คุณนายเฟิงได้ฟังคำพูดของเธอ ก็มองไปที่เฟิงจิ่งเหยา
เห็นเฟิงจิ่งเหยามองไปที่กู้ฉางฉิงด้วยใบหน้าอ่อนโยน สีหน้าเธอก็เคร่งขรึมลง พยักหน้าให้กับคุณแม่ลู่
แต่สิ่งเหล่านี้กู้ฉางฉิงไม่รู้
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับเพื่อนของกู้ฉางซินอย่างมาก
แต่ก็ยังพูดคุยกันต่อ เธออดที่จะดีใจไม่ได้
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอยู่กับเธอในวันเกิดเยอะขนาดนี้ แล้วยังได้รับของขวัญมากมายเช่นนี้
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฟิงจิ่งเหยา ในใจก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ
ก็ไม่รู้ว่าเขาเตรียมของขวัญอะไรให้ตนเอง
เธอกำลังคิดอยู่ก็ต้องตกตะลึง เมื่อถูกชนมาสัมผัส
“ฉางซิน คิดอะไรอยู่?”
กู้ฉางฉิงสติกลับมา ปกปิดใบหน้าพูดว่า “ไม่มีอะไร เมื่อกี้พวกคุณพูดว่าอะไรนะ?”
“เราบอกว่าคืนนี้เราจะไปที่ไหนกัน ช่วงนี้คุณไม่ได้ออกมาสนุกด้วยกันเลย ได้ยินมาว่าคุณไปทำงานที่บริษัทของตระกูลเฟิงหรอ?”
สาวน้อยสองสามคนพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ แต่ละคนมองไปที่กู้ฉางฉิงด้วยความประหลาดใจ
กู้ฉางฉิงถูกพวกเธอมองด้วยสีหน้าเหยเก ได้แต่หาข้ออ้างมาปกปิดแบบขอไปที
หลังจากนั้นก็เผยธาตุแท้เธอออกมา แล้วหาข้ออ้างที่จะออกจากสถานที่จัดงาน
เธอมาที่ดาดฟ้าของงานเลี้ยง หลังพิงราวบันได จิบไวน์ ลมเย็นๆพัดมา มองงานเลี้ยงแล้วเหม่อลอยเล็กน้อย
เดิมทีวันเกิดของกู้ฉางซินก็เป็นเช่นนี้
เธอถอนหายใจในใจ แต่ทว่าไม่ได้อิจฉา
ถึงอย่างไรการแสวงหาของทุกคนแตกต่างกัน
บางทีกู้ฉางซินก็ชอบอย่างนี้ แต่น่าจะอยากอยู่ที่วันเกิดในวันนี้ แล้วมีแม่อยู่ด้วยกัน
เธอนึกถึงตรงนี้ ก็อดคิดถึงแม่ที่อยู่โรงพยาบาลไม่ได้ ในใจรู้สึกใจคอห่อเหี่ยวขึ้นมา
หวังว่างานเลี้ยงวันนี้จะสงบลงหน่อย ทำให้เธอมีโอกาสเอ่ยขอไปเยี่ยมแม่ต่อหน้ากู้หงเซิน
พอดีกับที่เธอกำลังคิดอยู่ สายตาก็กวาดมาที่ร่างเพรียวแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเธอ
เห็นบนใบหน้าที่ไม่มีความอ่อนโยนเป็นปกติของชายคนนั้น ดวงตาดำสนิทคู่นั้นของเขาจ้องมอง ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบของเขาคือเธอ
กู้ฉางฉิงเห็น การเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
โดยเฉพาะอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ทำให้คนรู้สึกสลัวอย่างบอกไม่ถูก
“คุณมาได้ยังไง?”
เธอพยายามอดกลั้นความหวั่นไหวในใจ มองผู้ชายหล่อเหลาตรงหน้าอย่างประหม่า
เฟิงจิ่งเหยากวาดสายตามองเธอที่ดูบึ้งตึง เป็นปกติที่จะมองออกว่าเธอเครียด
ไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้ว่าที่เธอเครียดเป็นเพราะตนเอง เขารู้สึกสะเทือนใจ
“ฉันไม่มา แล้วจะให้ของขวัญคุณได้อย่างไร?”
