คืนวาน หลังจากตระกูลมู่ได้รับข่าว
พวกเขาตั้งใจจะไปพามู่เฉาเกอออกมาก่อน แล้วค่อยไปอธิบายกับตระกูลเฟิง
แต่ต้องจำนนต่อหลักฐานว่ามู่เฉาเกอว่งแผนทำร้ายจึงประกันตัวไม่ได้
คุณแม่มู่เฉาเกอคิดว่าจะไปหาเฟิงจิ่งเหยาตั้งแต่เมื่อคืน เพื่อให้เขายอมปล่อยเธอแต่ก็ถูกคุณพ่อตระกูลมู่ขัดขวางเอาไว้
“ถ้ารีบไปตอนนี้ เกรงว่าเฟิงจิ่งเหยาจะไม่มาเจอพวกเรา รอผ่านคืนนี้ค่อยไปหาเขา คงจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว”
คุณพ่อตระกูลมู่พิจารณาอย่างละเอียด แม่มู่เฉาเกอก็เห็นด้วยเช่นกัน
เป็นแบบนั้น ทั้งสองพากันมาที่บ้านเขาแต่เช้า
“คุณชายมู่ ต้องขอโทษด้วยครับ เจ้านายออกไปบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”
แม่บ้านได้รับคำสั่งจากเฟิงจิ่งเหยาไว้ และเมื่อเขาเห็นครอบครัวมู่ พาพวกเขาไปที่บริษัทอย่างเกรงใจ
พ่อมู่กลับไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของพวกเขาในตอนนี้เฟิงจิ่งเหยาคำนวณเอาไว้แล้ว
คู่สามีภรรยาที่กระตือรือร้นที่จะช่วยลูกสาวของพวกเขา เมื่อพวกเขารู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาอยู่ที่บริษัทก็รีบเดินทางไปที่เฟิงซื่อกรุ๊ป
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงทั้งสองคนก็มาถึงเฟิงซื่อกรุ๊ป
“ท่านประธานครับ พ่อแม่คุณมู่มาหาครับ”
ชวี่ยี่ได้รับข่าวจากเคาน์เตอร์ข้างล่าง เคาะประตูมารายงาน
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าพวกเขามาทำไม ก็ไม่ได้ห้าม
“พาพวกเขาไปห้องประชุม”
ชวี่ยี่พยักหน้า หมุนตัวเดินไปจัดการ
ไม่นานพวกเขาก็มาเจอกันที่ห้องประชุม
“คุณลุง คุณน้าสวัสดีครับ”
เฟิงจิ่งเหยาทักทายตามมารยาท แต่กลับทำให้ครอบครัวมู่รู้สึกไม่ดี
“จิ่งเหยา ที่พวกเรามาในวันนี้ ฉันคิดว่าคุณก็คงรู้อยู่แล้ว ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
คุณแม่ยิ้มแหย พูดด้วยท่าทางอ่อนโยน
มุมปากกระตุกเฟิงจิ่งเหยา ไม่ทันได้ตอบกลับและหันไปมองคุณพ่อตระกูลมู่
“คุณลุงมู่ก็คิดอย่างงั้นหรอครับ?”
เมื่อคุณแม่เห็นแบบนั้น ในใจคิดอยากจะพูดอะไรออกไป แต่ว่าถูกคุณพ่อมู่ห้ามเอาไว้ก่อน
เขาดูออก เห็นได้ชัดว่าลูกสาวของบ้านเขาไม่บริสุทธิ์ใจในเรื่องนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องวางแผนทำร้ายเป็นไปได้จริงๆ
แต่เขายังคงไม่รู้แน่ชัดว่าลูกสาวของเขาคิดอย่างไร
“จิ่งเหยา เรื่องนี้เฉาเกอของพวกเราทำไม่ถูก ลุงอยากจะมารับประกันกับคุณว่าถ้าปล่อยเฉาเกอ หลังจากนี้จะไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นอีก!”
