เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ ดวงตากระพริบด้วยความสงสัย
“ดูออกได้ยังไง?”
“ตามสัญชาตญาณความเซียนของฉัน”
ฮั้วเฉินหรี่ตาและตอบ
เคยบอกไปแล้วว่าเขาเป็นนักจิตวิทยา ยังเป็นนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศอีกด้วย
เป็นเพราะเห็นผู้ป่วยมากหน้าหลายตา ทำให้มีสายตาที่เฉียบคม มองคนได้แม่นยำมาก
“ถึงแม้ฉันจะเจอกับเธอครั้งแรก และเธอก็ไม่ค่อยพูด แต่สังเกตจากน้ำเสียงคำพูดและท่าทางของเธอแล้ว เธอเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นมากนะ ดูจากที่เธอคีบอาหารให้แกก็ดูออกแล้ว”
เขาพูดถึงตรงนี้ ก็ตั้งใจหันหน้าไปมองเฟิงจิงเหยา
เฟิงจิงเหยานึกย้อนไปภาพตอนที่อยู่ในห้องอาหาร ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเขาพูดขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกถึงทันที
เพราะเขาไม่ได้นึกถึงแค่เมื่อกี้ แต่ยังนึกถึงทุกวันที่อยู่ด้วยกัน
ทันใดนั้นเขาก็นึกคิดอย่างรอบคอบ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็น ทุกๆวันที่อยู่กับกู้ฉางซิน ผู้หญิงคนนี้มักจะอยู่เงียบๆและทำในสิ่งที่เขาต้องการ
ฮั้วเฉินเห็นว่าเขากำลังครุ่นคิด จึงพูดต่อว่า: “นอกจากจะใส่ใจคนอื่นแล้ว ฉันว่าเธอต้องเป็นคนเอาอกเอาใจเก่งแน่เลย และยังเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง”
เฟิงยิงเหยามองเขา พยักหน้าเบาๆและตอบ: “ใช่เลย เธอมีความคิดที่ดีมาก บางทีก็เกินการคาดเดาของฉัน”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ ยกนิ้วขึ้นและพูดว่า: “ฉันว่านะข่าวลือนี้มันฆ่าคนได้เลย ในข่าวลือว่าเธอเอาแต่ใจนิสัยไม่ดี เจ้าเล่ห์ แต่ตอนนี้ทั้งหมดที่พวกเราเห็นมันตรงกันข้ามเลย”
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้ว ถึงแม้ในใจลึกๆจะเชื่อตามคำพูดของเขา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงออกมา: “ ถ้าหากเธอเสแสร้งล่ะ?”
“เสแสร้ง?”
ฮั้วเฉินหรี่ตา ส่ายหัวและพูดว่า: “ต่อให้คนคนหนึ่งจะเสแสร้งยังไง เธอเป็นแบบไหนมันก็จะเป็นแบบนั้น ถึงจะแสร้งได้เนียนแค่ไหน มันก็จะมีวันที่หลุดออกมาบ้าง”
เขาพูดจบ มองไปที่เฟิงจิงเหยาและพูดว่า: “แกเคยสังเกตเห็นความผิดปกติไหม?”
เฟิงจิงเหยาลังเล
“นอกจากจะแตกต่างจากข่าวลือแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย”
ฮั้วเฉินมั่นใจ
“ถ้าอย่างงั้นเธอไม่ใช่เสแสร้งแน่นอน แต่นี้เป็นนิสัยของเธอจริงๆ”
เขาพูดจบ ก็นึกอะไรสนุกๆขึ้นมา พูดขำๆขึ้น: “จะว่าไปแล้ว เวลาฉันอยู่ข้างๆเธอฉันเห็นข้อดีที่สำคัญอย่างหนึ่ง”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะถาม
“ข้อดีอะไร?”
ฮั้วเฉินมองเขา หัวเราะและตอบว่า: “ก็เรื่องที่แกพูดกับฉันก่อนหน้านี้ มีพลังที่สามารถทำให้คนเงียบลงได้โดยไม่ต้องพูดอะไร”
เขาจับคางและพูดต่อ: “แสดงว่าคนที่แกถามฉันก็เป็นเธองั้นหรอ?”
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า
“ใช่แล้วเธอเอง”
ฮั้วเฉินพยักหน้า: “แบบนี้ก็เห็นได้ชัดเลย ฉันคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่เธอดูแลตอนที่แกป่วยไม่สบายได้ทั้งอาทิตย์”
เขาพูดแค่สองสามคำก็อธิบายสิ่งที่เฟิงจิงเหยาคิดไม่ออกได้ทันที สายตาเฉียบมาก
เพราะว่าเขาเดาคนได้แม่นยำทุกครั้ง แค่แวบเดียวก็รู้ถึงข้างใน เฟิงจิงเหยาจึงเชื่อเขา
เฟิงจิงเหยาเงียบ ไม่รู้จะพูดว่าอะไร
เพราะว่าที่ฮั้วเฉินพูดมาทั้งหมด เขาเองก็รู้มาแต่แรกแล้ว
ฮั้วเฉินเห็นเขาไม่พูดก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดจิกกัดออกมา
“จะว่าไปแล้ว แกนี่มันโชคดีจริงๆ คนแสนดีน่าเอ็นดูแบบนี้หายากมาก แต่แกกลับเจอแล้วคนนึง”
เฟิงจิงเหยาได้ยินเช่นนี้ก็แอบดีใจ
ตั้งแต่’ป่วย’ เขาก็เรียนจิตวิทยาด้วยตัวเองเป็นเวลาหลายปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขากับกู้ฉางชิงก็ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน รู้ว่าตัวเองอยู่สถานะไหน
“ใช่ ฉันโชคดีมาก”
เขาหัวเราะและพูดออกมา จากนั้นก็คุยถึงเรื่องราวตอนกลับจากต่างประเทศ
“ตั้งแต่ฉันอยู่กับเธอมา กลัวความมืดก็น้อยลงกว่าเมื่อก่อน มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“ห้ะ? เปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?”
