กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าก้มลงและขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ทำไมอยู่ๆเขาก็ไม่พอใจขึ้นมาอีกแล้ว
เธอครุ่นคิดบทสนทนาที่คุยกันเมื่อกี้ ก็ไม่มีคำไหนทำให้เขารู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อารมณ์แปรปรวน
เธอเม้มปาก ไม่ได้สนใจเขาและกำลังเก็บกวาดอุปกรณ์บนโต๊ะ
เธอไม่รู้ว่ายิ่งเธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งทำให้เฟิงจิงเหยาอึดอัด
เป็นเช่นนี้ อีกคนโกรธ อีกคนอึดอัด ทั้งคืนผ่านไปด้วยความเคร่งขรึมเงียบสงบ
สองวันต่อมา กู้ฉางชิงก็ยังไม่เอ่ยปากขอให้เฟิงจิงเหยาช่วย แต่มันยังคาอยู่ในใจ
แต่ชีวิตของแม่ยังอยู่ในน้ำมือของกู้หงเซิน
แต่ผ่านมาสองวันแล้ว เธอไม่เห็นกู้หงเซินมาเร่งเธอ ทำให้โล่งใจไปเล็กน้อย
ถ้าหากเรื่องมันร้ายแรงอย่างที่กู้หงเซินพูด เขาคงโทรเร่งหาฉันทั้งวันทั้งคืนแล้ว
แต่นี่สองวันแล้วยังไม่ตามเธอเลย จะว่าไปเรื่องก็คงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
เธอคิดถึงตรงนี้ ก็เลยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้อีก
แต่กลับไม่รู้ว่าทางกู้หงเซินรอข่าวจากเธออยู่
เขาคิดว่าใช้วิธีนี้จะทำให้กู้ฉางชิงจัดการเรื่องนี้สำเร็จได้รวดเร็ว
เพราะว่าเมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้
ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เขารอแล้วรออีกก็ยังไม่ได้ข่าวคราวจากกู้ฉางชิง แถมสถานการณ์ของบริษัทก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านประธาน แผนกโครงการเพิ่งรายงานมาว่าเนื่องจากเงินทุนที่เราใช้ทำโครงการต่างๆไม่มี ทำให้ไม่มีความคืบหน้า หลายโครงการจึงเปลี่ยนไปทำกับบริษัทอื่น”
ผู้ช่วยรีบเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ดี เมื่อพูดจบยิ่งไม่กล้ามองหน้ากู้หงเซิน
กู้หงเซินมองเขาที่กำลังก้มหน้าก้มตา
“เกิดอะไรขึ้น? ฉันให้แกไปบอกพวกเขาแล้วไม่ใช่หรอ รออีกไม่กี่วันเงินทุนก็จะมาแล้ว”
ผู้ช่วยที่ไร้เดียงสาถูกต่อว่า
เขานึกถึงอีกเรื่องนึงที่ยังไม่ได้รายงาน ก้มหน้าและพูดว่า: “ฉันบอกไปหมดแล้ว แต่พวกเขาไม่อยากที่จะรอ อีกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องนี้ยังมีโครงการที่รอดำเนินการ ที่เรากำลังจะทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทอื่น ก็มีบางส่วนที่หันไปร่วมมือกับคนอื่นแล้ว”
กู้หงเซินได้ยินเช่นนี้ โกรธจนตัวสั่น
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป บริษัทไม่ช้าก็เร็วต้องล้มละลายแน่
เขาพยายามบังคับให้ตัวเองสงบ สูดหายใจเข้าลึกๆ ดูผู้ช่วยที่กำลังตัวเกรง พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น: “เธอให้คนไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา บอกกับเขาว่า โครงการที่อยู่กับเราจะไม่ยุ่งเหยิงแน่นอน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบริษัทกู้ อีกไม่กี่วันจะจัดการเรียบร้อย ให้พวกเขาไม่ต้องฟังข่าวลือข้างนอก”
ผู้ช่วยรับคำสั่ง และออกไปทำตามคำสั่ง
เมื่อเขาเดินจากไป กู้หงเซินก็ไม่ได้ทำตัวว่าง
เขาหยิบกุญแจรถลงไปข้างล่างกะว่าจะไปหากู้ฉางชิงด้วยตนเองเพื่อถามความคืบหน้า
ทางกู้ฉางชิงเองว่าจะไม่ไปตามนัดแล้ว
แต่กู้หงเซินได้วางแผนคาดการณ์ไว้แล้วว่าเธอจะไม่มา จึงทิ้งท้ายคำพูดที่รุนแรงเอาไว้ ทำให้กู้ฉางชิงไม่ออกมาพบเขาไม่ได้
“สองวันก่อนเรื่องที่ให้แกทำ จัดการไปถึงไหนแล้ว?”
กู้หงเซินเห็นกู้ฉางชิงก็รีบถามออกไปทันที
กู้ฉางชิงมองเขาที่มีสีหน้ากังวล แววตาเต็มไปด้วยความอดทน
“ฉันยังไม่ได้บอก”
เธอตอบไปตามตรง กู้หงเซินลืมตากว้างทำให้ยิ่งยากที่จะซ่อนความโกรธไว้
“แกยังไม่ได้บอก? ทำไมถึงไม่บอก? แกรู้ไหมว่าตอนนี้ที่บริษัทกำลังเดือดร้อนแค่ไหน?”
กู้ฉางชิงได้ยินน้ำเสียงที่รุนแรงของเขา เม้มปากและพูดว่า: “ฉันไม่รู้แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย อีกอย่างเรื่องนี้ฉันก็จะไม่ทำ เพราะแกเอ่ยปากขอครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ตอนนี้คนในตระกูลเฟิงเขารังเกียจฉันหมดแล้ว ถ้าแกยังอยากให้กู้ฉางซินกลับมาแล้วมีชีวิตที่ดีในบ้านตระกูลเฟิง ทางที่ดีคืออย่ามาบังคับฉัน”
กู้หงเซินโกรธกับคำพูดของเธอมาก
“เหอะ นี่แกกำลังขู่ฉันหรอ?”