เขาพูดจบ ก็หยิบกล่องสีสันสวยงามหนึ่งกล่องจากอ้อมแขนส่งออกไป
กู้ฉางฉิงจ้องมองกล่องของขวัญในมือเขาอย่างตกตะลึง มองไปที่เฟิงจิงเหยาอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ทำไม? ไม่อยากได้หรอ?”
เฟิงจิงเหยาเห็นว่าเธอรับช้า ก็เลิกคิ้วถาม ในขณะเดียวกันก็ทำท่าเหมือนจะเอากลับคืน
“ใครบอกว่าไม่อยากได้ล่ะ?”
กู้ฉางฉิงสติกลับมา จะยอมให้เขาเอากลับคืนได้อย่างไร แย่กลับมาแล้วเปิดกล่องออก
ก็เห็นสร้อยคอคริสตัลสีฟ้าอ่อนของราศีเมษวางอยู่บนกำมะหยี่สีขาว นอกจากนี้ยังมีเพชรสีชมพูเม็ดเล็กจำนวนมากฝังอยู่โดยรอบ ส่องแสงแวววาวภายใต้แสงจันทร์ ในความหรูหราแต่ไม่สูญเสียไสตล์ไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกชอบ
“ฉันไม่รู้จะให้อะไร หลังจากถามๆเพื่อนแล้ว ก็ให้คนสั่งทำ ได้ยินมาว่าการใส่ราศรีของตนเองติดตัวไว้จะนำมาซึ่งความโชคดี ชอบไหม?”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นสายตาที่มหัศจรรย์ใจของเธอ ก็เอ่ยถามเบาๆ
กู้ฉางฉิงยิ้มราวกับดอกไม้มองมาที่เขา พยักหน้าหนักๆ
“ชอบมาก ขอบคุณนะ!”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน หยิบสร้อยจากในกล่องขึ้นมา เดินไปข้างหลังของกู้ฉางฉิง
“ฉันจะช่วยใส่ให้คุณ”
กู้ฉางฉิงมองไปที่ชายคนนั้นที่เดินเข้ามาใกล้ๆอย่างตกตะลึง สองมือสวมที่คอของเธอ
เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่คอ อดไม่ได้ที่จะก้มไปมอง เดิมทีทะเลสาบอันเงียบสงบในใจก็กำลังมีคลื่นกระเพื่อมครั้งแล้วครั้งเล่า
“โอเค”
กู้ฉางฉิงกำลังตกตะลึงอยู่ เสียงทุ้มๆของเฟิงจิงเหยาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองกระจกด้านข้าง ก็เห็นสร้อยคอคริสตัลสีฟ้าอ่อนห้อยอยู่ที่คอเธอ แต่ว่าสายตาของเธอมองข้ามสร้อยคอไปมองชายด้านหลังอย่างลุ่มหลง ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงสักนิด
เฟิงจิงเหยาไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในดวงตาของเธอ เขายังมองคนในกระจกอย่างเพลิดเพลิน เพียงแค่รู้สึกเจริญตา
แต่เมื่อพอดีกับบรรยากาศนี้ น้ำเสียงก็ดังขึ้นอย่างไม่ถูกกาลเทศะ
“จิ่งเหยา ฉางซิน ไปห้องรับรองกับฉันหน่อย มีเรื่องอยากจะคุยกับพวกคุณ”
คุณนายเฟิงมองเห็นความรักใคร่ของคนทั้งสอง คิ้วขมวดน้ำเสียงเย็นชาทำลายความเงียบสงัดทางด้านนี้
กู้ฉางฉิงเห็นเช่นนี้ แล้วมองไปที่เฟิงจิ่งเหยาโดยจิตใต้สำนึก
เฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้ว เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไร พากู้ฉางฉิงไปที่ห้องรับรอง
เมื่อพวกเขาเดินมาถึง ก็พบว่าในห้องรับรองมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย
นายท่านเฟิง เฟิงซู่แล้วก็สามีภรรยาตระกูลลู่รวมถึงลู่ซือหยี่ด้วย
นายท่านเฟิงจ้องมองคุณนายเฟิงที่เรียกกู้ฉางฉิงเข้ามา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“สะใภ้ใหญ่ สรุปคุณต้องการจะพูดอะไร ที่เรียกทุกคนมา แขกที่อยู่ข้างนอกไม่สนใจแล้วหรอ?”