เฟิงจิ่งเหยายิ้มอ่อน
“คุณลุง ฉันคิดว่าคุณอาจไม่รู้ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าครั้งนี้ครั้งแรกแล้ว”
ดูเหมือนเขาจะพูดอย่างไม่มีเจตนาอะไร แต่เขาทำให้สีหน้าของคุณพ่อมู่แข็งทื่อ
“จิ่งเหยา พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นแบบนั้น ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณลุง เรื่องครั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ฉันคงจะไม่ลืมมันเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่เฉาเกอทำสิ่งนี้ก่อนหน้านี้เธอยังร่วมมือกับคนต่างชาติเพื่อลักพาตัวภรรยาและแม่ของฉัน”
คุณพ่อมู่ตกตะลึง คุณแม่มู่ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้! เฉาเกอของพวกเราไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้!”
เฟิงจิ่งเหยาเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงโทสะ “ก็เพราะรู้สึกว่าเธอไม่มีทางทำได้ ฉันจึงไม่เคยสงสัยเธอ”
คุณแม่มู่ตกใจกับสายตาของเฟิงจิ่งเหยาและเมื่อเธอดึงสติกลับมาเธอก็รู้สึกอับอายและเคืองอย่างมาก
เธอในวัยหกสิบกว่าปีถูกคนอายุยี่สิบกว่าขู่ให้ตกใจ จะไม่โกรธเคืองได้อย่างไร
“แม้ว่าเฉาเกอจะทำไม่ถูกต้อง ช่วงเวลานั้นเธออาจจะสับสน จิ่งเหยา คุณรู้จักเฉาเกอมาหลายปีแล้วคุณไม่รู้ความคิดของเธอเลยหรือ?”
มันน่ารำคาญ แต่เรื่องของลูกสาวก็สำคัญมาก
เธอรู้ดีว่าสิ่งที่ลูกสาวของเธอทำในครั้งนี้ทำให้เฟิงจิ่งเหยาโกรธ เลยใช้ความสัมพันธ์มาเป็นข้อต่อรอง
พูดได้ว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นเกินความคาดหมายของเฟิงจิ่งเหยา
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉาเกอจะมีความคิดอื่นกับเขา อย่างไรซะเวลาที่พวกเขาคบค้าสมาคมกัน มู่เฉาเกอก็ไม่เคยแสดงพิรุธใดๆ
เขานิ่งอึ้งไป ดึงสติแล้วพูดเสียงเย็น “คุณนายมู่ ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจผิดอะไรไป ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน จุดนี้มู่เฉาเกอก็รู้ดี”
ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสรรพนามการเรียกทันที
พ่อและแม่ของมู่เฉาเกอสังเกตเห็น แต่พวกเขาไม่สนใจ อย่างไรซะพวกเขาก็เพียงแค่อยากจะพูดให้เฟิงจิ่งเหยาปล่อยมู่เฉาเกอเท่านั้น
“ดังนั้นคุณจะไม่ปล่อยเธองั้นหรอ?”
พ่อของมู่เฉาเกอถามอย่างกักเก็บความโกรธ “ถึงขนาดที่คุณจ่ายค่ามิตรภาพระหว่างครอบครัวของเราสองคนด้วยหรือเปล่า?
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินคำขู่ในคำพูดของเขา และตอบโต้กลับไปโดยไม่กลัวเลยสักนิด
“คุณชายมู่ คุณก็อายุเยอะกว่าฉันหลายสิบปี ควรจะรู้ว่าถ้าทำผิดก็ควรจะได้รับโทษนะ?”
พ่อของมู่เฉาเกอได้ยินคำที่เหมือนจะสั่งสอนนั้น สายตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ
ชัดแล้วว่าเขาไม่ไว้หน้ากันเลย
เขาถึงกับใช้ประโยชน์จากหัวข้อนี้ในตำหนิเขา
“โอเค ได้!”
พ่อมู่จ้องมองเฟิงจิงเหยาอย่างเดือดดาลและในที่สุดก็เดินจากไป
“คุณมู่…..”
