กู้ฉางฉิงตกตะลึง
ไม่รอให้สติกลับมา ก็เห็นคุณนายเฟิงชี้นิ้วด่าทอมาที่เธอ : “กู้ฉางซิน ดูสิว่าคุณทำเรื่องดีๆอะไรไว้ นั่นคือมู่เฉาเกอคุณสามารถตบได้ใช่ไหม? ไม่ดูเลยว่าตัวเองฐานะอะไรเลย!”
กู้ฉางฉิงได้ฟังคำนี้ ก็ตัวสั่น
เธอรู้ว่าคุณนายเฟิงมาเพราะเรื่องเมื่อคืน ก็ไม่กล้าโต้แย้ง ปกปิดแก้มที่รู้สึกเจ็บปวดแล้วพูดว่า : “ฉันจะไปขอโทษคุณมู่ตอนนี้เลย”
คุณนายเฟิงทำเสียงไม่พอใจ : “ขอโทษหรอ? ขอโทษแล้วมันมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
กู้ฉางฉิงหลุบตาลง ไม่รู้ควรจะตอบกลับอย่างไร
คุณนายเฟิงเห็นท่าทางที่เชื่อฟังของเธอนี้ ก็พูดถากถางว่า : “พอเถอะ ตอนนี้จิ่งเหยาได้เห็นธาตุแท้ของคุณแล้ว คุณไม่ต้องแสร้งทำเป็นว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ต่อไปแล้ว พวกเราตระกูลเฟิง รับไม่ได้กับการเสแสร้งของคุณจริงๆ ถ้าหากคุณรู้จักว่าต้องทำตัวอย่างไร ออกไปซะเองเถอะ!”
เธอพูดจบ สายตาเย็นชามองกู้ฉางฉิง ไม่ให้กู้ฉางฉิงได้มีโอกาสได้ตอบกลับ ก็หันกลับออกไปเลย
กู้ฉางฉิงเห็นภาพเธอจากไป สีหน้าก็หม่นหมองลงทันที
จะให้เธอออกไปมันเป็นไปไม่ได้
ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงท่าทีของเฟิงจิ่งเหยา แม้แต่กู้หงเซินก็ต้องไม่เห็นด้วย
แต่เธอต้องอยู่ต่อไป ถูกกู้ฉางซินก่อความวุ่นวายนี้ไว้ ในอนาคตน่าจะลำบากยิ่งขึ้น
และความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้
เพราะว่าคำเตือนของคุณนายเฟิง กู้ฉางฉิงก็เลยไม่ได้ไปหามู่เฉาเกอ แต่แต่งหน้าเล็กน้อย เพื่อปกปิดรอยบนใบหน้าแล้วไปบริษัท
เธอเพิ่งจะมาถึงบริษัท ก็พบว่าโดยรอบมีคนมองมาที่ตนไม่น้อย กระซิบกระซาบกัน
“คือเธอ ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับสตรีหมายเลขหนึ่ง”
“ฉันดูว่าเธอน่าจะอิจฉาริษยา ไม่ใช่จะบอกว่าเธอรู้จักกับท่านประธานใช่ไหม? ต้องแอบรักท่านประธานแน่ๆเลย เห็นหญิงอื่นเข้าใกล้ท่านประธานไม่ได้”
“เฮ้อ คุณพูดอย่างนี้ ฉันก็นึกถึงเรื่องๆหนึ่ง”
“เรื่องอะไร?’