คุณนายเฟิงเห็นเช่นนี้ ชำเลืองมองคนตระกูลลู่ จึงพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า : “พ่อเรื่องนี้ฉันก็จนปัญญา เวลานี้ฉันทำได้แค่เรียกพวกคุณมาดูว่าจะจัดการอย่างไร”
เธอพูดจบ ก็ทิ้งระเบิดเรื่องราวที่สำคัญอย่างตรงไปตรงมา
“ซือหยี่ท้อง เป็นลูกของจิ่งเหยาด้วย!”
พร้อมกับคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็ต่างตกอกตกใจ
กู้ฉางฉิงมองไปที่ลู่ซือหยี่อย่างยากที่จะเชื่อ
ค่อนข้างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก นายท่านเฟิงกับเฟิงจิ่งเหยาสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
โดยเฉพาะเฟิงจิ่งเหยา สีหน้าเคร่งขรึมจนหาอะไรเปรียบไม่ได้
แม่ลู่เห็นว่าในห้องเงียบสงัด อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นพูดข้อเรียกร้องของพวกเขา
“นายท่านเฟิง ฉันรู้ว่าเรื่องที่เอามาพูดในวันนี้ไม่เหมาะสม แต่เวลานี้พวกเราไม่มีทางเลือก หวังว่าคุณจะตัดสินใจให้พวกเราด้วยตนเอง ให้เฟิงจิ่งเหยารับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นหลานชายคนแรกของตระกูลเฟิง”
นายท่านเฟิงสีหน้าขึงขังมองไปทางเฟิงจิ่งเหยา
“จิ่งเหยา คุณจะว่ายังไง?”
เฟิงจิ่งเหยาชักสีหน้า ใบหน้าราวกับน้ำค้างแข็ง
“หึ น่าตลกจริงๆ เดิมทีวันนั้นฉันไม่ได้แตะต้องเธอเลย ท้ายที่สุดก็ไม่รู้ว่าเธอสามารถท้องได้ยังไง!”
พูดจบ เขาก็กวาดสายตาเย้ยหยันไปทางลู่ซือหยี่ ในแววตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ลู่ซือหยี่เห็นความเหยียดหยามในสายตาของเขา สีหน้าก็ไม่น่าดูไปชั่วขณะ
แต่เธอยังไม่ลืมแผนของตนเอง รู้สึกน้อยใจจนน้ำตาไหลออกมา
“พี่จิ่งเหยา คุณจะสงสัยฉันได้อย่างไร?”
พ่อลู่ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของลูกสาว ก็โกรธขึ้นมา
“ทำไม ประธานเย่คิดว่าพวกเราโกหกพวกคุณอยู่หรอ?”
เขาพูดจบ ก็ไม่ให้โอกาสเฟิงจิ่งเหยาได้มีข้อโต้แย้ง หยิบผลตรวจการตั้งครรภ์ออกมาจากแม่ลู่
“ถ้าประธานเฟิงไม่เชื่อคำพูดของพวกเรา รายงานจากโรงพยาบาลนี่น่าจะไม่ผิดพลาดใช่ไหม!”
พูดจบ ก็ส่งผลรายงานให้เฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้ว รับมาด้วยความลังเลใจ
ก็เห็นผลตรวจด้านบนเขียนไว้ว่าตั้งท้อง อีกทั้งเป็นระยะเวลาสามสัปดาห์กว่าแล้ว……
กู้ฉางฉิงเห็นเวลาเช่นนี้ คิดคำนวณอยู่นิดหนึ่ง ก็ประจวบเหมาะพอดีกับคืนนั้นเลย
ในเวลาอันสั้น เธอราวกับถูกฟ้าผ่า หูสองข้างดับวิ้ง ในหัวขาวโพลน
เป็นคืนนั้นหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเฟิงจิ่งเหยาและลู่ซือหยี่?