กู้ฉางชิงได้ยินกู้หงเซินพูดออกมาอย่างมั่นใจ ทำให้เธอหัวเราะออกมา
ยิ่งทำให้รู้สึกไร้สาระ
“กู้หงเซิน นี่มันเป็นเรื่องของบริษัทกู้ ทำไมถึงคิดว่าเฟิงจิงเหยาจะช่วย”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา กู้หงเซินตอบแบบไม่คิด: “ก็เพราะฉันเป็นพ่อตาของเขาไง”
กู้ฉางชิงนิ่งอึ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็เบะปากและพูดประชดประชัน
“ยังมีหน้ามาพูดอีกหรอ พ่อตาบ้านใครเป็นแบบนี้ หวังแต่ผลประโยชน์”
กู้หงเซินถูกเธอต่อว่าจนสีหน้าเปลี่ยนไป
เขาพูดด้วยความลำบากใจ: “กู้ฉางชิง ทางที่ดีแกทำความเข้าใจไว้หน่อยว่านี่ไม่ใช่มาต่อรอง แต่ให้แกทำ!”
กู้ฉางชิงโกรธจนตัวสั่น
“งั้นก็คงต้องทำให้ผิดหวังแล้วล่ะ เรื่องนี้ฉันช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็จะไม่ทำ!”
เธอกัดฟันปฏิเสธด้วยความโกรธ
กู้หงเซินรู้แต่แรกแล้วว่าเธอต้องปฏิเสธ หัวเราะเยาะและพูดว่า: “ทำไม่ได้ก็ต้องทำ อย่าลืมว่าแม่ของแกยังอยู่ในมือฉัน!”
กู้ฉางชิงเห็นว่าเขาเอาแม่ตัวเองมาต่อรอง รู้สึกโกรธมาก
“กู้หงเซิน แกยัง……”
เธอยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายโดยกู้หงเซินทันที
“ไอ่สารเลว!”
กู้ฉางชิงจ้องไปโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายด้วยความโกรธ
เธอไม่อยากจะคิดว่าหากเอาเรื่องนี้ไปบอกเฟิงจิงเหยา หลังจากนั้นเขาจะมองเธอยังไง
กลัวว่าเธอกับตระกูลกู้จะเป็นเหมือนผีดูดเลือดในสายตาเขา ที่เอาแต่หวังผลประโยชน์จากเขา
กู้ฉางชิงคิดเช่นนี้ ในใจรู้สึกต่อต้าน
โดยเฉพาะคิดว่าเฟิงจิงเหยาอาจเข้าใจผิดและเกลียดเธอเพราะเรื่องนี้ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
แต่ถ้าไม่พูด แม่ที่อยู่ทางนั้นก็จะเป็นอันตราย
จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา เธอสังเกตได้ว่า ผู้ชายคนนั้นถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะไม่หยุดแค่นั้น
ในขณะนั้น กู้ฉางชิงเข้าสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
……
ในเวลาเดียวกันที่เฟิงซื่อกรุ๊ป
ชวี่ยี่เจอแล้วว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังของตระกูลกู้ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและรีบเดินไปที่ห้องทำงานท่านประธานเพื่อรายงาน
“ท่านประธาน ตรวจสอบเจอแล้ว ตระกูลกู้มีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังจริงๆด้วย”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ ก็วางมือลงจากงานที่ทำอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองเขา
“คนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร?”
ชวี่ยี่ตอบอย่างสุภาพ: “ตระกูลลู่ พ่อของคุณหนูลู่”
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ตระกูลกู้ไปมีเรื่องกับตระกูลลู่เมื่อไหร่?”
ชวี่ยี่ส่ายหัว: “ฉันไปตรวจสอบมาแล้ว ทั้งสองตระกูลไม่มีเรื่องบาดหมางกัน”
เขาได้ยินเช่นนี้ ราวกับว่าคิดอะไรออก พูดต่อว่า: “เออ……ถ้าพูดถึงเรื่องบาดหมาง ก็คงมีแต่คุณนายรองกับคุณหนูลู่ที่มีเรื่องคับแค้นกัน อย่าบอกว่านี่เป็นการสั่งสอนคุณนายรองของคุณลู่นะ ก็เลยมาลงมือกับตระกูลกู้อย่างงั้นหรอ?”
