กู้ฉางฉิงไม่รู้สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงความเข้าใจผิด มองดูพวกเขา’จูบ’กันอย่างดูดดื่ม ไม่อาจทนดูได้ต่อไป
เธอรู้ดีว่าเธอไม่ใช่กู้ฉางซิน
ดังนั้นเธอจึงวิ่งหนีออกไปอย่างยอมแพ้
และตอนที่เธอหมุนตัววิ่งออกไปจึงไม่ทันได้เห็นพวกเขาทั้งสองที่’จูบ’กันอย่างดูดดื่มแยกห่างกันออกมาแล้ว
มู่เฉาเกอเงยหน้าจากอ้อมอกของเฟิงจิ่งเหยาด้วยสีหน้าไม่อาจคาดเดาได้ มองแผ่นหลังของกู้ฉางฉิงที่วิ่งออกไป มุมปากยกยิ้มอย่างมีนัยยะ
หลังจากนั้นสลัดสายตานั้นทิ้ง มองเฟิงจิ่งเหยาที่แสนทึ่มตรงหน้า พยายามควบคุมความปราถนาในใจตัวเอง
เธอไม่ใช่คนโง่แบบลู่ซือยวี่
จินตนาการไปว่าถ้าให้เฟิงจิ่งเหยาครอบครองร่างกายเธอหลังจากนั้นก็เขารับผิดชอบ
เธอต้องทำให้เฟิงจิ่งเหยาเต็มใจอยู่กับเธอ!
คิดได้แบบนี้ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ทันใดนั้นเธอพยุงเฟิงจิ่งเหยาขึ้นห้อง แต่ทว่าไม่ได้พาเขาไปส่งที่ห้องกู้ฉางฉิง กลับพาไปห้องเธอเอง
กู้ฉางฉิงไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่เธอวิ่งหนีกลับขึ้นมาห้อง ผ่านไปเนิ่นนานแล้วจิตใจเธอก็ยังไม่สงบ
ฉากนั้นที่ล็อบบี้ยังฝังอยู่ในหัวเธอ
เธอคิดว่าอีกสักพักเฟิงจิ่งเหยาน่าจะกลับมา ไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้าแบบไหนมองหน้าเขา
สุดท้ายเธอจึงแกล้งหลับ
แต่ว่าเธอที่เอนหลังอยู่บนเสื่อทาทามิก็หลับไม่ลง
จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เฟิงจิ่งเหยาก็ยังไม่กลับมา ทำให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านของเธอจินตนาการไปต่างๆนานา
คืนนี้เฟิงจิ่งเหยาไม่กลับมาหรอ?
ใบหน้าซีดเผือดลุกขึ้นนั่ง อดไม่ได้ที่จะตรงไปยังห้องข้างๆ
เมื่อเธอถึงหน้าห้องก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องข้างๆ ร่างกายเหมือนโดนผ่าฟ้า สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เสียงนั้น ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ทันทีว่าข้างในกำลังทำอะไร
ตอนนี้สมองเธอขาวโพลน กัดริมฝีปากแน่น
ไม่รู้ว่าเลยว่าจริงๆแล้วในห้องไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด
ในห้อง เฟิงจิ่งเหยานอนหลับอยู่บนเสื่อทาทามิอย่างเอาเป็นเอาตาย มีเพียงมู่เฉาเกอที่แกล้งส่งเสียงร้องอยู่คนเดียว
แต่ทว่ากู้ฉางฉิงไม่รู้ เธอยืนอยู่หน้าห้องไม่กล้าพอที่จะเข้าไป เหมือนกับก่อนหน้านี้ ทำได้แค่วิ่งหนีออกไป
มู่เฉาเกอฟังเสียงเท้าที่ห่างออกไปจากนอกประตู รู้ได้ทันทีว่าแผนการของเธอสำเร็จลุล่วงแล้ว ยกยิ้มอย่างพอใจ
เธอหันมามองเฟิงจิ่งเหยาที่หลับอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาแสดงความรักอย่างไม่ปกปิด
“จิ่งเหยา คุณเป็นของฉันคนเดียว”
เธอลูบไปตามร่างกายของเฟิงจิ่งเหยา พูดออกมาอย่างมุ่งมั่น
พูดจบ มองไปทางเฟิงจิ่งเหยาอย่างสื่อความหมาย หมุนตัวออกจากห้อง ลงไปข้างล่างเพื่อเปิดห้องใหม่
