ในอดีตเมื่อนานมาแล้วเคยมีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคนอยู่ทั้งหมดแปดคน
ที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างกันด้านชาติกำเนิดและอายุ พวกเขาทั้งหมดเกลียดมอนสเตอร์ และความฝันของทุกคนคือการกลายมาเป็นฮันเตอร์
นับตั้งแต่ที่พวกเขายังเป็นเด็กแทนที่ของเล่นพวกเขาถือมีดและนับตั้งแต่ที่พวกเขาสามารถที่จะถือปากกาได้พวกเขาก็ได้ถือปืน
และพวกเขาทุกคนไม่เคยที่จะเสียใจที่ได้เลือกเดินในเส้นทางนี้
สิบห้าปีให้หลัง ทั้งเจ็ดคนได้กระจัดกระจายกันออกไปหลังจากการตายของเด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่ม
‘ฉันต้องการที่จะเป็นนักร้อง’
‘ฉันต้องการที่จะทำธุรกิจ’
‘ฉันต้องการที่จะทำงานในทะเล’
‘ฉัน…’
แต่ละคนมีความฝันที่อยู่สูงขึ้นไปและความทะเยอทะยานมากกว่าครั้งที่แล้ว และทุก ๆ คนก็ได้ประสบความสำเร็จที่ดีในทางที่ตนเลือก
ยกเว้นเพียงแค่ฉัน
ในตอนที่พวกเขาแต่ละคนไปอยู่ในจุดสูงขึ้นไปในสาขาที่พวกเขาเลือก ฉันยังคงเป็นฮันเตอร์แรงค์ F อยู่
ดังนั้นฉันไม่เต็มใจที่จะติดต่อพวกเขาและพวกเราก็ได้เติบโตขึ้นแบบแยกจากกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยกเว้นไว้สำหรับคนคนหนึ่ง เทเลอร์ไนน์คนที่เหมือนกับฉันที่ยังคงเป็นฮันเตอร์อยู่
“…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ?”
เธอเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยสำหรับฉันที่สุดเพราะว่าเธอมักจะมาที่เกาหลีเป็นประจำ
ด้วยคำพูดที่ไม่น่ายินดีเลยของฉัน เธอได้ทิ้งกระป๋องเบียร์ที่กำลังหกเลอะเทอะลงไปที่พื้นและกระโดดเด้งออกมาจากที่นั่งของเธอ
แล้วเธอก็จ้องมาที่ฉันอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยด้วยดวงตาสีทองของเธอ
“น-นาย…นี่มันบ้าอะไรกัน? เทเลพอร์ตงั้นหรอ? ไม่สิมันไม่ใช่เทเลพอร์ตอย่าบอกฉันนะว่านายเป็นผู้หวนคืนต่างมิติ”
ผู้หวนคืนต่างมิติคือคนที่ได้ย้อนกลับมาหลังจากที่ตกลงไปในต่างโลก
ผู้หวนคืนต่างมิตินั้นเป็นที่รู้กันดีว่าสามารถที่จะใช้พลังในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากพลังของยอดมนุษย์บนโลกออกไปโดยสมบูรณ์ ที่ถูกเรียกันว่า ‘นอกรีต’ โดยผู้คนมันมีคนพูดกันว่าผู้หวนคืนต่างมิติมีความสามารถในการใช้ดาบธรรมดาหรือหมัดเปล่า ๆ ของพวกเขาในการส่งออกแรงกระแทกที่มหาศาลออกไปได้โดยที่ไม่ต้องมีอีเทอร์
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างพวกเขาทั้งหมดเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ
“ผู้หวนคืนต่างมิติ…ฉันเดาว่ามันน่าจะเป็นบางอย่างที่คล้ายแบบนั้นแหละหรือบางทีเรียกว่านักเดินทางข้ามมิติน่าจะถูกต้องกว่านะ?”
เพราะว่าแทนที่จะแค่กลับมาฉันทำได้ทั้งไปและกลับจากมิติต่าง ๆ
“อ-อะไรนะ? นี่มันเรื่องเหลวไหลบ้าอะไรกัน จริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในตอนที่นายหายไปนะ?”
