หลังจากมู่เฉาเกอออกไป กู้ฉางฉิงดูแลเฟิงจิ่งเหยาในโรงพยาบาลสองสามวัน ทั้งสองคนจึงเดินทางกลับประเทศ
ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ครั้งนี้พวกเขาจึงนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับ บนตรงกลับไปที่คฤหาสน์ชายทะเล
ทั้งสองคนเพิ่งจะลงจากเครื่อง ยังไม่ทันได้อาบน้ำ พ่อบ้านก็รีบเข้ามาเคาะประตู
“คุณชาย คนของคฤหาสน์หลังเดิมมา”
เฟิงจิ่งเหยาได้ฟังคำนี้ ก็คิ้วขมวด แต่ยังคงพากู้ฉางฉิงลงไปพบ
“คุณชาย คุณนายรอง คุณนานให้ท่านทั้งสองกลับไปที่คฤหาสน์หลังเดิม คุณนายกับนายท่านเป็นห่งคุณชายอย่างมาก”
คนของคฤหาสน์หลังเดิมเป็นคนขับรถท่านหนึ่ง เขาพูดสิ่งที่คุณนายเฟิงบอกมา
กู้ฉางฉิงฟังจบ ก็มองเฟิงจิ่งเหยาโดยจิตใต้สำนึก
เฟิงจิ่งเหยามาไม่ได้ปฏิเสธ ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บที่ต่างประเทศ แม่กังคงเป็นห่วง
“ฉันรู้แล้ว คุณรอสักครู่ ฉันกับคุณนายรองจะไปอาบน้ำก่อนแล้วก็ไปกัน”
คนขับรถรับคำสั่ง หันกลับออกไปรอด้านนอก
หนึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็นั่งรถไปที่ตระกูลเฟิง
กู้ฉางฉิงมองตระกูลเฟิงที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ในใจก็สับสนวุ่นวาย
เธอระงับอารมณ์ทั้งหมดในใจและเดินตามเฟิงจิ่งเหยาเข้าไป
คาดไม่ถึงเพิ่งเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกก็ได้ยินเสียงหัวเราะ
ก็เห็นว่าที่ห้องรับแขกของบ้านใหญ่ไม่ได้มีเพียงตระกูลเฟิงเท่านั้น ยังมีมู่เฉาเกอรวมถึงแม่ของเธอด้วย
ทั้งสามคนสวมชุดที่เป็นทางการ บนโต๊ะก็มีของขวัญวางอยู่ไม่น้อย
กู้ฉางฉิงมองเห็นคุณนายมู่ สีหน้าก็แข็งทื่อ
เธอไม่มีทางลืมวันนั้นที่คุณนายมู่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับเธอ
เฟิงจิ่งเหยาสังเกตเห็นการเปลี่ยนไปของกู้ฉางฉิง จึงจับมือเธอไว้ เหมือนกับบอกเธอว่า มีเขาอยู่
และเวลานี้ เดิมทีที่พูดคุยกันอยู่ พ่อบ้านมาแจ้งให้ทราบ ก็เลยสังเกตเห็นคนทั้งสอง
พวกเขาทั้งหมดหันกลับมา เห็นกู้ฉางฉิงกับเฟิงจิ่งเหยาจับมือกันอยู่ สีหน้าก็ผิดปกติขึ้นมา
คุณนายเฟิงเห็น ก็หงุดหงิดอยู่ในใจ ทักทายอย่างไม่พอใจ
“จิ่งเหยา เข้ามาก็ไม่รู้จักเรียก ยังต้องให้คนมาเตือน”
เธอจ้องมองเฟิงจิ่งเหยาอย่างโกรธเคือง แล้วมองข้ามกู้ฉางฉิงไป
“ลุงมู่กับป้ามู่รู้ว่าคุณจะกลับมาคืนนี้ ก็เลยมาขอบคุณโดยเฉพาะ”
เธออธิบายจุดประสงค์การมาของตระกูลมู่
อันที่จริงเฟิงจิ่งเหยาเห็นคนตระกูลมู่ก็คาดเดาได้ในใจ
เขากวาดสายตามองสามีภรรยาตระกูลมู่ แล้วยิ้มพูดว่า : “เกรงใจคุณลุงมู่จัง นี่ไม่ได้เป็นอะไรเลย”
พูดจบ เขาก็พากู้ฉางฉิงไปนั่งลงที่โซฟา
ทั้งสองจับมือกันตลอดไปปล่อย เฟิงจิ้งหยวนที่อยู่ข้างๆเห็นแล้ว ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางกู้ฉางฉิงอย่างดีใจในความโชคร้ายของคนอื่น
เป็นธรรมดาที่มู่เฉาเกอจะมองเห็นการเยาะเย้ยถากถางในสายตาเธอ ก็ตึงเครียดในใจ
เธอกวาดสายตามองกู้ฉางฉิง ยิ้มแล้วพูดว่า : “จิ่งเหยา คำพูดนี้ฉันไม่เห็นด้วย อะไรเรียกว่าไม่เป็นไร เวลานั้นมันอันตรายมาก ถ้าคุณไม่ช่วยชีวิตไว้ ตอนนี้ฉันก็น่าจะตายไปแล้ว คำพูดขอบคุณ ฉันยังรู้สึกว่าไม่มากพอเลย”
เธอพูดอย่างซาบซึ้งใจ แต่คำพูดนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้คนคิดมาก
แน่นอนว่าคนที่คิดมากก็มีแต่กู้ฉางฉิงเท่านั้น ถึงอย่างไรมุมมองของตระกูลเฟิงและตระกูลมู่ ความสะมพันธ์ของเฟิงจิ่งเหยากับมู่เฉาเกอก็ดีมากมาตลอด
เฟิงจิ่งเหยาต้องช่วยชีวิตมู่เฉาเกออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่นนี้ ทั้งสองตระกูลจึงเริ่มสนทนากันในหัวข้อนี้
กู้ฉางฉิงนั่งอยู่ข้างๆเฟิงจิ่งเหยา ได้ฟังคำพูดของพวกเขาก็ตกตะลึง พูดแทรกไม่ได้เลย
และคนอื่นๆเหมือนจะจงใจลืมไปเลยว่ามีเธอนั่งอยู่ตรงนี้
กู้ฉางฉิงสายตาเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยการดูถูกตนเอง แต่ทว่าก็ผ่อนคลายให้สงบลง
แบบนี้ กลุ่มคนรับประทานอาหารเสร็จในบรรยากาศที่เข้ากันได้ดี
ไม่นานงานเลี้ยงตอนเย็นก็จบสิ้น พ่อแม่ตระกูลมู่ก็กลับไป
คุณนายเฟิงพาคนไปส่งที่รถแล้วก็กลับมายังห้องรับแขกทันที
ถึงแม้ว่าเมื่อกี้เธอจะพูดคุยหัวเราะกับคนตระกูลมู่มาโดยตลอด แต่อันที่จริงก็ยังห่วงใยอาการบาดเจ็บของเฟิงจิ่งเหยา
เช่นนี้ พอแขกไปแล้ว เธอแทบรอไม่ไหวที่จะโทรไปหาหมอประจำครอบครัว
เฟิงจิ่งเหยามองการกระทำของเธออย่างจนปัญญา แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง
ครอบครัวกำลังนั่งรอหมออยู่ในห้องรับแขก
เฟิงจิ่งเหยานึกถึงเมื่อกี้ที่กู้ฉางฉิงไม่ค่อยได้ทานข้าว อดไม่ได้ที่จะถามอย่างเป็นห่วงว่า: “คุณเหนื่อยหรอ? ไม่เช่นนั้นฉันจะให้คนส่งคุณกลับไปพักผ่อนก่อน ฉันคงจะกลับไปดึกหน่อย”
กู้ฉางฉิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย กวาดสายตามองไปโดยรอบ กำลังคิดที่จะพยักหน้า เฟิงซู่ที่อยู่ตรงข้ามก็เอ่ยปากทันทีว่า
“ฉางซินเหนื่อยล่ะก็ ก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านใหม่ก่อนได้ ตรงนี้ฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”
กู้ฉางฉิงฟังถึงคำพูดนี้ มองเฟิงจิ่งเหยา
เธอฟังออกว่านี่คือพ่อเฟิงจงใจที่จะเหลือไว้เพียงพวกเขา ดังนั้นในที่สุดก็ไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้ายอมรับ
“งั้นฉันขอตัวไปก่อน พ่อแม่ แล้วก็คุณอาเล็ก คุณมู่ พักผ่อนเร็วหน่อยนะคะ”
เธอลุกขึ้นกล่าวลาอย่างไม่เสียมารยาท
หลังจากนั้นก็จากไปพร้อมกับสีหน้าที่เย็นชาของทุกคน
พอเธอออกจากบ้านใหญ่ เธออดไม่ได้ที่จะหยุดเอียงหน้าไปมอง สุดท้ายก็เดินไปยังบ้านใหม่
ไม่นาน ก็มาถึงบ้านใหม่ เธอเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจก็สับสนวุ่นวาย
ตั้งแต่หลังจากลู่ซือหยี่เข้ามาอยู่ครั้งที่แล้ว พวกเขาก็ไม่เคยกลับมาอยู่อีกเลย
ปัจจุบันนี้เฟอร์นิเจอร์ด้านในได้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทำให้เธอมีลางสังหรณ์ใจ ว่ากลับมาครั้งนี้ พวกเขาจะสามารถกลับมาอยู่อีก!