……
วันถัดไป เฟิงจิ่งเหยาตื่นขึ้นมาด้วยความหนักอึ้งไปทั้งหัว พบว่าไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย รอบๆเต็มไปด้วยของมู่เฉาเกอ อดไม่ได้ที่ตกใจ
ไม่ทันที่เขาจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
เห็นมู่เฉาเกอพาพนักงานที่กำลังเข็นรถอาหารเข้ามา
“จิ่งเหยา คุณตื่นแล้ว”
มู่เฉาเกอเหลือบมองเฟิงจิ่งเหยา ทักทายอย่างยิ้มแย้ม
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเธอก็รีบดึงสติกลับมา กดหน้าต่ำแล้วถามว่า “ทำไมฉันมาอยู่ห้องเธอได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
มู่เฉาเกอมองใบหน้าที่ติดไม่พอใจของเขา หลุบตาฉายแววแตกต่างออกไปจากเดิม
เพียงแปปเดียวก็จัดการสายตานั้น พูดอธิบาย “เมื่อคืนคุณเมามาก พวกเราก็กลับมาดึกมากแล้ว ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนคุณกู้ก็เลยพาคุณมาห้องฉัน”
พูดจบ เธอตั้งใจหยุดนิ่งสำรวจสีหน้ามองเฟิงจิ่งเหยา
เมื่อเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้ายิ่งเคร่งขรึม เธอจึงรีบพูดต่อออกไปว่า “แต่คุณวางใจได้ มันไม่ได้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อคืนพอฉันส่งคุณเสร็จฉันก็เปิดห้องใหม่ ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ได้เลยค่ะ และถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณคงไม่ได้อยู่ในสภาพแบบนี้หรอกค่ะ”
เฟิงจิ่งเหยาฟังจบ ใบหน้าเมื่อยล้า พลันสายตาไปมองมู่เฉาเกอแวบหนึ่ง แล้วก้มสำรวจตัวเอง
เห็นตัวเองยังสวมเสื้อผ้าชุดเมื่อวานอยู่ แต่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง และเสื้อผ้าที่ถูกทับจนยับราวกับผักดองแห้งก็ไม่ปาน
ถึงแม้สภาพจะดูไม่ดีนักแต่เฟิงจิ่งเหยากลับไม่ได้สนใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลงจากเตียง
“โทษที เข้าใจเธอผิดแล้วล่ะ”
มู่เฉาเกอเห็นท่าทางโล่งใจของเขา เสียความรู้สึกไม่น้อย แต่เธอไม่แสดงอาการใดๆ ส่ายหัวพูดไปยิ้มไป “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ”
พูดจบ เธอก็รีบให้เฟิงจิ่งเหยารีบกลับไปอย่างห่วงใย
“ตอนนี้ก็เริ่มสายแล้ว คุณกู้น่าจะตื่นแล้วนะคะ คุณกลับไปอาบน้ำเถอะจะได้พาคุณกู้มารับประทนอาหาร”
เฟิ่งจิ่งเหยาพยักหน้าหมุนตัวเดินออกจากห้อง
กลับมาที่ด้านกู้ฉางฉิง หน้าตาเธอเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหนึ่งคืน
เธอนั่งอยู่บนเสื่อทาทามิจ้องค้างไปที่ประตูห้อง มีแต่ภาพและเสียงของเมื่อคืนดังแล่นในหัวของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใจเจ็บจนชาไปหมดแล้ว
และในเวลานี้เธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น แพขนตายาวสั้นระริก
เมื่อเห็นเฟิงจิ่งเหยาเข้ามา รู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัว
ในตอนนี้เฟิงจิ่งเหยาสังเกตุเห็นกู้ฉางฉิงที่นั่งอยู่บนเสื่อทาทามิ ตกใจเล็กน้อย จิตใต้สำนึกสั่งให้อธิบายออกไปว่า “เมื่อคืนฉันดื่มหนักจนเมา”
กู้ฉางฉิงรวบรวมสติ หลุบตาลงแล้วพูดตอบรับเบาๆว่า “ฉันรู้แล้วล่ะ”
แล้วก็ไม่รู้ว่าเนื่องจากกู้ฉางฉิงยังใจเย็นอยู่อย่างนั้น เฟิงจิ่งเหยาก็เลยไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอผิดปกติไปจากการเข้าใจผิด
เขาดมกินเหล้าตามตัว รับไม่ได้จนเดินเข้าห้องน้ำไป “เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนแล้วเราค่อยไปกินข้าวกับเฉาเกอกัน”
พูดจบเขาก็เข้าห้องน้ำไป กลับไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดนี้ทำให้กู้ฉางฉิงที่มีสีหน้าไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
แม้ว่าเธอจะแสดงท่าทางสุขุมปกติ แต่ในใจกับร้อนรนอย่างมาก
แต่แต่เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะไปถามล่ะ?
หรือว่าจะให้พุ่งเข้าไปอย่างกู้ฉางซิน ตบหล่อนอีกสักครั้ง?
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอทำไม่ได้
สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือบังคับให้ตัวเองไม่ต้องไปแคร์ไม่ต้องไปคิด ราวกับสะกดจิตตัวเอง
เธอคือเธอคือกู้ฉางฉิงไม่ใช่กู้ฉางซิน ผู้ชายคนนี้หลังจากที่กู้ฉางซินกลับมาก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธออีกแล้ว
ดังนั้นเขาจะไปนอนกับใครก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ
แต่ทว่าการสะกดจิตครั้งนี้เหมือนจะไม่ได้ผล เธออึดอัดจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
ยังไม่ทันที่เธอจะสงบสติอารมณ์เสร็จ เฟิงจิ่งเหยาก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดเดินออกมาเรียบร้อยแล้ว
เขามองกู้ฉางฉิงนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนเสื่อทาทามิ จัดการเสื้อผ้าไปถามไปว่า “วันนี้เธอมีที่ไหนอยากไปหรือเปล่า วันนี้ฉันไม่มีธุระอะไรแล้ว ไปเป็นเพื่อนเธอได้”
กู้ฉางฉิงรู้สึกว่าถ้าเขาพูดประโยคนี้เมื่อวานแล้วล่ะก็เธอคงจะดีใจมาก
ตอนนี้เธอไม่อยากไปไหนทั้งนั้น
แต่ก็ไม่อยากให้เฟิงจิ่งเหยาจับผิดอะไรเธอได้ ดังนั้นจึงตอบแบบขอไปทีว่า “แล้วแต่คุณ”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินสามคำนี้ เหมือนจะจับจุดอะไรได้
เขาขมวดคิ้วมองไปยังกู้ฉางฉิง
“เธอเป็นอะไรไป? เหมือนมีอะไรผิดปกติไปนะ”
กู้ฉางฉิงได้ยินแบบนั้น หันกลับไปมองเขา
สมองพลันคิดเรื่องเมื่อคืนอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเธอจะบังคับให้ตัวไม่สนใจ แต่ในใจลึกๆกลับมีเสียงบอกกับไม่หยุดว่า ต้องถามให้รู้เรื่อง
ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากถาม จู่ๆประตูห้องก็ถูกเคาะ เป็นเสียงเร่งของมู่เฉาเกอดังออกจากข้างนอก
“จิ่งเหยา คุณเสร็จหรือยัง ถ้ายังไม่ออกมาอาหารเช้าจะเย็นหมดแล้วนะ”