เป็นเพราะฤทธิ์ของยา ทั้งสองคนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนรุ่งสางถึงหยุดได้
กู้ฉางชิงเจ็บปวดไปถึงกระดูก เหนื่อยล้าจนน้ำก็ไม่อาบ นอนอยู่บนเตียง สะสึมสะลึอและหลับไป
แต่ก่อนจะนอน เธออดไม่ได้ที่จะพรึมพรำด่าลู่ซือยวี่ในใจ
ต้องรู้ว่าปกติเฟิงจิงเหยาก็เป็นคนที่แข็งแรงอยู่แล้ว แค่ตื่นขึ้นมาก็คงไม่มีอาการอะไรแล้ว
ตอนที่เธอถูกวางยามันไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย เธอเกือบจะไม่มีชีวิตรอด
ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ ทั้งเหนื่อยแถมซวย
……
วันที่สอง กู้ฉางชิงตื่นอีกทีตอนค่ำ
สักพักเธอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับถูกรถทับ ทำให้เธอนอนอยู่บนเตียงไม่อยากขยับ
เฟิงจิงเหยานั่งอยู่ข้างๆ มองดูหญิงสาวที่ตื่นแล้วแต่ยังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง ขมวดคิ้ว
“ทำไม? ยังไม่คิดจะลุกหรอ?”
กู้ฉางชิงได้ยินเสียงถามขึ้นมา รีบหันไปมอง ก็เห็นเฟิงจิงเหยาที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนโซฟา
“ทำไมเธอยังอยู่อีก?”
เมื่อเธอพูดจบ ก็รู้สึกว่าใช้คำผิดไป รีบแก้และพูดใหม่: “เออ…..ฉันหมายถึงวันนี้ไม่ไปบริษัทหรอ?”
เฟิงจิงเหยามองเธอ หัวเราะและตอบ: “วันนี้พักผ่อน”
กู้ฉางชิงตอบอืมคำเดียว นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับ
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าแต่งตัว เดี๋ยวไปเจอเพื่อนกับฉันหน่อย”
กู้ฉางชิงนิ่งอึ่งแต่ก็พยักหน้าตอบตกลง
“ฉันรู้แล้ว”
พูดจบ เธอก็ลุกออกจากเตียง
ทันทีที่ขาเหยียบลงพื้น เข่าก็อ่อนแรงทำให้ล้มลงไปข้างหน้า
เธอคิดว่ากำลังจะล้มลงกับพื้น ปิดตาทั้งสองข้างพร้อมรับความเจ็บปวด
แต่ว่าก็ไม่ล้มลงไม่ได้รับความเจ็บปวด ตัวของเธอถูกมือทั้งสองข้างอุ้มไว้อย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณ……”
เธอถอนหายใจ และกล่าวขอบคุณกับผู้ชายตรงหน้า
เฟิงจิงเหยาค่อยๆปล่อยเธอและมองดูด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
“ไม่เป็นไร ไม่ว่ายังไงแล้วนี่ก็เป็นความรับผิดชอบของฉัน”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ เธอเข้าใจความหมายคำนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดแต่ท่าทีก็แสดงออก
ในขณะเดียวกัน ในหัวของเธอนึกถึงภาพเมื่อคืนอย่างพิถิพิถัน ทำให้แก้มเธอร้อนวาบขึ้นมา
“หน้าไม่อาย!”
