กู้ฉางชิงได้ฟังคำนี้ หยุดทายาไปชั่วขณะ ตกใจเล็กน้อย
วันเกิดของเธอในปีที่แล้วๆมา ก็อยู่ด้วยกันกับแม่
ตอนนั้น ทุกๆครั้งในวันเกิด แม่มักจะทำกับข้าวไว้บนโต๊ะ ซื้อเค้กหนึ่งก้อน เพื่อเฉลิมฉลองให้เธอ
แต่ว่าในปีนี้……เกรงว่าจะไม่ได้แล้ว
เธอนึกถึงตรงนี้ แววตาก็หมดหวัง ก็เลยไม่อยากได้อะไรในวันเกิด
อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะเฟิงจิงเหยาเอ่ยถึง เธอก็แทบจะจำวันเกิดของตนเองไม่ได้แล้ว
อีกทั้งตอนนี้เธอเป็นกู้ฉางซิน เธอก็ไม่รู้ว่าวันเกิดของกู้ฉางซินเป็นอย่างไร?
อาจจัดงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่โต หรือออกไปเที่ยวกินดื่มกับเพื่อน?
เธอเดาไม่ถูก ก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร
ท้ายที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยความลับ เธอก็เลยเงียบไปเลย
เฟิงจิงเหยาขมวดคิ้ว : “ทำไม ยังคิดไม่ออกหรอ?”
กู้ฉางฉิงตกใจเล็กน้อย ทันทีก็พยักหน้าพูดว่า : “ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง ถึงเวลาขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็พอแล้ว”
เธอพูดจบ ก็ขึ้นบนเตียงทำท่าทีจะพักผ่อน
เฟิงจิงเหยามองไปภาพด้านหลังเธอที่นอนตะแคงอยู่ ก็หวนคิดขึ้นมา
จากการตรวจสอบข้อมูลก่อนหน้า งานเลี้ยงวันเกิดของกู้ฉางซินในทุกๆปี ความต้องการสูงกว่าอะไรทั้งหมด
ก่อนงานเลี้ยง ก็ออกไปดื่มกับพวกเพื่อนๆตลอดทั้งคืน
แต่เมื่อกี้เขามองเห็นถึงความไม่ชัดเจนของผู้หญิงคนนี้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เขาขมวดคิ้วแล้วคิด ทว่าหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เลิกคิด เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าบ้วนปาก
……
วันต่อมา เพราะว่าหลายวันมานี้กู้ฉางฉิงเร่งทำงานกับซูตี้ ภาพออกแบบสำเร็จรูปชุดแรกสำหรับแบรนด์ใหม่ออกมาแล้ว
เฟิงจิงเหยาวางแผนว่าวันนี้จะไปดูบริษัทสักหน่อย ก็ให้มู่เฉาเกออยู่บ้าน
“เอาเถอะ หลายวันมานี้ไปบริษัทกับคุณ ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณป้าเลย เกรงว่าคุณป้าจะเคืองฉันในใจแล้ว”
มู่เฉาเกอระงับความผิดหวังในแววตาไว้ ตกปากรับคำกับเฟิงจิงเหยาอย่างใจกว้าง
กู้ฉางฉิงได้ฟังคำพูดของเธอ ก็รู้สึกแปลกใจตลอด
ทว่านึกไม่ออกว่าแปลกตรงไหน ทำได้เพียงเก็บกดความรู้สึกไว้ในใจแล้วบอกลาเธอ
มู่เฉาเกอส่งทั้งสองไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าจึงค่อยๆจางลง เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้
เธอยืนอยู่ที่เดิมอยู่นาน จนมองไม่เห็นรถของเฟิงจิงเหยา จึงหันกลับไปที่บ้านใหญ่
“เฉาเกอ วันนี้ไม่ไปบริษัทหรอ?”
คุณนายเฟิงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกมองเธอ รู้สึกผิดปกติเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม
“วันนี้จิงเหยาต้องการไปที่บริษัทสาขาเพื่อจัดการเรื่องแบรนด์กับคุณกู้ ฉันคิดว่าฉันไปก็ไม่มีเรื่องอะไร เลยอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่าน หลายวันมานี้ไปบริษัทกับจิงเหยาตลอด ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่านเลย”
เธออมยิ้มตอบกลับ ทว่าทำให้คุณนายเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันเป็นยายแก่คนหนึ่งทำไมต้องอยู่เป็นเพื่อน พวกคุณเป็นหนุ่มสาว ก็ควรจะอยู่ด้วยกันสิ”
มิเช่นนั้นเรียกเธอมาจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
ประโยคสุดท้าย ถึงแม้ว่าไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่มู่เฉาเกอยังคงสังเกตได้ว่าเธอไม่พอใจต่อตัวเลือกของตนเอง ชั่วขณะแววตาก็เป็นประกายขึ้นมา
เมื่อเธอกำลังเตรียมจะพูดอะไร พ่อบ้านก็เดินเข้ามา
“คุณนาย คุณลู่มาแล้ว”
เพิ่งพูดจบ ก็เห็นลู่ซือหยี่จากด้านนอกเดินเข้ามาอย่างสวยสง่า
“คุณป้าหมิง ฉันมาเยี่ยมคุณ”
เธอพูดจบ ก็วิ่งเข้าไปข้างๆคุณนายเฟิง แล้วจับจูงกันอย่างสนิทสนม
“คุณมาได้ยังไง? อีกทั้งมาก็ไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ฉันจะได้ให้คนขับรถไปรับคุณ”
คุณนายมีความสุขกายสบายใจต่อความสนิทสนมของเธอมาก เธอย่นหน้าผากถามอย่างทะนุถนอม
“นี่ฉันได้ยินมาว่าจิ้งหยวนบาดเจ็บไม่ใช่หรอ? ฉะนั้นจึงมาดูเธอหน่อย อีกอย่างคุณป้าบอกว่านี่เหมือนเป็นบ้านของฉัน ฉันกลับมาจำเป็นต้องให้คนมารับซะที่ไหนกัน”
เธอพูดจบ ดูเหมือนเพิ่งจะเห็นว่ามู่เฉาเกอนั่งอยู่ที่โซฟาตรงข้าม ตกใจพูดว่า : “คุณมู่ก็อยู่ด้วย ขอโทษนะคะ เมื่อกี้เห็นคุณป้าก็ตื่นเต้นไปหน่อย ไม่ได้สังเกตเห็นคุณ”
มู่เฉาเกอมองดูท่าทางเสแสร้งทำของเธอ สีหน้าไม่เปลี่ยนไป พูดอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า : “ไม่เป็นไร”
คุณนายเฟิงเห็นว่าทั้งคู่พูดคุยกันดี เดิมทียังกังวลใจเล็กน้อยกลัวว่าจะมีปากมีเสียงกัน คาดไม่ถึงว่าจะสงบเสงี่ยมแบบนี้ จึงโล่งใจไป
เธอดึงลู่ซือหยี่นั่งลงข้างๆ ถามถึงสถานการณ์ของเธอช่วงนี้
“ช่วงนี้ก็ดี วันวันว่างไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อเล็กน้อย”
ที่ลู่ซือหยี่พูดก็จริง จริงเธออยู่บ้านก็ค่อนข้างน่าเบื่อ
มู่เฉาเกอเห็นเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วถาม : “ฉันได้ยินมาว่าเมื่อก่อนคุณลู่เคยช่วยจิงเหยาจัดการงานบริษัทตลอด ทำไมพักหลังๆถึงไม่ทำแล้วล่ะ?”
