช่ นั้น เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ได้ ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เราต้องรักษาความร่วมมือกับบ้านตระกูลเฟิงไว้”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาทันทีว่า
“กู้หงเซิน คุณนี่มันได้คืบแล้วจะเอาศอก!”
“ถ้าใช่แล้วจะยังไง ตอนนี้แกรีบไปบอกเฟิงจิ่งเหยาให้ชัดเจนซะด้วย!”
กู้หงเซินไม่อ้อมค้อมและพูดออกคำสั่งตรง ๆ ซึ่งทำให้กู้ฉางฉิงโกรธจนมือไม้สั่น
“เป็นไปไม่ได้! เรื่องนี้คุยจนได้ข้อสรุปแล้ว”
เธอปฏิเสธเสียงแข็ง แต่กู้หงเซินก็ไม่ได้สนใจ
“คุยจนได้ข้อสรุปแล้วก็คุยใหม่ได้ อย่าลืมว่าแม่แกอยู่ในกำมือของฉัน!”
กู้ฉางฉิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธให้กับคำขู่ที่ไร้ยางอายของเขา “กู้หงเซิน คุณจะต้องขู่ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเหรอ? ถ้าใช่ ฉันก็ไม่กลัวหรอกเพราะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว คุณจะลองแตะต้องแม่ของฉันดูก็ได้ อย่างมากเราก็ตายกันไปข้างหนึ่ง”
เมื่อพูดจบ เธอก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และยิ้มเยาะ “คุณว่า ถ้าหากตระกูลเฟิงรู้ว่าพวกคุณหลอกพวกเขามาโดยตลอด พวกเขาจะปล่อยคุณไปไหม?”
เมื่อกู้หงเซินได้ยินดังนั้น น้ำเสียงก็กระด้างขึ้นทันที
“นี่แกกำลังขู่ฉันเหรอ?”
กู้ฉางฉิงพูดอย่างเย็นชา “ถ้าคุณจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้ เพราะฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองดู!”