กู้ฉางฉิงมองเธออย่างงุนงง ไม่นานก็พบว่าสายตาของเธอจ้องเขม็งไปที่เฟิงจิงเหยาอยู่ตลอด ทันทีก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังรอเฟิงจิงเหยาอยู่
เวลานี้ในใจของเธอก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
ยังไม่รอให้เธอได้ตอบสนอง ทันใดนั้นก็พบว่าซูตี้ดึงคอเสื้อของตนเองให้ต่ำลง แล้วก็เดินมุ่งตรงไปยังเฟิงจิงเหยาที่ออกมา
“สุดหล่อ คืนนี้ว่างไหม ทานข้าวด้วยกันสักมื้อไหม อีกทั้งฉันเพิ่งมา ไม่คุ้นชินกับคนที่นี่ ยังไม่มีเพื่อน”
เธอพูดจบ ก็ไม่ลืมส่งสายตาหวานกับเฟิงจิงเหยา
แต่ทว่าเฟิงจิงเหยาไม่สะทกสะท้าน มองเธอด้วยสายตาเย็นชา
“บริษัทมีคนตั้งมากมาย ฉันจะจัดคนให้พาคุณไป”
เขากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา พูดจบก็ไม่สนใจใบหน้าซูตี้ที่หยุดชะงัก ก้าวเท้าออกไป
บทสนทนาของคนทั้งสองมีคนไม่น้อยที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบวิพากย์วิจารณ์กัน
“ผู้หญิงคนนี้ป่วยหรือไง แม้แต่ประธานเฟิงก็กล้าเล่น คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ”
“ใช่ ทำเหมือนกับผู้หญิงที่ยืนข้างถนน ราวกับว่าไม่เคยพบผู้ชายมาหลายภพหลายชาติ”
“คนแบบนี้ดูแล้วก็คือคนสำมะเลเทเมาคนนึง คุณคุณไม่ได้ดูเมื่อกี้เธอดึงคอเสื้อ คิดว่าเปิดอกแล้วจะสามารถเล่นงานประธานเฟิงของพวกเราได้ ช่างตื้นเขินเกินไปจริงๆ”
กู้ฉางฉิงฟังคำวิพากย์วิจารณ์ของพวกเขาแล้ว ทันทีก็หึงและเป็นทุกข์เล็กน้อย
ทางด้านซูตี้ไม่ได้ใส่ใจกับคำวิพากย์วิจารณ์เหล่านี้โดยสิ้นเชิง กวาดสายตาอย่างไม่ใส่ใจมองไปรอบๆ เห็นกู้ฉางฉิงที่ยังไม่ไป เดินเข้าไปอย่างไม่ทำใจยอมรับ
“นี่ ตกลงผู้ชายคนเมื่อกี้นั้นเป็นใครกัน?”
กู้ฉางฉิงเห็นว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบ จึงทำได้เพียงตอบรับ
“นั่นคือประธานบริษัทเฟิงซื่อกรุ๊ปของพวกเรา”
พูดจบ เธอก็คิดที่จะออกไป แต่ทันทีซูตี้ก็ดึงเธอมาไต่ถาม
“งั้นปกติเขาก็ทำงานที่นี่หรอ?”
กู้ฉางฉิงขมวดคิ้ว อดทนต่อความหงุดหงิดแล้วตอบกลับว่า: “ปกติเขาไม่ได้ทำงานที่นี่ เดือนนึงมาครั้งนึง”
พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอเห็นถึงรังสีการล่าในสายตาซูตี้ กล่าวโจมตีว่า: “ถ้าคุณมีความคิด ฉันจะแนะนำคุณว่าทางที่ดีเลิกคิดไปซะ เขาแต่งงานแล้ว!”
ซูตี้ฟังแล้ว ก็ตกตะลึง
นี่เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง
เพียงแต่เธอไม่ได้สนใจ: นี่เป็นอะไรล่ะ ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้เขาแต่งงานกับฉันซะหน่อย”
เธอพูดพลาง เอ่ยปากด้วยสีหน้าบ้าตัณหา: “ฉันยังไม่เคยเจอผู้ชายที่หล่อขนาดนี้เลย ถ้าสามารถทำให้เขามาเป็นแฟนฉันได้ก็คงไม่เลวเลย”
กู้ฉางฉิงที่เดิมทีคิดว่าจะสามารถกำจัดความคิดล่าเหยื่อในใจเธอได้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้ประโยคแบบนี้มา พูดไม่ออกฉับพลัน สีหน้าไม่ยากจะเชื่อ
ตกลงนี่คือคนประเภทไหนกัน?