เขาหัวเราะเยาะและมองกู้ฉางชิง สายตาที่เย็นชา
“อย่าคิดจะเอาฉางซินมาขู่ฉัน รู้เอาไว้ซะด้วยว่าฉางซินดีกว่าแกร้อยเท่า ฉันเชื่อว่าเธอสามารถจัดการกับความสัมพันธ์ในบ้านตระกูลเฟิงได้”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ถอนหายใจออกมา
ในขณะที่เธอกำลังจะพูดประชด คำพูดของกู้หงเซินก็ทำให้เธอโกรธขึ้นมา
“เรื่องครั้งนี้ ฉันไม่สนว่าแกจะมีข้ออ้างอะไร แกไม่ทำก็ต้องทำ หรือว่าแกไม่อยากให้แม่แกมีชีวิตแล้ว!”
“กู้หงเซิน!”
กู้ฉางชิงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ
กู้หงเซินไม่เคยเอาใส่ใจอยู่แล้ว พูดอย่างเย็นชาว่า: “แกควรรู้เอาไว้ ว่าแกไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรองกับฉัน แค่เพียงคำสั่งเดียว หน้าแม่แกต่อให้ชาตินี้อยากเจอก็จะไม่ได้เจออีก!”
กู้ฉางชิงโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว หมัดของเธอกำแน่น
“นี่แกยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?”
เธอถามด้วยความโกรธ แต่กู้หงเซินเบะปากเยาะเย้ยเธอ
กู้ฉางชิงโกรธมาก: “กู้หงเซิน แกมันคนชั่วร้าย เอาคนที่อ่อนแอมาเป็นเครื่องมือ ถึงยังไงเธอก็เคยเป็นอดีตภรรยาของแก”
“ก็เป็นแค่อดีตภรรยา”
กู้หงเซินพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม
สายตาที่ดูถูกเหล่านั้นทำให้กู้ฉางชิงนิ่งไปทั้งตัว ลมเย็นพลัดจากขาขึ้นไปลำตัว
ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้โหดร้ายและไม่ยุติธรรมแค่ไหน
จะว่าไปแล้ว เขาตั้งสถานะกับสองแม่ลูกไว้ตั้งนานแล้ว พวกเธอเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของเขา
ตั้งแต่เธอตกลงทำข้อสัญญาแล้ว ก็ทำให้เธอไม่สามารถจะต่อกรได้
เพราะว่าจุดอ่อนของเธอถูกผู้ชายคนนี้บีบกำเอาไว้
ดังนั้นกู้ฉางชิงจึงต้องยอมทำตามอีกครั้ง
สีหน้าของเธอดูแย่จนถึงบ้านตระกูลเฟิง นึกถึงเรื่องที่กู้หงเซินให้ทำ รู้สึกแย่จนทานอะไรไม่ลง ขังตัวเองไว้ในห้อง นั่งคิดว่าจะบอกกับเฟิงจิงเหยายังไงดี
ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็รู้อยู่แล้ว แค่เพียงเธอเอ่ยปากออกมามันต้องทำให้เฟิงจิงเหยาเบื่อแน่นอน
แต่ไม่บอกก็ไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เธอตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและกังวลมาก
ไม่รู้เป็นเพราะว่าวิตกกังวลมากไปหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะยังไม่ได้กินข้าว อาการปวดท้องเริ่มกำเริบ
ผู้ดูแลบ้านก็มาบอกว่าเฟิงจิงเหยากลับมาถึงบ้านแล้วพอดี
“ฉันรู้แล้ว”
เธอขมวดคิ้ว และอดทนไม่ให้อาการแสดงออกมาเดินไปที่ห้องรับแขก
ทันทีที่เห็นเฟิงจิงเหยาเดินเข้าบ้าน เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นและทักว่า: “กลับมาแล้วหรอ?”
เฟิงจิงเหยาเหลือบมองเธอด้วยสายตาเย็นชา พยักหน้าแต่ไม่ตอบและกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบน
กู้ฉางชิงเห็นเช่นนี้ รีบเดินตามไป กัดฟันและพูดว่า: “เออคือ เฟิงจิงเหยา มีเวลาให้ฉันหน่อยไหม ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
เฟิงจิงเหยาหยุกชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำนี้
เขาหันมาหรี่ตามองไปที่กู้ฉางชิง ดวงตาเต็มไปด้วยแสงที่ส่องผ่าน
“ไปห้องทำงาน”
พูดจบ เขาก็เดินนำไปที่ห้องทำงานเลย
กู้ฉางชิงมองดูเขาที่กำลังจากไป รีบเดินตามไปทันที
ในระหว่างทางเธอกังวลมาก แต่กลับไม่รู้ว่าเฟิงจิงเหยารู้แต่แรกแล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร
ถึงแม้วันนั้นเธอจะไม่ได้บอก แต่ในใจเขารู้ดีไม่ช้าก็เร็วเธอต้องมาหาเขาเรื่องนี้แน่นอน
เพราะคนที่จะช่วยบริษัทกู้ได้มีแค่เขาคนเดียว
ไม่นานนักก็ถึงที่ห้องทำงาน
เฟิงจิงเหยานั่งอยู่ในห้องทำงานและถาม: “พูดสิ มีเรื่องอะไร?”
กู้ฉางชิงเห็นเช่นนี้ ใจนิ่งพูดตรงๆว่า: ” เธอให้บริษัทกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อหมุนเวียนก่อนได้ไหม?”