ฉันเลยกำลังคิดที่จะบอกเรื่องราวทุกอย่างกับเธอ
<ฉันหวังว่าคุณจะไม่เล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับข้อตกลงในการล่าตัวเอกนะคะ>
<มันเป็นแค่คำขอร้องทั่ว ๆ ไป เพราะงั้นแล้วคุณสามารถที่จะเล่าให้เธอฟังได้ถ้าคนต้องการค่ะ>
คุณลูกค้าได้ขอความร่วมมือ
เธอไม่ได้กดดันฉันไม่ให้พูดออกไปแต่แค่ขอร้องธรรมดา ๆ
เพราะงั้นฉันเลยเลือกที่จะไม่เล่าอะไรไป
อย่างแรกเลยคือมันจะสนุกตรงไหนที่จะเล่าให้ใครสักคนฟังเกี่ยวกับข้อตกลงที่จะต้องไปฆ่าคนอื่น
“ฉันบอกเธอได้แค่นั้นแหละไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน เธอดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่ปะปนกันไปมาในตอนที่เธอไปจ้องมาที่ฉันเป็นเวลานาน
เมื่อได้เห็นฉากที่ดูน่าเหลือเชื่อของฉันที่เป็นคนสามัญธรรมดาปรากฏตัวออกมาจากอากาศคนปกติเขาจะคิดยังไงกันหละ?
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้ที่ไม่สามารถเข้าใจได้และเมื่อเธอคิดว่ามันปล่าวประโยชน์ที่จะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขา เธอก็จะเป็นหนึ่งในคนที่จะหยุดมันได้เสมอ
เธอบอกว่าถ้ายุ่งต่อไปแบบนั้นมันก็ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยนะสิ
เห็นว่าฉันไม่เต็มใจที่จะพูดมันออกมาเธอก็ไม่ได้ดึงดันต่อไป
ฉันคิดมาหลายครั้งแล้วหละว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันชอบในตัวเธอมาโดยตลอด
“เจ้าเด็กน้อย นายโตขึ้นนะตอนที่ฉันไม่อยู่นี่นายสูงขึ้นรึป่าวเนี่ย?”
“ฉันก็สูงกว่าเธอมาตลอดแหละ”
“หืม…”
จ้องมองมาที่ฉันเธอได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างใจเย็น
“ใช่แล้ว มันจะไปสำคัญอะไรไม่ว่านายจะเป็นผู้หวนคืนต่างมิติหรือว่าจะเป็นนักเดินทางต่างมิติหรืออะไรก็ตาม?”
‘ทั้งหมดที่มันสำคัญก็คือนายยังอยู่’
เอ่อ บางทีมันอาจจะเป็นจินตนาการของฉันแต่ฉันคิดว่าฉันได้เธอพูดอะไรบ้างอย่างออกมา
“ยังไงก็ตามไอ้เจ้าคนเหลวไหล…นายรู้ไหมว่าฉันอยู่ที่นี้เพื่อรอนายอยู่นานแค่ไหนกันหะ?”
“นานแค่ไหน?”
“ฉันค้างอยู่ที่นี้มาเก็บจะสามสัปดาห์แล้วฉันคิดว่านายจะไม่กลับมาก็แล้วนะไอ้เจ้าคนสารเลว”
“หะ”
งั้นนี่เธอมาทำอะไรในบ้านของฉันตั้งสามสัปดาห์กันหละ?
ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อพาตเม้นห้องนี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบของเธอและกลิ่นสาบของชายโสดที่โดดเดียว
มากไปกว่านั้นจากมุมมองที่ฉันเห็นมีขยะอยู่ทุก ๆ ที่ในห้องเลย
เธอไม่ได้ทำความสะอาดอะไรเลยนอกจากตัวเธอเอง
“นี่ฉันทำกำลังมองไปที่เล้าหมูอยู่หรือไงกันเนี่ย?”
“อาฮ่าฮ่า ช่ายเลยหละ นายควรที่จะทำความสะอาดห้องให้เป็นประจำด้วยหละ”
“ไอ้ผู้หญิงคนนี้หนิ นี่มันคือสิ่งที่เธอเป็นคนทำนะ”
ฉันพูดในขณะที่เตะกระป๋องเบียร์ที่กลิ้งมาใกล้เท้าฉันออกไป
“ยังไงก็เถอะนี่เธอมาทำอะไรที่บ้านของฉันกัน? เธอนี่ยังคงทำตัวแปลก ๆ เสมอเลยนะ แขวนริบบิ้นไว้ที่ชุดชั้นในของเธอเนี่ยนะ”
“นี่มัน…”
เธอนั้นแทบจะไม่ได้ใส่อะไรเลย
เสื้อเชิ้ตแขนกุดสีขาวและชุดชั้นในสีดำ
เธอมองลงไปที่ชุดชั้นในของเธอแล้วมองขึ้นมาและในทันทีแววตาของเธอได้กลายมาเป็นจริงจังแล้ว
“ริบบิ้นนี้เป็นจุดหลักเลยนะ มันโคตรน่ารักเลยหละ”
“…แล้วมันไม่ใช่ว่าเธอควรที่จะใส่กางเกงทับมันไว้หรือไงกันหา?”