เธอหลุดปากกล่าวออกมาว่า: “คุณชอบมู่จิ่นไม่ใช่หรอ?”
หลังจากเธอหลุดปากพูดออกมา ซูตี้ก็ตกตะลึง
“คุณรู้ได้ยังไง?”
กู้ฉางฉิงเห็นเช่นนี้ ในสายตาก็ปกปิดความขัดเคืองไว้ไม่อยู่
เธอหลุดปากพูดออกมาได้ยังไงกัน?
ซูตี้ไม่ได้รับการตอบกลับของเธอ ก็ไม่ได้ใส่ใจ กลับสู่สภาพเดิม ยิ้มกล่าวอย่างคนที่ไม่คิดอะไรมาก: “ไม่ผิด ฉันชอบมู่จิ่น เพียงแต่เขาก็เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาคนที่ฉันชอบ ฉันแทบจะหนึ่งเดือนเปลี่ยนเป็นหนึ่งคน”
กู้ฉางฉิงจ้องมองตาเบิกโพรง ไม่อยากจะเชื่อจริงๆเลยว่าตนเองจะได้ฟังคำนี้
กลับกันท่าทีของเธอนี้ ทำให้ซูตี้ขำขัน
“ทำไม? รู้สึกตกใจมากเลยหรอ? จริงๆแล้วนี่ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ทุกคนก็เล่นสนุกกันเป็นครั้งคราง จริงจังขนาดนั้นไปทำไม?”
กู้ฉางฉิงฟังคำพูดนี้ของเธอจบ รู้สึกเพียงว่าทัศนคติต่อคุณค่า ต่อชีวิต ต่อโลกของตนเองทีมีมาโดยตลอดได้ถูกล้มล้าง
เพียงแต่กลับมานึกถึงว่าซูตี้นี้ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเธอจึงมีความคิดแบบนี้
เพียงแต่เข้าใจก็ส่วนที่เข้าใจ ไม่ได้หมายถึงว่าเธอเห็นด้วย เพียงแต่เธอไม่ได้คิดที่จะพูดเรื่องเหล่านี้กับซูตี้ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่ฉันหวังว่าคุณจะแยกเรื่องส่วนรวมกับส่วนตัวได้ ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน หวังว่าคุณจะไม่ทำเรื่องส่วนตัวในเวลาทำงานนะ”
พูดจบ เธอก็หันเดินออกไป
ซูตี้มองภาพด้านหลังเธอออกไป เบ้ปาก แล้วก็ตามไปแผนกออกแบบ
หลังจากนั้น เธอก็เผยให้เห็นทางด้านงานของเธอ ฝีมือที่ประณีตอย่างมาก
เพียงแต่เกี่ยวกับการทำงาน เธอและกู้ฉางฉิงมักมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในการออกแบบ
“ฉันบอกแล้ว ส่วนประกอบที่เป็นที่นิยม ก็ใช้ความนิยมในขณะนี้ ไม่ต้องไปเพิ่มของที่เป็นรูปแบบโบราณอะไรเข้าไป แบบนี้ดูแล้วก็ไม่ได้เข้ากัน”
เธอยืนหยัดที่ต้องการใช้ความคิดของตนเอง ไม่มีประโยชน์ที่กู้ฉางฉิงจะหักล้างแบบแผนที่เสนอขึ้นมา
กู้ฉางฉิงมิ่ยากจะโต้เถียงกับเธอ กล่าวตอบรับว่า: “ได้ ฉันจะปรับสิ่งเหล่านี้ออก”
ซูตี้ได้ยิน นี่จึงไม่ได้พูดอะไร หันไปดูต้นฉบับอื่นๆ ก็พบว่ามีปัญหาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ปกติก็ล้วนชี้แนะออกมาได้ แต่พอพูดแล้วก็จะไม่เข้าหูอยู่บ้าง
ชวี่ชิงหยุนและมู่ฉิงคงมองกู้ฉางฉิงอย่างอดทนอดกลั้น นี่จึงไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา จึงไปปรับแก้ต้นฉบับอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งปะทุขึ้นอย่างแท้จริงคือในช่วงบ่าย เมื่อซูตี้หยิบต้นฉบับที่แก้ไขแล้วขึ้นมาอ่าน
“นี่มันแก้ไขขยะอะไรเนี่ย ของเหล่านี้จะออกมาเป็นเสื้อผ้าหรอ?”
