กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ นิ่งอึ้งทันที
เธอไม่คิดว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูนายท่าน
เธอคิดถึงตรงนี้ มองนายท่านด้วยความลังเล ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร
กำลังหลอกถามอยู่หรือเปล่า?
เธอคิดแล้วคิดอีก จึงบอกไปว่า: “ขออภัยด้วยนะคะ แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆไม่คิดว่าจะไปรบกวนถึงคุณปู่”
นายท่านขมวดคิ้ว แววตาบอกไม่ใช่แน่นอน
“นี่เรียกว่าเรื่องเล็กได้หรอ? เสียงดังมาถึงบ้านใหญ่และที่ฉันเลย”
กู้ฉางชิงเม้มริมฝีปากของเธอและเงียบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
นายท่านเฟิงมองเธอและไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เขาตบมือกู้ฉางชิงที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ พร้อมบอก: “ยัยตัวแสบอย่าคิดฟุ้งซ่าน ฉันไม่ได้จะมาตำหนิซะหน่อย”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ ตกตะลึงไปชั่วขณะ มองไปที่นายท่านด้วยความประหลาดใจ แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
นายท่านเฟิงหัวเราะและพูดว่า: “เธอนี่นะ ทำให้ฉันไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ ทั้งๆคนที่น้อยใจก็คือเธอ ยังจะมาขอโทษฉันทำไม?”
กู้ฉางชิงได้ยินแล้ว กำลังอ้าปากจะพูดอะไรแต่ยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกนายท่านขัดจังหวะไว้
“เธอฟังฉันพูดให้จบก่อน”
กู้ฉางชิงเห็นเช่นนี้ ทำได้แค่กลืนคำที่อยากจะพูดไว้ก่อน
“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้เธอไม่ใช่คนผิด ที่ฉันเรียกเธอมาก็แค่กลัวว่าเธอจะน้อยใจแล้วเก็บไว้คนเดียว”
นายท่านเฟิงพูดจบ จ้องมองกู้ฉางชิงอย่างเอ็นดู
กู้ฉางชิงซึ้งใจ ยิ้มและตอบว่า: “คุณปู่วางใจได้ค่ะ ฉันไม่เป็นไร”
ในขณะที่พูด เห็นแววตาของนายท่านไม่เชื่อ จึงพูดต่อว่า: “คุณปู่เชื่อฉันเถอะค่ะ ฉันไม่เคยคิดจะน้อยใจเลย และเรื่องนี้ ฉันเชื่อใจจิงเหยา เขาไม่ใช่คนแบบนั้น”
นายท่านเฟิงได้ยินเช่นนี้ มองหน้าเธอเห็นสีหน้าที่ไม่มีอะไรจริงๆ จึงโล่งใจ
แถมยังนึกถึงคำพูดของกู้ฉางชิงเมื่อกี้ อดไม่ได้ที่จะขำออกมา
“พวกเธอเชื่อใจกันก็ดีแล้ว”
เขาพูดจบ อดไม่ได้ที่นึกถึงคุณนายเฟิง ถอนหายใจและพูด: “แม่ยายเธอครั้งนี้ทำเกินไป แต่ก็มีข้อแก้ตัวตลอด”
กู้ฉางชิงเม้มริมฝีปากและไม่พูอะไร เธอเข้าใจความหมายของนายท่าน บอกให้เธออย่าไปใส่ใจ
ที่ผ่านมาเธอเห็นจนชินแล้ว ตั้งแต่มาก็ไม่เคยคาดหวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใส่ใจ