“คือเรื่องที่ผู้จัดการลู่ถูกไล่ออกไง……พวกคุณว่าเป็นการวางแผนของผู้หญิงคนนี้ไหม ถึงผู้หญิงคนนี้จะรักท่านประธานอย่างไร แต่ความสัมพันธ์ของผู้จัดการลู่กับท่านประธานก็น่าจะไม่ธรรมดา”
“ได้ฟังคุณพูดแบบนี้ ฉันรู้สึกว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น”
“โอ้พระเจ้า หากเป็นอย่างที่คุณพูดนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็โหดร้ายเกินไปแล้ว”
ในขณะที่ทุกคนมองไปที่กู้ฉางฉิงด้วยแววตาที่รังเกียจ แล้วนินทาลับหลังเธอ
กู้ฉางฉิงได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่มากก็น้อย สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างมาก
เธอต่อต้านความโกรธในใจและกลับไปที่ห้องทำงานของตนเอง
ใช้เวลานานกว่าเธอจะสงบลงมา มองห้องทำงานที่เงียบสงัดแล้วก็ยอมรับมัน ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร
พูดได้ว่าเรื่องราวมันบานปลายเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้
อีกทั้งยังกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทจนดึงกลับมาได้ยาก
ก็ไม่รู้ว่ายิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งเกิดอย่างนั้น
เมื่อกู้ฉางฉิงกำลังกังวลอยู่ ชีเสี่ยวจิ่วก็เคาะประตูเข้ามาด้วยใบหน้ากังวลใจ
“อาจารย์ ผู้จัดการใหญ่ให้คุณไปที่ห้องทำงาน”
กู้ฉางฉิงได้ยินคำนี้ความคิดก็ค่อยๆหายไป
“ฉันทราบแล้ว”
เธอพูดจบ ลุกขึ้นเตรียมไปห้องทำงานของผู้จัดการใหญ่ ทว่าพบว่าชีเสี่ยวจิ่วยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
“ยังมีธุระอีกไหม?”
เธอถามอย่างสงสัย
ชีเสี่ยวจิ่วมองเธอ โดยไม่ปิดบังความกังวลใจในแววตาเลยแม้แต่น้อย ถามว่า : “อาจารย์ คุณตบคุณมู่จริงๆหรอ?”
กู้ฉางฉิงได้ฟังคำนี้ ก็ตกตะลึง
ไม่รอให้เธอได้ตอบกลับ ก็ได้ยินชีเสี่ยวจิ่วพูดต่อว่า : “แต่ฉันรู้สึกว่าอาจารย์ไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ นี่ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ”
กู้ฉางฉิงมองแววตาที่เชื่อใจของเธอแล้ว ในใจก็อบอุ่นขึ้นมาทันที
เธอได้ฟังคำพูดที่บอกว่าเธอตบตีคนคนแล้ว แต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเธอ
“เสี่ยวจิ่ว ขอบคุณคุณนะ”
เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับชีเสี่ยวจิ่วยังไง จึงฉีกยิ้มมุมปากกล่าวขอบคุณ
ชีเสี่ยวจิ่งุนงง แต่กู้ฉางฉิงไม่ได้คิดที่จะพูดอะไรกับเธอมาก จึงหันออกจากห้องทำงานไป
เธอออกไปแล้ว เหล่าอาจารย์นักออกแบบในห้องทำงานต่างก็หยุดความเคลื่อนไหวในมือเล็กน้อย มองตามๆกันมายังเธอ
กู้ฉางฉิงกวาดสายตามองรอบหนึ่งแล้วก็เดินไปยังห้องทำงานผู้จัดการใหญ่
“ผู้จัดการใหญ่”
เธอเคาะประตูแล้วเข้าไป ยืนอยู่กลางห้องทำงานอย่างเคารพนบนอบ
หลี่ม่านได้ยินก็หยุดงานในมือลง เงยหน้าไปพินิจพิเคราะห์คนตรงหน้า
พูดตามตรง เมื่อเช้าเห็นข่าวคนตบตีกัน เธอก็ไม่อยากเชื่อ
ถึงอย่างไรในภาพความทรงจำ นิสัยของกู้ฉางอ่อนโยนอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะทะเลาะวิวาทกับคน ก็จะไม่ตบตีคนต่อหน้าสาธารณชน
แต่ด้วยหลักฐานความเป็นจริงทำให้เธอไม่เชื่อไม่ได้
“ผู้จัดการแผนกกู้ ฉันรู้ไหมว่าที่ฉันเรียกคุณเข้ามาเพราะอะไร?”