เธอหันไปจิกเขาด้วยสายตาและหันกลับไปเดินเข้าห้องอาบน้ำ
เฟิงจิงเหยาดูเธอที่กำลังหนี หัวเราะออกมา
กู้ฉางชิงได้ยินเสียงหัวเราะ หน้าก็เริ่มร้อนแดงขึ้นเรื่อยๆ
เธอพิงตัวที่ประตู และตบหน้าตัวเองเบาๆ สักพักก็ได้สติกลับมา
เพราะว่าเมื่อกี้เฟิงจิงเหยาได้บอกไว้แล้วว่าจะออกไปพบคน ดังนั้นเธอจึงอาบน้ำและแต่งหน้าเล็กน้อย ให้ดูมีชีวิตชีวาหน่อย
เมื่อเธอแต่งตัวเสร็จ เฟิงจิงเหยากลับไม่อยู่ในห้องแล้ว
เธอก็ไม่ได้ร้อนรนหา แต่กลับเดินไปที่ห้องแต่งตัว หยิบจั๊มสูทยาวที่เข้ารูปสรีระพอดีมาใส่และเดินออกมาจากห้อง
ข้างล่าง เฟิงจิงเหยานั่งอยู่บนโซฟาและอ่านหนังสือพิมพ์
เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาเขาก็เงยหน้ามอง แววตาเต็มไปด้วยความทึ่ง
ก็เห็นกู้ฉางชิงใส่กระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนบางพริ้วเดินลงมา ถ้าเกิดตอนนี้เธอกำลังเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่กำลังบานมันคงสวยมาก
ลวดลายสีเงินสีทองทำให้กระโปรงยาวนี้ดูสดใสขึ้น ทำให้กู้ฉางชิงดูเป็นคนอ่อนโยนและสง่างาม
กู้ฉางชิงไม่ได้สังเกตเห็นถึงความแปลกใจในแววตาของเฟิงจิงเหยา เธอเดินมาถึงตรงหน้าเฟิงจิงเหยา ถามขึ้นว่า: “ฉันเสร็จแล้ว ไปกันหรือยัง?”
เฟิงจิงเหยาได้สติกลับมา ปกปิดความรู้สึกในแววตาไว้ พยักหน้าและตอบอย่างเย็นชา: “ไปกัน”
พูดจบ เขาก็ลุกเดินออกไปก่อน
เพราะเวลาที่พวกเขาออกจาบ้าน เป็นเวลามื้อเที่ยงพอดี พวกเขาจึงนัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
กู้ฉางชิงเดินตามเฟิงจิงเหยาอยู่ข้างหลัง ไม่นานนักพนักงานก็พอไปถึงที่ห้องอาหาร
เฟิงจิงเหยาเปิดประตูเข้าไปทันที กู้ฉางชิงอยู่ข้างหล้ง
เข้าไปถึงห้องอาหาร เธอก็เห็นว่ามีคนมาก่อนแล้ว บรรยากาศไม่เลว
ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนรอยยิ้ม ดูแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจ
นั่นก็คือฮั้วเฉิน
เขามองทั้งสองคน ยืนขึ้นและเดินมาจับมือทักทายเฟิงจิงเหยา ในขณะเดียวกันก็กระแทกไหล่แบบเพื่อนสนิท
“มาจนได้ ให้ฉันรอซะนาน”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มมุมปากและพูดติดตลกออกมาว่า: “ไม่รอก็ได้นิ”
ฮั้วเฉินเห็นเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน
“ไอ่ตัวแสบ พูดคำนี้ออกมาได้ไง ฉันกลับมาตั้งกี่วันแล้วแกเพิ่งจะมีเวลาว่างมาเจอฉัน ถ้าไม่รอพวกเราจะได้เจอกันอีกหรอ?”