นายท่านเฟิงไม่รู้แถมยังพูดต่อ
“แม่ยายของเธออยู่ในสังคมที่เหนือกว่ามาตลอด เรื่องแนวคิดความเป็นธรรมแล้วเป็นหนักกว่าคนแก่อย่างฉันอีก ฉันรู้ สมองความคิดของเธอไม่เปลี่ยนสักที แต่ในอนาคตพวกเธอก็ต้องอยู่ร่วมช่วยกัน ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ อย่าทะเลาะให้เป็นเรื่องใหญ่นัก”
กู้ฉางชิงฟังจบก็เข้าใจความหมายของนายท่านทันที
ไม่อยากให้เดือดร้อนกันไปทั้งบ้าน
สักพักเธอก็รู้สึกเสียใจลึกๆอยู่ในใจ
เพราะเธอคิดว่าคุณปู่เป็นคนที่เข้าใจที่สุดในบ้านเฟิงและดีกับเธอที่สุด
แต่มาวันนี้ยังไงก็คือบ้านเฟิง เธอมันไร้เดียงสาจริงๆ
เธอคิดในใจอย่างเศร้าๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
“ฉันรู้แล้ว ต่อไปนี้จะพยายามหลีกเลี่ยงจากแม่”
นายท่านเฟิงเห็นว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองขอ ไม่มีข้อต่อรองแม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
เขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ลำเอียง เวลากู้ฉางชิงทำอะไรให้เขาก็เห็นอยู่กับตา
คิดถึงเช่นนี้ เขากวักมือเรียกผู้ดูบ้านให้มาหา พูดกระซิบข้างๆหูเขาเบาๆ
ผู้ดูแลบ้านรับคำสั่งและจากไป
กู้ฉางชิงมองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถาม แต่กลับเทชาแก้วใหม่ให้กับนายท่าน
สักพัก ผู้ดูแลบ้านก็กลับมาพร้อมกับกล่องหนึ่งใบที่อยู่ในมือ
นายท่านเอากล่องมาเปิดออกและยื่นให้กู้ฉางชิง
ก็เห็นแหวนหยกสีดำวางอยู่ในกล่อง สไตล์เรียบง่ายและงดงาม เรืองแสงสวยงามใต้แสงอาทิตย์
กู้ฉางชิงมองไปที่แหวนนี่เป็นแหวนของผู้ชาย ถามนายท่านด้วยความสงสัย
“คุณปู่ นี่มัน?”
“อันนี้ฉันให้เธอ ถือว่าเป็นของตอบแทน เธอรับเอาไว้สิ”
นายท่านพูดจบ ก็ยื่นให้กู้ฉางชิง
กู้ฉางชิงไม่ขยับ สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“เออ……คุณปู่เก็บไว้เถอะค่ะ ฉันเก็บแหวนผู้ชายไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
เธอยื่นแหวนคืนพร้อมปฏิเสธ
นายท่านเฟิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ
“ฉันรู้ว่าเป็นของผู้ชาย แต่เธออย่าดูถูกของเล็กๆสิ่งนี้ มันมีค่าเทียบเท่าตระกูลเฟิงทั้งตระกูลเลย”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ แววตาเต็มไปด้วยความอึ้ง มองไปที่แหวนด้วยความตกใจ
นายท่านเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ยื่นแหวนกลับให้เธอ
“แต่ว่าค่าของสิ่งนี้ฉันยังบอกไม่ได้ว่าเอาไว้ทำอะไร แต่เธอต้องจำไว้ สิ่งนี้ต้องดูแลระวังดีๆ อย่าให้คนขโมยไปได้…..สิ่งนี้มีค่ามหาศาล!”