เธอคิดถึงตรงนี้ ก็กลับห้องไปอาบน้ำด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอรอเฟิงจิ่งเหยากลับมาอยู่ที่ห้อง ในใจก็ไม่สงบเล็กน้อย มากจนกระทั่งกระวนกระวายใจ
เธอสามารถรับรู้ได้ชัดเจนว่าตระกูลเฟิงกีดกันเธอ ไม่เช่นนี้จะยังมีมู่เฉาเกอที่เป็นคนนอกอยู่หรอ แต่ให้เธอที่เป็นลูกสะใภ้คนนี้ออกมา
ชัดเจนว่าเธอไม่ต่างอะไรกับคนนอก
เธอคิดแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง คนเดินไปที่ระเบียง คิดที่จะสูดอากาศปลอดโปร่ง
สายตามองไป ทางด้สานบ้านใหญ่นั้นไฟยังคงสว่างไสว
ทำให้เธอนึกถึงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเมื่อเย็น ถ้าเปลี่ยนให้เฟิงจิ่งเหยามาบาดเจ็บแทนเธอ คาดว่าคงได้รับการประณามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่เหมือนมู่เฉาเกอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย กระทั่งทั้งสองครอบครัวก็สามารถนั่งรับประทานอาหารด้วยรอยยิ้ม
เธอคิดพลาง ก็เก็บสายตาที่เยาะเย้ย แต่ไม่คาดคิดจะเห็นภาพที่มู่เฉาเกอและเฟิงจิ่งเหยาจะเดินเล่นอยู่ที่สวนดอกไม้ชั้นล่าง
แสงจันทร์ส่องลงมา คนทั้งสองดูเหมือนจะผ่านแสงสีขาวเป็นชั้นๆ ดูงดงามมาก
ยิ่งความหล่อของผู้ชาย ความน่ารักของผู้หญิงด้วยแล้ว ราวกับกิ่งทองใบหยก เหมาะสมอย่างมาก
กู้ฉางฉิงเห็นแล้ว ในใจก็ยิ่งหงุดหงิด
รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศโดยรอบคล้ายกับเปลี่ยนเป็นมีออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
เธอบังคับให้ตนเองอย่าไปสนใจ หันตัวกลับเข้าห้องอย่างเยือกเย็น
เธอเอนกายลงบนเตียงได้ไม่นาน เฟิงจิ่งเหยาก็ผลักประตูเข้ามา
เขาเห็นกู้ฉางฉิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ก็คิดว่าคนหลับแล้ว ระมัดระวังการกระทำ
แต่ไม่รู้ว่ากู้ฉางฉิงแค่แกล้งหลับ
เงียบสงัดตลอดทั้งคืน
……
วันต่อมา กู้ฉางฉิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับเฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยาเห็นกู้ฉางฉิงแต่งตัว นึกถึงคำพูดของพ่อแม่เมื่อวาน เอ่ยปากว่า: “ฉางซิน ต่อไปนี้พวกเราก็อยู่ในบ้านนี้ ข้าวของฉันจะให้พ่อบ้านย้ายกลับมา”
กู้ฉางฉิงได้ยิน ก็หยุดการกระทำไปชั่วขณะ ไม่ได้แปกใจ กล่าวอย่างเย็นชาว่า: “ฉันรู้แล้ว”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถึงแม้กู้ฉางฉิงจะไม่ได้มีความเห็นต่างอะไร แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกที่คลุมเครือกับความแปลกของกู้ฉางฉิง
เขามองภาพด้านหลังของกู้ฉางฉิง สีหน้าไม่อาจคาดเดาได้ แต่ไม่ได้พูดอะไร