“งั้นหรือ? แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันอยู่ข้างในหละ? และนายก็จะไม่ได้เห็นริบบิ้นสีแดงนี้นะสิ?”
อะไรน้า?
“ฉันใส่มันเพื่อที่จะเอามาโชว์นายตั้งแต่แรกแล้ว นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมีริบบิ้นไงหละ?”
“หะ”
มันต้องเป็นเรื่องตอแหลแน่นอนแต่มันก็มีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นฉันเลยไม่ได้ปฏิเสธมันไป
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเอาเป็นว่าแต่บอกฉันมาสิว่าทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่?”
“จะอะไรซะอีกหละ ฉันมาเพราะว่าฉันคิดถึงนายไง”
“นั้นคือทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ…ประมาณ 3%”
“โอ้ งั้นบอกมาให้หมด”
“นอกจากนี้แล้วก็ หุหุ พี่สาวคนนี้มาหานายอย่างน้อยนายก็ควรที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจซะหน่อยสิ”
มองไปที่อาหารที่ถูกกินไปแล้วครึ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้น ฉันไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจเลยสักกะนิดเดียว
ฉันค่อย ๆ ถอดชุดต่อสู้ของฉันออกและแขวนมันไว้บนที่แขวนแล้วเปลี่ยนเสื้อต่อหน้าเธอโดยที่ไม่ได้มีกระดากอายเลยสักนิด
พวกเราได้ต่อสู้ในสนามรบมาด้วยกันและในทางปฏิบัติแล้วพวกเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างดี
เธอได้มองมาที่ฉันที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่เอียงหัวของเธอแล้วพูดขึ้นว่า
“โอ้โห้ มีบางอย่างแปลก ๆ กับนายอยู่นะ”
“อะไรอีกหละครั้งนี้?”
“กล้ามเนื้อของนายมันดูแปลก ๆ นะ”
“อะไรนะ?”
กลับมาคิดดูดี ๆ ฉันได้ไปโรงพยาบาลเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเองตั้งแต่ที่ฉันได้กลายมาเป็น ‘นักล่าตัวเอก’ นี่น่า
ในตอนนั้นฉันไม่ได้แม้แต่จะเข้าใจความสามารถของฉันอย่างถูกต้องเลยด้วยซ้ำ
ฉันไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย…
“กล้ามเนื้อของนายมันกลายเป็นชิ้นงานศิลปะไปแล้วนะสิ”
“…?”
“ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลยลองมองดูสินายไม่รู้เลยหรือไงว่านายเปลี่ยนไปมากแค่ไหน? นี่มันบ้ามากเลย กล้ามเนื้อของนายมันดูได้สัดส่วนและเข้ารูปมากยังก็งานศิลป์ที่ถูกปั้นขึ้นมาแหนะแม้ว่าหน้านายจะยังคงเป็นจุดอ่อนเหมือนเดิมก็ตาม”
พูดไปอย่างนั้นแล้วเธอก็ส่งเสียงหึออกมาทางจมูก ปล่อยให้ฉันพูดไม่ออกเลย
เทเลอร์มีหน้าตาที่ซะสวยอยู่แล้วถ้าฉันพยายามที่จะไปเถียงกับเธอเรื่องรู้ลักษณ์ของพวกเราแล้วหละก็ ฉันจะแพ้แบบไม่มีเงื่อนไขเลยหละ
ในเวลาเดียวกันนั้นเองเธอมองมาที่ร่างกายช่วงบนของฉันแล้วเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตรวจสอบมันด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ฉันเองก็มองเห็นร่างกายท่อนบนของฉันเหมือนกันในกระจกแต่พูดตามตรงฉันไม่เห็นว่ามันจะต่างจากเดิมเลยสักนิดเดียว
แล้วเธอบอกความแตกต่างของมันได้ยังไง?
“เพื่อเห็นแก่ช่วงเวลาเก่า ๆ ที่เราได้ใช้ร่วมกัน ขอฉันจับมันได้ไหม?”
“ไม่”
ฉันดันเธอออกไปเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“พอมาคิดดูแล้วถ้าเธอมาอยู่ที่นี้ได้แสดงว่ามันมีเคสที่น่าสนใจที่นี้ใช่ไหม?”