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
ไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อลู่ว่าเป็นคนยังไง ต่อให้มีเรื่องคับแค้น ตระกูลลู่ก็ควรมาลงที่เขาถึงจะถูก
เพราะว่าเขาเป็นคนไล่ลู่ซือยวี่ออกเอง
เขาคิดถึงตรงนี้ ก็นึกย้อนไปสิ่งที่ลู่ซือยวี่ไม่พอใจกู้ฉางซิน ก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นไปได้ที่จะลงมือทำกับตระกูลกู้แบบนี้
เขากะว่าจะรอดูสถานการณ์ก่อน แต่ข้างหูก็มีเสียงของซือยวี่ดังขึ้น
“ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นดูออกเลยว่าท่านประธานเป็นคนใส่ใจคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ คุณนายรองนี่ซวยจริงๆเลย”
เฟิงจิงเหยาได้ยินโดยบังเอิญ หน้าเคร่งและถามว่า: “เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”
เขาถามขึ้นมากะทันหันทำให้ชวี่ยี่สะดุ้ง และรีบตอบกลับว่า: “ อ่ออืม…..ฉันไม่ได้พูดอะไร แล้ว ท่านประธาน เราจะทำยังไงต่อไปดี? จะช่วยตระกูลกู้ไหม?”
เฟิงจิงเหยามองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา มองจนชวี่ยี่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงพูดออกมาเบาๆว่า: “รอดูไปก่อน รอดูว่าตระกูลลู่กำลังคิดจะทำอะไร”
ชวี่ยี่รีบพยักหน้า และกลัวว่าเฟิงจิงเหยาจะถามสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้วจึงรีบเดินออกไป
เฟิงจิงเหยาไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ก็ไม่อยากเอามาใส่ใจ เลยปล่อยให้เขาออกไป
เมื่อเห็นเขาจากไปแล้ว ก็รีบสั่งให้คนไปจับตามองตระกูลลู่ไว้
ทางด้านตระกูลลู่ ยังไม่รู้ตัว
ลู่ซือยวี่เห็นว่าตระกูลกู้กำลังซวย ความดีใจก็แสดงออกมาเล็กน้อย
แต่แค่นี้มันยังไม่พอ!
เธออยากให้กู้ฉางซินกลายเป็นคนไม่มีที่ซุกหัวนอน
เธอเองก็รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ตระกูลกู้เดือดร้อนมาก คุณพ่อก็ช่วยเรื่องนี้ไปไม่น้อย
“ไปชงชาให้ฉันหน่อยสิ”
เธอพูดกับคนรับใช้อย่างอารมณ์ดี ให้เธอไปชงชาที่คุณพ่อลู่ชอบ จากนั้นก็ยกชาที่ชงเสร็จไปยังห้องทำงาน
“พ่อคะ”
เธอเคาะประตูเข้าไป วางชาที่ถือไว้บนโต๊ะ ยิ้มอ่อนมองไปที่คุณพ่อลู่
คุณพ่อลู่เห็นเช่นนี้ ยิ้มและถามว่า: “พูดมาเลย มาหาฉันมีอะไร?”
ลู่ซือยวี่รู้ว่าแค่พ่อมองเธอแวบเดียวก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร จึงไม่อ้อมค้อมและพูดออกมา: “ฉันอยากรู้ว่าที่พ่อช่วยจัดการเรื่องตระกูลกู้ ยังมีแผนอะไรหรือเปล่า”
คุณพ่อลู่เห็นท่าทางเธออยากจะพูดอะไร จึงตอบกลับว่า: “ก็เกือบจะแล้ว รอให้ตระกูลกู้วุ่นวายกว่านี้ ตระกูลเฟิงก็จะไม่เห็นความสำคัญของพวกมัน ถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสที่แกจะได้แต่งไปบ้านนั้น”
“ถ้าอย่างงั้นขั้นต่อไปพ่อก็จะไปคุยเรื่องงานแต่งที่บ้านตระกูลเฟิงหรอ?”