เฟิงจิงเหยาเหลือบมองเขาและตอบว่า: “แกเองก็รู้ เมื่อก่อนแค่อยู่ในที่มืดฉันก็ทนไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะตอนกลางคืน ออกไปไหนไม่ได้เลย แต่หลังจากกลับมาอยู่กับเธอ ออกไปข้างนอกตอนกลางคืนแค่มีแสงสว่างจากไฟก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ความมืดไม่ค่อยมีผลกระทบต่อฉันละ”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“จากที่แกเล่าแล้ว อาการของแกใช้เวลาไม่นานก็หายเองอย่างงั้นหรอ”
เฟิงจิงเหยาหัวเราะและส่ายหัว
“แกคิดมากไปแล้ว!”
ฮั้วเฉินมองเขาด้วยความงุนงง: “แกพูดว่าอะไรนะ?”
เฟิงจิงเหยาเหลือบตามอง หรี่ตาและพูดว่า: “ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนแก คิดว่าอาการมันหายเอง แต่ฉันก็ไม่แน่ใจ ถึงแม้เธอจะอยู่ข้างๆฉัน แต่เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้น”
ฮั้วเฉินได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเปลี่ยนไป
“ถ้าอย่างงั้นเธอก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อแกสิ”
เฟิงจิงเหยาพยักหน้า: “ถูกต้อง”
สองคำที่เขาพูดออกมาคาดเดาไม่ได้และเคร่งขรึม
ฮั้วเฉินเห็นเช่นนี้ รู้ได้เลยว่าเขามีอะไรในใจ
เพราะเขารู้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่ชอบสิ่งที่อยู่เหนือการควบคลุมของเขา หรือให้คนอื่นมีผลกับชีวิตของเขา
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการก็จะหลีกเลี่ยงได้
เขาคิดถึงตรงนี้ ก็ถามออกมาว่า: “แกก็อย่าคิดมาก มีคนช่วยบรรเทาอาการของแกได้ ดีกว่าต้องพึ่งยาเป็นเวลานาน ถึงแม้มันจะดีต่ออาการในตอนนั้นแต่มันก็ไม่ดีต่อร่างกาย”
เฟิงจิงเหยาเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด พยักหน้าแสดงความรับรู้แล้ว
และแล้วระหว่างสนทนาทั้งสองก็มาถึงบริษัท
……
ในขณะเดียวกันทางกู้ฉางชิง ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ผู้ดูแลบ้านก็มาบอกเธอว่านายท่านตามตัวเธอ
“ฉันรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ เธอก็เดินไปที่บ้านใหญ่ทันที
เมื่อเธอถึงบ้านใหญ่ ก็เห็นนายท่านกำลังชงชาอยู่ที่สวนดอกไม้
เขาได้ยินเสียงฝีเท้า จ้องมองกู้ฉางชิงที่กำลังเดินมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฉางซิน”
เขาทักทาย กู้ฉางชิงรีบเร่งฝีเท้าเดินไปหา
“คุณปู่”
เรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
นายท่านมองดูชุดที่เธอใส่ ขำและถามว่า: “กำลังจะออกไปข้างนอกหรอ?”
“ป่าวค่ะ เพิ่งกลับมา ตอนเที่ยงออกไปพบเพื่อนกับเฟิงจิงเหยา
นายท่านพยักหน้า: “ถ้าอย่างงั้นเธอคงไม่ถือสาใช่ไหมถ้าจะมาคุยกับคนแก่อย่างฉัน”
เขาเสแสร้งถามและมองกู้ฉางชิง
“คุณปู่พูดอะไรคะเนี่ย? ฉันจะถือสาได้ยังไงคะ”
กู้ฉางชิงพูดด้วยความโกรธ พร้อมไปนั่งข้างๆนายท่าน
เธอเห็นอุปกรณ์ชงชาวางอยู่บนโต๊ะ เธอก็ลงมือชงชาให้นายท่าน
เทคนิคที่มีทักษะในการชงชาทำให้นายท่านพยักหน้า
“ยัยตัวแสบแกนี่ปิดบังเนียนจริงๆเลยนะ ทั้งๆที่ชงชาเป็นแต่ครั้งก่อนแกล้งว่าไม่เป็น”
กู้ฉางชิงหัวเราะวางถ้วยชาลง และตอบว่า: “ก็ตอนนั้นมีคุณฉินอยู่ด้วย ฉันกลัวว่าจะชงไม่ดีแล้วทำให้คุณปู่ต้องขายหน้า”
“จะขายหน้าได้ยังไง ฉันดูแล้วเธอชงเก่งไม่แพ้เขาเลย”
นายท่านแกล้งทำหน้าดุและพูดว่า: “ต่อไปนี้ห้ามมาล้อเล่นกับปู่แบบนี้แล้วนะ”
กู้ฉางชิงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงตอบตกลงและเปลี่ยนเรื่องถามว่า: “ว่าแต่ คุณปู่เรียกหนูมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
นายท่านได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลง
“ฉันได้ยินมาว่าเมื่อคืนพวกเธอทางนั้นเสียงดังกันมาก”