เธอโยนต้นฉบับในมือทิ้ง ตำหนิด้วยใบหน้ารังเกียจ
ชวี่ชิงหยุนและมู่ฉิงคงมองต้นฉบับที่ตนเองแก้ไขถูกคนโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างทุกข์ใจ ทันทีก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา
บวกกับความโมโกเก็บกดจากเมื่อเช้า ก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นโดยตรง: “ทำไมทำออกมา คุณไม่มีตามองหรอ?”
ตั้งแต่ชวี่ชิงหยุนมีชื่อเสียง ยังไม่เคยโมโหแบบนี้มาก่อนเลย เหน็บแนมกลับไปโดยตรงว่า: “เห๊อะ ฉันลืมไป ตาของคุณซูอยู่ที่หน้าอก ไม่เช่นนั้นจะคิดใช้หน้าอกไปสานสัมพันธ์ท่านประธานของพวกเราได้ยังไง”
ซูตี้ได้ยินเธอใช้เรื่องเมื่อเช้าทำให้ตนเองอับอายขายหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สนใจ แต่นี่ก็เป็นการโจมตีดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังพวกเธอกำลังพูดคุยกับในเวลางาน ทันใด เธอก็ตอบโต้กลับไปทันที
“ฉันคิดจะสานสัมพันธ์ยังไงนั่นก็เป็นเรื่องฉัน อย่างน้อยฉันก็ยังรับรองความสามารถในการทำงานของฉันได้ แต่คุณล่ะ แม้แต่แก้ไข้ต้นฉบับก็ทำไม่ได้ และยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาวิพากย์วิจารณ์อย่างเต็มที่ตรงหน้าฉัน?”
เธอพูดพลาง ก็ไม่สนใจว่าสีหน้าชวี่ชิงหยุนจะไม่น่าดูยังไง จึงหันการโจมตีไปยังกู้ฉางฉิงโดยตรง
“ถ้าบริษัทที่ล้ำค่าหยิบผลงานขยะแบบนี้ออกมา เช่นนั้นฉันคิดว่าความร่วมมือของพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป!”
กู้ฉางฉิงฟังเธอพูดคำว่าขยะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็โมโหอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำได้ไม่ดีพอ แต่ก็ไม่ใช่คนที่เสื่อมเสียแบบนั้น!
“คุณซู ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องนี้จากมุมมองของมืออาชีพที่ยุติธรรมหรือด้วยความคับข้องใจส่วนตัว ก่อนอื่น ต้นฉบับทั้งหมดของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงตามที่คุณบอก ตอนนี้คุณบอกฉันว่านี่เป็นขยะ ฉันต้องสงสัยว่าคุณจงใจหาข้อผิดพลาด ประการที่สอง แม้ว่าการออกแบบของเราจะไม่มีค่าเพียงพอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโจมตีดูถูกเหยียดหยามใช่ไหม?
เธอพูดพลาง ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กวาดสายตามองชวี่ชิงหยุนและมู่ฉิงคงที่สีหน้าเคร่งขรึม
“ใช่ ฉันยอมรับ ท่าทีที่ไม่ดีของพวกเธอทั้งสองคนเมื่อกี้นี้ แต่นี่ก็เป็นคุณซูยั่วยุขึ้นมาก่อน ถ้าหากคุณซูไม่พอใจ ฉันก็ต้องขอโทษคุณแทนพวกเขาด้วย เพียงแต่พวกเธอสองคนก็เป็นหัวหน้านักออกแบบของบริษัทพวกเรา สร้างสรรค์ความสำเร็จให้แก่บริษัทไม่น้อย คำพูดเมื่อกี้ของคุณซูเป็นการฉีกหน้านักออกแบบของฉันอย่างรุนแรง ฉันต้องขอให้คุณซูกล่าวขอโทษไปยังพวกเธอทั้งสองคนในทันที!”