ลู่ซือยวี่ถามด้วยความดีใจ พ่อลู่พยักหน้า
”อืม แต่ตอนนี้ต้องรอดูไปก่อน”
ในขณะที่เขาพูด ก็เหล่ตาและพูดต่อว่า: “ต่อให้จะไปคุยเรื่องนี้ ก็ต้องรอให้กู้ฉางซินเอ่ยปากขอให้เฟิงจิงเหยาช่วยเรื่องบริษัทก่อน ถึงตอนนั้นแกก็ไปที่บ้านตระกูลเฟิงพูดไม่กี่คำ ตอนนั้นทุกคนในตระกูลเฟิงก็จะรังเกียจกู้ฉางซิน แกก็แสดงดีๆ คุณนายเฟิงต้องอดไม่ได้ที่จะช่วยให้แกเข้าไปในบ้านแน่นอน”
ลู่ซือยวี่ได้ยินพ่อพูดจบ แววตาเต็มไปด้วยความหวัง มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น ยิ้มหน้าบาน
เธอนึกภาพตอนกู้ฉางชิงถูกไล่ออกจากบ้าน แล้วเธอก็จะเข้าไปแทนที่กู้ฉางซิน จากนั้นก็กลายเป็นคุณนายของตระกูลเฟิง
แต่กลับไม่รู้ว่า กู้ฉางชิงไม่แม้แต่จะเอ่ยออกมาสักคำ
เมื่อตกดึก เพราะว่ากู้ฉางชิงมีเรื่องไม่สบายในใจทำให้นอนไม่หลับ จึงยังอยู่ที่โต๊ะทำงานวาดออกแบบ
วาดจนมืดค่ำ เฟิงจิงเหยาก็กลับมา
“เธอยังไม่พักผ่อนหรอ?”
เขาขมวดคิ้วและถามกู้ฉางชิง
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบเก็บสีหน้า ทำเหมือนใจสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้นและตอบ: “นอนไม่หลับ แถมมีแรงบันดาลใจบางอย่างก็เลยจะวาดออกมาสักหน่อย”
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้ว เหลือบมองกู้ฉางชิง ในใจเขาไม่เชื่อสิ่งที่เธอบอก
และยังเข้าใจผิดคิดว่าที่กู้ฉางชิงยังไม่นอนเพราะรอเขากลับมาเพื่อจะคุยเรื่องบริษัทกู้
เพราะตอนนั้นก็เป็นแบบนี้
“จริงหรอ?”
เขาถามอีกครั้ง กู้ฉางชิงนิ่งอึ้ง
เธอหันไปมองเขาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
แต่เธอก็ไม่แสดงสีหน้าออกมาต่อหน้าเฟิงจิงเหยา นึกขึ้นได้ว่าเขากลับมาดึกป่านนี้ ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง: “เออ เธอกินข้าวหรือยัง? ให้ฉันไปเตรียมมื้อค่ำไหม?”
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งสองหรี่ลง รู้สึกไม่เข้าใจผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย
ทั้งๆที่รอฉันมาทั้งคืน แต่กลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ แถมยังถามเขาอีกว่ากินข้าวหรือยัง
เธอไม่คิดจะบอกเพราะรู้ตระกูลกู้มีปัญหา เขาต้องช่วยแน่นอน เพราะอย่างงี้เลยไม่กลัวงั้นหรอ?
เฟิงจิงเหยาคิดเหตุผลสุดท้ายมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ผู้หญิงคนนี้จะยังสบายใจแบบนี้ได้ยังไง ไม่งั้นก็คงวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือทันทีเมื่อเห็นเขากลับมา
เมื่อเขาคิดเช่นนี้ รู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจทันที