เฟิงจิ่งเหยาชำเลืองมองไปยังกู้ฉางฉิง สายตายิ่งเพิ่มความดุดัน
ทว่าต่อให้เขารู้สึกมีอารมณ์แต่กลับเขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือกับคนเจ็บ
ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะอดทน ดึงเอวเธอเข้ามาแล้ววางลงบนเตียงผู้ป่วย
กู้ฉางฉิงพอล้มตัวลงบนเตียงก็รีบเอาผ้าห่มมาคลุมตัว แก้มทั้งสองข้างแดงยิ่งกว่ากุ้งต้มสุกซะอีก
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ว่าเมื่อคิดว่าผู้ชายคนนี้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา
“คุณหันไปหน่อยสิ ฉันจะใส่เสื้อผ้า”
ใบหน้าเธอแดงปลั่ง จ้องมองเฟิงจิ่งเหยาแล้วพูดออกมา
เฟิงจิ่งเหยาดูออกเลยว่าเธอกำลังเขินอาย ท่าทีทำตัวไม่ถูกจนเขาอดไม่ได้ที่จะเย้าหยอก
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
“ไม่ต้อง!”
กู้ฉางฉิงรีบปฏิเสธทันที
เฟิงจิ่งเหยาหลุดยิ้มออกมาในความอ่อนช้อยของเธอ ในที่สุดก็หันตัวกลับไป
ไม่นาน ด้านหลังของเขาก็มีเสียงเบาๆดังออกมา ทำเอาเขาต้องเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้อีกครั้งอย่างยากลำบาก
ราวกับว่าในตาของเขายังเต็มไปด้วยภาพเมื่อสักครู่
คิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากก็แห้งผาก ดึงเน็คไทที่คอให้คลายออก
และในตอนนี้ กู้ฉางฉิงใส่เสื้อผ้าอย่างยากลำบากจนเสร็จ พูดออกมาว่า “เสร็จแล้ว”
เฟิงจิ่งเหยาหมุนตัวไปมองกู้ฉางฉิงที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาลที่รัดกุม ก็รู้สึกหมดหวัง
ดีว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่มีความต้องการสูงอะไร ยับยั้งจิตใจตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของกู้ฉางฉิงจึงถามออกไปอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ที่ล้มเมื่อกี้นี้เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”
กู้ฉางฉิงส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เป็นอะไร แต่ว่าน่าจะต้องทำแผลใหม่แล้วล่ะ”
ได้ยินแบบนั้นเฟิงจิ่งเหยาก็รีบเรียกพยาบาลมาทำแผลให้เธอใหม่
แต่เนื่องจากยาชาหมดฤทธิ์แล้ว ในตอนที่ต้องทำแผลใหม่กู้ฉางฉิงเจ็บจนร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว
เฟิงจิ่งเหยาที่กำลังมองอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจถึงได้รู้สึกเจ็บแบบนี้
“คุณออกไปก่อนนะคะ ฉันจะทำแผลให้เธอสักครู่”
เขาก็เดินออกไปข้างหน้าหลังจากพยาบาลพูดจบ
พยาบาลคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาเย็นชาของเขาบ่งบอกว่าจะไม่ออกไปไหน
และเป็นกู้ฉางฉิงเมื่อถูกเขาทำแบบนี้ก็อึ้งไป
ยิ่งทำให้เธอใจสั่นอีกก็คือพอเฟิงจิ่งเหยาออกห่างพยาบาลแล้วก็มุ่งตรงไปข้างเตียงแล้วก็มากุมมือข้างที่เธอเจ็บอย่างระมัดระวังเพื่อทายาให้เธอ
“ถ้าเจ็บก็บอกฉัน ฉันจะเบามือให้”
เขาพูดไปพลางเป่าแผลให้กู้ฉางฉิงไปพลาง
กู้ฉางฉิงมองเขาอย่างอึ้งๆ กำแพงในใจของเธอค่อยพังทลายลง ราวกับว่ามีอะไรข้างในกำลังเติบโตในใจเขา
เฟิงจิ่งเหยารับรู้ถึงสายตาของเธอ เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปแต่ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอยู่
“โชคดีนะที่เธอได้รับบาดเจ็บข้างขวา ถ้าเป็นข้างซ้ายล่ะก็ ชีวิตดีไซเนอร์ของเธอคงจบสิ้น”
น้ำเสียงตำหนิของเขาราวกับต้องการดึงสติกู้ฉางฉิงให้กลับมา ในความยุ่งเหยิงนี้ทิ้งความรู้สึกประหลาดใจไว้ในใจ
“โชคดีจริงๆแหละ”
เธอยกยิ้มมุมปาก ชัอนตามองแผลที่แขน นัยน์ตาก็ฉายแววหวาดกลัว
ความจริงแล้วตอนเพิ่งจะมีเรื่อง เธอเจ็บจนชาจึงไม่ทันระวังแผล แต่ต่อมาถูกปิดแผลเอาไว้
แต่พอมาดูตอนนี้ ยิ่งเห็นแผลก็รู้สึกสยดสยอง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทิ้งแผลเป็นไว้หรือเปล่า
ในตอนที่เธอกำลังปล่อยจิตใจล่องลอย ทันใดนั้นประตูห้องพักก็ถูกเคาะเสียงดัง
“เข้ามา”
เฟิงจิ่งเหยาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก กู้ฉางฉิงตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาด
“คุณปู่ มาได้ยังไงคะเนี่ย”
เห็นเพียงคุณปู่เฟิงเดินเข้ามาเท่านั้น
เขามองไปที่แผลที่ยังไม่ได้ปิด สายตาเต็มไปด้วยห่วงใย
“ฉันได้ยินมาว่าเธอล้มจนได้เลือด เลยมาเยี่ยมเธอสักหน่อย ทำยังไงถึงล้มจนได้เลือดหนักขนาดนี้ล่ะ”
กู้ฉางฉิงพอได้ยินคำพูดแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ ความรู้สึกอบอุ่นก่อขึ้นในใจ
ทั้งตระกูลเฟิงก็มีแต่คุณท่านนี่แหละที่เป็นห่วงเขาจริงๆ
“คุณปู่คะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะแค่แผลอาจจะลึกจนดูน่าตกใจเท่านั้น”
เธอพูดปลอบ ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างจริงใจ
เมื่อได้ยินว่าเธอไม่เป็นไร จึงถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างโล่งใจ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ”
พูดไปตาก็มองเฟิงจิ่งเหยาที่กำลังทำแผลให้เธอแล้วพูดเตือนไปว่า “จิ่งเหยา ในเมื่อฉางซินได้รับบาดเจ็บแบบนี้ ช่วงนี้อย่ามัวแต่ดูแลงานบริษัทอย่างเดียว ต้องอยู่ข้างๆคอยดูแลเธอด้วยล่ะ”
แน่นอนที่เขาพูดแบบนี้เพราะว่ามีจุดประสงค์แอบแฝง
เขาหวังว่าจะอาศัยช่วงที่กู้ฉางฉิงได้รับบาดเจ็บทำให้พวกเขาสองคนค่อยๆใกล้ชิด
เฟิงจิ่งเหยารู้ไม่ทันความคิดของเขา แต่ไม่ได้คันค้านคำขอของเขาแต่อย่างใด พยักหน้าตกลง
“ทราบแล้วครับ คุณปู่ไม่ต้องเป็นห่วง”
คุณท่านตระกูลเฟิงมองใบหน้าเคร่งขรึมของเขา ฮึมฮัมอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้าฉันไม่เป็นห่วง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้อุ้มหลานสักที”
พูดไปก็กลัวว่ากู้ฉางฉิงจะคิดมาก เปลี่ยนสีหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉางซิน เธอไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่ได้จะกดดันอะไรเธอ ก็แค่อยากให้จิ่งเหยาเก็บเรื่องนี้ไปพิจารณาหน่อย”
กู้ฉางเห็นแบบนี้พยักหน้าเข้าใจอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะเดียวกันก็เหมือนรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฟิงจิ่งเหยา ทว่าเฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สังเกต เพียงแต่เอือมกับความสองมาตราฐานนี้ของคุณปู่
……
ในเวลาเดียวที่บ้านตระกูลเฟิง
เนื่องจากการทะเลาะตบตีครั้งที่แล้วมู่เฉาเกอสร้างความเสียหายให้กู้ฉางฉิงไม่น้อย เฟิงจิ้งหยวนจึงไม่ได้ต่อต้านที่จะดึงเธอมาเป็นพวกขนาดนั้นแล้ว
ทั้งสองนั่งคุยเรื่องกู้ฉางฉิงที่ต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่ในสวนดอกไม้
“แปลกจริงๆ คนดีๆที่ไหนเขาจะไปล้มลงบนเศษแก้วแตกกัน”
มู่เฉาเกอกระพริบตาถี่ พูดอย่างจนปัญญา
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
เฟิงจิ้งหยวนตอบกลับอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นท่าทีเหมือนคิดอะไรออก พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ไม่แน่ว่าสองพ่อลูกนี้อาจจะมีแผนอะไรอยู่ก็เป็นได้ คนบ้านนี้เจ้าแผนการกันทั้งนั้น”
มู่เฉาเกอได้ยินแบบนั้น ยกยิ้มมุมปาก “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าพวกเขาวางแผนนี้มาเพื่ออะไร”
เฟิงจิ้งหยวนได้ยินแบบนั้นจึงมองไปที่เธอ “เธอเดาว่าไงล่ะ?”
มู่เฉาเกอหันไปมองเธอแวบหนึ่ง พูดสนุกๆขึ้นมาว่า “ฉันได้ยินมาว่าช่วงตระกูลกู้กำลังหาเงินทุนก้อนนึง อย่างต่ำก็ร้อยล้าน ในสายตาฉันทั้งปักกิ่งจะมีใครเหมาะไปกว่าเฟิงจิ่งเหยาอีกล่ะ”
เฟิงจิ้งหยวนฟังจบ พอรวมกับสิ่งที่เธอคาดการณ์แล้วไฟโทสะก็ลุกท่วมทันที
“คนตระกูลกู้เลือดเย็นจริงๆ ไม่จบไม่สิ้น ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ฉันจะไม่ให้แผนของพวกเขาสำเร็จเด็ดขาด”
เธอพูดแล้วลุกขึ้นอย่างมีน้ำโห “ต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่สะใภ้ แล้วก็คุณพ่อด้วย จะปล่อยให้พวกตระกูลกู้มาเกาะจิ่งเหยาไม่ได้เด็ดขาด”
พูดจบ เดินออกไปโดยไม่ได้สนใจมู่เฉาเกอ
กลับไม่ได้รู้เลยว่าพอเธอเดินห่างออกไป มู่เฉาเกอยกยิ้มร้าย
สายตาวูบไหวจ้องไปยังแผ่นหลังเฟิงจิ้งหยวน ดวงตาแฝงไปด้วยนัยยะ
ที่เธอเอาเรื่องนี้มาแฉก็เพราะเธอคิดไว้อยู่แล้วว่าหลังจากที่เฟิงจิ้งหยวนทราบเรื่องต้องโกรธเป็นฝืนเป็นไฟแน่ๆ และจะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณนายเฟิงอย่างแน่นอน
ยิ่งบวกกับเดิมทีที่พวกเขามีอคติกับกู้ฉางซินอยู่แล้วด้วย จะต้องระเบิดความขัดแย้งในครอบครัวอย่างแน่นอน
และกู้ฉางซินจะต้องโต้ตอบ ไม่นานทั้งสองฝั่งต้องแตกแยก แค่รอให้ตระกูลเฟิงหมดความอดทนกับตระกูลกู้
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าเฟิงจิ่งเหยา หรือคุณท่านที่แสนจะรักกู้ฉางซินหนักหนา ก็คงผิดหวังในตัวกู้ฉางซินไม่น้อยเลยทีเดียว
และนี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่เธอมาบ้านตระกูลเฟิง