เขาพูดจบ ต่อยที่หน้าอกเฟิงจิงเหยาเบาๆแสดงความไม่พอใจ
“ช่วงนี้ยุ่งตลอดเลย จะว่าไปแล้วก็มาหาแล้วนี่ไง”
เฟิงจิงเหยาไม่ได้ใส่ใจ หัวเราะและตอบ
กู้ฉางชิงเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว แววตามีความแปลกใจเล็กน้อย
เพราะเขารู้จักกับเฟิงจิงเหยามานานแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นเขาสนิทกับใครขนาดนี้มาก่อน
เมื่อเธอมองไปที่ฮั้วเฉินด้วยความสงสัย ฮั้วเฉินเองก็สังเกตเห็นเธอเช่นกัน
“คุณกู้”
เขาหัวเราะทักทาย เพราะว่าสนิทกับเฟิงจิงเหยาทำให้เขารู้ความเป็นอยู่ของกู้ฉางชิง
เฟิงจิงเหยาเห็นเช่นนี้ แนะนำให้กู้ฉางชิง: “นี่คือฮั้วเฉิน เพื่อนของฉัน”
กู้ฉางชิงพยักหน้าและตอบกลับอย่างเป็นกันเอง: “สวัสดีค่ะคุณฮั้ว”
เธอไม่รู้ว่าท่าทางของเธอทำให้ฮั้วเฉินอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง แต่เก็บอาการไว้
เฟิงจิงเหยารู้ว่าเขากำลังมองอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แค่ทักทายแล้วนั่งลง
ทันใดนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟ ทั้งสองก็เริ่มสนทนาเหมือนกัน
“กลับมารอบนี้ กะว่าจะอยู่นานแค่ไหน?”
“อืม……น่าจะประมาณหนึ่งเดือน ที่นี่มีการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาการ ฉันต้องไปเข้าร่วม
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า: “ก็ไม่เลวนะ”
ฮั้วเฉินเห็นเช่นนี้ ก็ถามถึงสถานการณ์เขาตอนนี้
เฟิงจิงเหยาหัวเราะและตอบ: “ก็งั้นๆแหละ แต่ก็ดีกว่าอยู่ต่างประเทศเยอะ”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรแต่ดูเหมือนเฟิงจิงเหยาจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ก็เลยเปลี่ยนเรื่อง และชวนเขาคุยเรื่องการเงิน
กู้ฉางชิงเห็นพวกเขาคุยกันอย่างเพลิดเพลินก็ไม่ได้ออกเสียงรบกวน นั่งเงียบๆและคีบอาหารให้เฟิงจิงเหยา
จะว่าไปแล้ว มื้ออาหารนี้ยกนิ้วขึ้นมานับได้เลยว่าเธอพูดไปแล้วกี่คำ สิ่งนี้ทำให้ฮั้วเฉินประหลาดใจ
ข่าวลือที่ได้ยินมากู้ฉางซินไม่ใช่แบบนี้!
ถึงแม้เขาจะประหลาดใจ แต่ก็เก็บไว้ไม่แสดงออก
หลังทานข้าวเสร็จ เฟิงจิงเหยายังมีเรื่องจะคุยกับฮั้วเฉิน จึงจะส่งกู้ฉางชิงกลับบ้านก่อน
กู้ฉางชิงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
แล้วทั้งสองคนก็ไปส่งเธอกลับบ้าน จากนั้นก็ไปที่บริษัท
ระหว่างทาง ฮั้วเฉินมองดูเฟิงจิงเหยาที่กำลังขับรถ อดกลั้นไม่ได้กับความในใจจึงถามออกมา: “ภรรยาแกคนนี้เปลี่ยนไปหรือว่าเพราะเจอฉันครั้งแรกอยากให้ฉันจดจำภาพที่น่าประทับใจ ถึงได้น่าเอ็นดูขนาดนี้?”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ เหลือบไปมองเขา รู้ว่าที่เขาถามมันหมายความว่าอะไร หัวเราะและตอบว่า: “ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนแก คิดว่าเธอปลอม แต่เมื่อค่อยๆเรียนรู้กันไป เธอก็มีนิสัยแบบนี้แหละ”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ และนึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยิน อดไม่ได้และพูดออกมา: “แต่ข่าวลือว่ากันว่าโหดมาก แต่แกพูดแบบนี้แล้วบวกกับที่ฉันเห็นเอง ฉันกล้าพูดเลย ภรรยาแกคนนี้ โครตน่ารักน่าเอ็นดูเลย!”