แม่มู่เห็นว่าพ่อมู่เดินออกไป ก็เรียกออกไปทันท่ แต่คุณพ่อมู่ไมไ่ด้สนใจเธอเลย ไม่มีทางเลือก เธอจึงมองจิ่งเหยาด้วยสายตาโหดเหี้ยม แล้วหมุนตัวตามออกไป
ชวี่ยี่ที่เฝ้าอยู่ประตูและเฝ้าดูทั้งสองจากไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง มองไปที่ห้องประชุมอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่เขามองไปที่สีหน้าของประธานเขา คิดที่จะหดหัวกลับไป และทันใดนั้นเสียงที่เย็นชาดังขึ้นข้างๆหูของเขา
“ชวี่ยี่!”
“อยู่ครับ”
เขาตอบออกไปทันที ยืนตัวตรงอยู่ในห้องประชุม
“ให้คนไปจับตาดูครอบครัวมู่”
เฟิงจิ่งเหยารู้ดีว่าครอบครัวมู่ไม่มีทางยอมง่ายๆ พูดสั่งออกไป
และมันก็เป็นแบบนั้น
หลังจากตระกูลมู่ออกจากเฟิงซื่อกรุ๊ป แล้วพวกเขาก็มานั่งอยู่ในรถเพื่อพูดคุยกัน
“คุณคะ เราจะทำยังไงกันต่อ? ด้านตระกูลเฟิงไม่ยอมปล่อย ด้ายตำรวจก็ไม่ยอมปล่อยตัวง่ายๆแน่”
คุณแม่มู่พูดอย่างกังวลใจ
คุณพ่อมู่ฟังเงียบๆ สายตาดำทมิฬ
“ไม่ต้องกังวล เฉาเกอจะสบายดี เมืองปักกิ่งแห่งนี้ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้พวกตระกูลเฟิง”
และแบบนั้น ช่วงสองสามวันนั้นจึงสงบนิ่ง แต่คลื่นใต้ดินก็กำลังค่อยๆขยับอยู่
เฟิงจิ่งเหยาคิดว่าตระกูลมู่ไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้ กลับไปหาแม่ของเขา อย่างไรก็ตามสองสามวันต่อมาตระกูลมู่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
แน่นอนถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้หยุดเตรียมการรับมือกับครอบครัวมู่
ตอนนี้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทก็ยังดำเนินอยู่ ยังมีการดำเนินการเล็กๆน้อยๆอีกมากมาย
กู้ฉางฉิงไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
หลังจากที่เฟิงจิ่เหยาพูดว่าเรื่องจบลง เธอก็วางใจแล้วจมอยู่กับงาน
บางครั้งเมื่อเธอว่างๆจากการทำงาน เธอก็รู้สึกว่าขาดหายอะไรบางอย่างไป
เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็พบว่าเธอไม่ได้เห็นมู่เฉาเกอมาปิดบ้านของเธอมานานแล้ว
แม้ว่าเธอจะรู้สึกงงๆแต่เธอก็ไม่สนใจ
อย่างไรซะมู่เฉาเกอก็ยุ่งมากเช่นกัน และการมีเวลาว่างก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะว่างเสมอไป
เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่ก็มีข่าวมากมายที่ราวกับระเบิดลงวงการธุรกิจของปักกิ่งได้
#มู่ซื่อกรุ๊ปและเฟิงซื่อกรุ๊ปแตก #
#ลูกสาวแห่งตระกูลมู่ถูกใส่ร้ายจนต้องโร่เข้าสถานีตำรวจ#
#ความแตกแยกระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นข่าวลือหรือยังมีเหตุผลอื่นภายในอีก?#
ปรากฎว่าหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หลังการวิ่งเต้นของครอบครัวมู่ ในที่สุดตระกูลมู่ก็ไปรับมู่เฉาเกอจากสถานีตำรวจ
หลังจากได้รับเธอออกมาแล้ว มู่ซื่อกรุ๊ปก็ยุติความร่วมมือกับเฟิงซื่อกรุ๊ปทันทีและเอาเงินทุนกลับก้อนโต
ไม่รู้ว่านักข่าวได้ข่าวมาจากไหน พวกเขารายงานทางอินเทอร์เน็ตราวกับมีหูมีตาในบริษัทไปทั่ว ทำให้กลุ่มเฟิงซื่อกรุ๊ปปั่นป่วน