กู้ฉางชิงได้ยินเช่นนี้ มองนายท่านเฟิงด้วยความแปลกใจ
ยิ่งรู้สึกว่ามีค่าขนาดนี้ ยิ่งรับไว้ไม่ได้
“คุณปู่คะความหวังดีของคุณปู่ฉันรับไว้แล้ว แต่ของสิ่งที่ช่างมันเถอะค่ะ ฉัน……”
เธอยังไม่ทันพูดคำปฏิเสธหมด นายท่านเฟิงหมดความอดทนจึงวางกล่องแหวนไว้ในมือเธอและพูดว่า
“ฉันให้ก็รับเอาไว้”
พูดจบ ยังทำท่าทีว่าถ้าไม่รับจะโกรธ
กู้ฉางชิงทำอะไรไม่ได้ จึงรับมันเอาไว้
“โอเค ถ้าอย่างงั้นฉันช่วยคุณปู่เก็บรักษาไว้ชั่วคราว”
เธอไม่ได้บอกว่าจะรับเอาไว้ พูดแค่ว่าช่วยเก็บรักษา
นายท่านเฟิงเองก็ฟังออก แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ถึงยังไงของสิ่งนี้ก็ให้ไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเอาคืนถึงเธอจะพูดแบบนี้ก็ตาม
กู้ฉางชิงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็คงไม่รับของมีค่าขนาดนี้ไว้
เธอเก็บแหวนไว้ในกระเป๋า และเทชาแก้วใหม่ให้กับนายท่าน พูดคุยเรื่องอื่นขึ้นมา อยู่คุยกับนายท่านไปสักพัก
แต่ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน นายท่านค่อยๆอ่อนล้า เธอจึงพยุงนายท่านเข้าบ้านไปพักผ่อน ถึงจะออกจากบ้านใหญ่ไป
……
ในขณะเดียวกัน ที่บ้านลู่
คุณแม่ลู่เองก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนลู่ซือยวี่ไปก่อเรื่องอะไรไว้ที่บ้านเฟิง โมโหออกมา
“ฉันว่าแกคงจะบ้าไปแล้ว เรื่องที่น่าอายแบบนี้แกทำลงไปได้ยังไง!”
เธอหน้าบึ้งตึงกัดฟันพูดกับลู่ซือยวี่
ลู่ซือยวี่ไม่พูดอะไร
คุณแม่ลู่ยิ่งโมโห: “แกจะให้คนในตระกูลเฟิงมองแกยังไง มองตระกูลลู่ว่ายังไง ถ้าเกิดมันหลุดออกไป ชื่อเสียงของแกยังจะเอาอยู่ไหม? อยากจะแต่งงานอยู่หรือเปล่า?”
เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
ลู่ซือยวี่เม้มริมฝีปาก: “ตระกูลเฟิงทางนั้นมีคุณป้าหมิงอยู่ มันไม่หลุดออกไปหรอก ไม่มีผลต่อฉันแน่นอน”
คุณแม่ลู่ไม่มั่นใจและพูดว่า: “แกแน่ใจได้ยังไง มีคนเห็นมากมายขนาดนั้น เธอจะคุมอยู่ได้ยังไง?”
เธอพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธคุณนายเฟิง: “ต่อไปนี้แกไปบ้านตระกูลเฟิงให้น้อยๆหน่อย ดูว่าเธอจะมีความคิดไม่ดีอะไรอีก”
ลู่ซือยวี่รู้ว่าแม่กำลังโมโหจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพูด: “แม่ เรื่องนี้อย่าโทษคุณป้าหมิง ถ้าจะโทษให้โทษคนแบบกู้ฉางชิง ที่ทำลายสิ่งดีๆของฉันไปหมด!”
แม่ลู่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “ไม่ว่าจะเป็นใคร ยังไงต่อไปนี้แกก็ตัดใจจากเฟิงจิงเหยาซะ เมือคืนแกเสนอตัวขนาดนั้นเขายังไม่เอา ดูก็รู้ว่าเขาไม่เคยรักแกเลย”
ลู่ซือยวี่ได้ยินเช่นนี้ โต้เถียงทันทีโดยไม่คิด
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ที่พี่จิงเหยาจะไม่รู้สึกกับฉัน!”
เธอพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ: “แม่ อย่ามาพูดอะไรให้ยอมแพ้เลย ชาตินี้ฉันจะเอาแค่พี่จิงเหยาเท่านั้น!”