ดวงตาที่เย็นชาของเธอมองมายังกู้ฉางฉิง ซักถามอย่างเอาจริงเอาจัง
กู้ฉางฉิงพยักหน้า: “ทราบค่ะ”
หลี่ม่านเห็นเช่นนี้ ดวงตาจ้องมองกู้ฉางฉิงอย่างเงียบๆ
“พูดตามความจริง ฉันก็ไม่รู้ชัดว่าตกลงเมื่อคืนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไร คุณก็ไม่ควรเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับมู่เฉาเกอในที่สาธารณะชน นี่ไม่เพียงแค่ไม่ส่งผลดีกับคุณ ยังส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทด้วย”
เธอยากที่จะระงับความโกรธบนใบหน้ากล่าวตำหนิว่า: “คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากมายขนาดไหน? เดิมทีประธานได้เจรจาความร่วมมือไว้ดีแล้ว เพราะเรื่องนี้ก่อให้เกิดความล้มเหลวของความร่วมมือ”
กู้ฉางฉิงฟังถึงคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังหลี่ม่านอย่างตะลึงงัน
แต่ยังไม่ทันรอให้เธอได้กล่าวถามออกมา ก็ได้ยินหลี่ม่านกล่าวต่อไปว่า: “เพราะสถานการณ์เรื่องนี้รุนแรงมาก ผู้บริหารระดับสูงได้ร่วมหารือกันแล้ว ตัดสินใจถอนคุณออกจากตำแหน่งผู้จัดการแผนก และให้จี้อี้รับผิดชอบแทนชั่วคราว มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อยอดขายผลงานของนักออกแบบคนอื่นๆเนื่องจากปัจจัยของคุณ คุณคงไม่เห็นต่างนะ”
กู้ฉางฉิงกลืนคำที่อยากจะพูดลงคอ ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: “ไม่เห็นต่างค่ะ”
ในใจเธอชัดเจน มีเพียงการกระทำแบบนี้เท่านั้นที่สามารถปกป้องบริษัทได้
หลี่ม่านเห็นเช่นนี้ จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เอาล่ะ ฉันก็ไม่มีคำพูดอื่นแล้ว หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนให้กับคุณ ภายหลังจะทำเรื่องอะไรอย่าใจร้อนอีก คุณออกไปเถอะ”
เธอโบกมือให้กู้ฉางฉิงออกไป
กู้ฉางฉิงพยักหน้า กันตัวออกไป
พอเธอออกจากห้องทำงานผู้จัดการใหญ่แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่
พูดได้ว่ากู้ฉางซินกลับมาครั้งนี้ ทำให้เธอยากที่จะเปิดสถานการณ์แล้วกลับไปใหม่อีกครั้ง
เธอกำลังจะกลับไปเก็บข้าวของย้ายออกจากห้องทำงาน ทันใดก็ได้ยินเสียงพูดเสียดสีเข้ามายังหู
“อ้าว นี่ไม่ใช่ผู้แทนผู้จัดการแผนกคนใหม่ของพวกเราหรอ จุ๊ จุ๊ ตำแหน่งนี้นั่งยังไม่ทันร้อน คนก็ต้องไปแล้ว”
ชวี่ชิงหยุนเห็นกู้ฉางฉิงเดินมา ก็หัวเราะเยาะเย้ย
กู้ฉางฉิงเพียงแค่มองเธออย่างเย็นชา ไปห้องทำงานอย่างไม่ได้สนใจ
ชวี่ชิงหยุนเห็นเช่นนี้ ก็เบ้ปากอย่างเหยียดหยาม
“หยิ่งอะไรนัก ยังคิดว่าตนเองเป็นผู้จัดการแผนกอยู่หรอ?”
เธอกังขา รอจนถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยง เธอก็นำเอาข่าวดีนี้รายงานให้กับลู่ซือหยี่
“ซือหยี่ ฉันจะบอกกับคุณว่า กู้ฉางซินผู้หญิงคนนั้นตนเองรนหาที่ตายเอง”
เธอนำเรื่องที่บริษัทดำเนินโทษกับกู้ฉางซินแจ้งให้ลู่ซือหยี่ทราบ
ลู่ซือหยี่รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน แต่ก็ยังไม่มั่นใจ
เธอกำมือถือแล้วกัดฟัน กล่าวอย่างโดรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า: “เดิมทีผู้หญิงคนนั้นก็มีธาตุแท้แบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าฉันจะพูดยังไง พี่จิ่งเหยาก็ไม่เชื่อ!”