เธอถามอย่างไร้เดียงสา ทว่าทำให้ลู่ซือหยี่รู้สึกว่าเรื่องอะไรไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้
“พี่จิงเหยากลัวฉันเหนื่อย อีกทั้งคุณป้าหมิงก็อยู่บ้านคนเดียว หวังให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าหมิงที่บ้าน”
เธอจงใจพูดให้คลุมเครือเพื่อกระตุ้นมู่เฉาเกอ อย่างไรก็ตามสีหน้ามู่เฉาเดอไม่ได้เปลี่ยนไป ยังชมเชยเธอ
“คุณลู่มีจิตใจกตัญญูจริงๆ ไม่เสียแรงที่คุณป้ารักทะนุถนอมคุณ
น้ำเสียงของเธอ ได้ฟังลู่ซือหยี่ก็มาสบายใจอย่างยิ่ง
คิดจะหาเรื่องทะเลาะ แต่คำพูดนี้ก็ไม่มีอะไรผิด ท้ายที่สุดเธอก็อดกลั้นความโกรธไว้ หันไปทางคุณนายเฟิง
“คุณป้าหมิง ห้องของฉันท่านให้คนทำความสะอาดไว้หรือเปล่า? ฉันอยากขึ้นไปพักผ่อนสักพัก”
คุณนายเฟิงได้ฟังคำพูดนี้ สีหน้าชะงักงัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
เพราะว่าเดิมทีห้องที่ลู่ซือหยี่พักอยู่ เวลานี้เธอได้จัดทำใหม่แล้วให้มู่เฉาเกอมาอยู่แล้ว
ก็ไม่รู้ว่ามู่เฉาเกอมองเห็นความลำบากใจของเธอออกหรือเปล่า ก็พูดแก้หน้าให้เองว่า : “คุณลู่ อาจจะต้องรบกวนคุณไปพักที่ห้องรับแขกแล้ว ห้องก่อนหน้าของคุณตอนนี้ฉันพักอยู่ ของของฉันเยอะ เวลาชั่วครู่เกรงว่าจะเอาออกมาไม่หมด”
ลู่ซือหยี่ได้ฟังคำพูดของเธอจบ ก็โกรธจนแทบระเบิด สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างมาก
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับของของตนเองถูกคนมาแทนที่
คุณนายเฟิงมองเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เป็นเธอที่ทำได้ไม่ดี เกรงว่าจะถูกลู่ซือหยี่โวยวาย จึงพูดแก้ตัวออกมา
“ฉันไปดูที่ห้องครัวหน่อยว่ามีผักอะไรบ้าง ตอนเย็นลู่ซืออยู่อยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะ”
มู่เฉาเกอไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร เธอไม่ได้พูดอะไร ยิ้มอย่างสุภาพและส่งคุณนายเฟิงออกไป
และเมื่อคุณนายเฟิงจากไป ลู่ซือหยี่ก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้อีกต่อไป จึงพูดถากถางว่า : “มู่เฉาเกอ ต่อหน้าป้าหมิงคุณจะเสแสร้งอะไรก็ทำไป คุณเป็นใคร อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ”
มู่เฉาเกอเลิกคิ้ว ยิ้วเบาๆพูดว่า : “คุณจะรู้ได้อย่างไร? อย่าลืมสิ ตอนนี้คุณแพ้แล้ว แต่ฉัน ตอนนี้ฉันสามารถอยู่ในห้องทำงานของจิงเหยาได้ทุกวัน และพูดคุยเล่นทำงานด้วยกันกับเขา”
ลู่ซือหยี่ได้ฟังคำนี้ ก็โกรธจนเส้นเลือดที่หน้าผากเต้น
เมื่อก่อน เธอก็เคยเพ้อฝันเช่นนี้ แต่ทว่าไม่เคยชายตามองเธอสักครั้ง
มู่เฉาเกอเห็นว่าทำให้เธอโกรธ ดูเหมือนว่าการกระตุ้นจะไม่เพียงพอ ยังเหน็บแนมต่อ : “ฉันได้ยินมาว่ามีคนคิดจะใช้กลอุบายต่างๆ โดยเฉพาะวิธีอุทิศกายถวายชีวิตถึงจะดีก็ตาม แต่ก็ง่ายเกินไป นับประสาอะไรกับนิสัยของจิงเหยาอน่างนั้น เห็นคุณในตอนนี้ เกรงว่าจะได้บทเรียนไปไม่น้อย?”
ลู่ซือหยี่ถูกเธอพูดถากถางสีหน้าก็เขียวขึ้นทันที ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จากโกรธสุดๆกลับยิ้มพูดว่า : “หึ อย่าคิดว่าตอนนี้คุณได้เปรียบก็สามารถชนะได้อย่างแน่นอนนะ มู่เฉาเกอ ใครแพ้ใครชนะมันยังไม่แน่ชัดนะ!”
มู่เฉาเกอเห็นท่าทางเธอที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้