“แม่นแล้วจ้า”
สำหรับเทเลอร์ไนน์ แรงค์ S การที่จะมาที่เกาหลีได้นั้นแสดงว่ามันต้องมีเคสพิเศษ
“มันถูกจัดการในช่วงสามสัปดาห์ตอนที่ฉันไม่อยู่แล้วหรือยังหละ?”
“เหมือนที่คาดไว้เลยว่านายไปอยู่ในที่แปลก ๆ มาสินะ? นายไม่แม้แต่จะได้ดูข่าวเลยหรือไง?”
“ฉันไม่ได้ดูงั้นก็เล่าให้ฉันสิ”
“มีดันเจี้ยนที่ ‘บิดเบี้ยว’ ปรากฏขึ้นที่นอกชายฝั่งอินชอน”
ฉันขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยว
มันเป็นดันเจี้ยนที่ยากที่จะได้รับการจัดอันดับเป็นเพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะวัดค่าใด ๆ
โดยปกติแล้วดันเจี้ยนก็ไม่ใช้เรื่องที่ถูกหลักสามัญสำนึกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวมันกลับอยู่ไกลออกไปจากความเข้าใจและการเรียนรู้ของคนทั่วไปเกี่ยวกับดันเจี้ยนมากกว่าเดิมอีก
แม้ว่าตั้งแต่ที่มอนสเตอร์ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อ 30 ปีก่อน ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวก็ได้ก่อให้เกิดความโกลาหลอยู่เสมอเช่นกัน
ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครั้งนี้มันจะปรากฏที่เกาหลี
“มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับดันเจี้ยนนี้ไหม?”
“มันไม่ใช่แค่สมาคมฮันเตอร์ของเกาหลีเท่านั้นแต่ยังมีกิลด์จากต่างประเทศที่มาเพื่อที่จะสนับสนุนในด้านต่าง ๆ แต่แย่มากที่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่แม้แต่จะเข้าไปได้เลยหละ”
“อะไรนะ? นี่มันไม่สมเหตุสมผลสักนิดเลยไม่ใช่หรือไงกัน?”
“ฉันก็ไม่รู้ ฉันแม่งโคตรที่จะไม่มีเบาะแสอะไรเลยเหมือนกัน”
เธอสายหน้าของเธอด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง
“นายไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรแต่นายฉลาดนิดหน่อยไม่ใช่หรือไง? เพราะงั้นแล้วฉันเลยมาถามนะว่านายต้องการที่จะร่วมงานกับฉันไหม”
ในโลกใบนี้ ‘ฮันเตอร์’ จะถูกเหมารวมว่าเป็นพวกยอดมนุษย์แบบไม่มีเงื่อนไขโดยไม่สนว่าจะมีแรงค์อะไร
แม้แต่ฉันเองก็ถูกนับรวมไปแบบนั้น
ตัวอย่างเช่นถ้าคุณกำลังจะไปเลือกฮันเตอร์มาสามคนใครหละที่คุณอยากที่จะเลือกมากกว่ากัน?
ระหว่างฮันเตอร์แรงค์ F หรือฮันเตอร์ที่มีแรงค์สูงกว่า
มันก็เป็นกรณีเดียวกันกับที่ไม่ว่าฮันเตอร์แรงค์ F คนนั้นจะมีความรู้มากเพียงใดหรือแม้ว่าสมองของเขาจะทำงานได้ดีเพียงใดก็ตาม มันจะมีประโยชน์มากกว่าที่จะเอาคนที่มีพลังพิเศษที่สามารถยิงเลเซอร์ออกจากมือของพวกเขาได้เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามถ้าคุณเป็นยอดมนุษย์ในระดับบนสุดของห่วงโซ่
เหมือนกันกับในกรณีของฮันเตอร์แรงค์ S เทเลอร์ไนน์คนที่ค่อนข้างที่จะใช้งานสมองมากกว่ากล้ามเนื้อเพราะว่าเธอมีความสามารถที่คลอบคลุมบทบาทของคนอื่นด้วยตัวเองเพียงคนเดียวได้
เธอมาหาฉันเป็นครั้งคราว
“แต่อย่างแรกเลยคือพวกเราไม่แม้แต่จะเข้าไปใกล้มันได้ ไอ้พวกสารเลวชั่วช้านั้น ฉันเดาว่าพวกมันคงกำลังวางแผนที่จะบังคับให้ ‘หมดเวลาลง’”
ถ้าดันเจี้ยนไม่ได้รับการเคลียร์ในเวลาที่กำหนด ทั้งภายในและภายนอกดันเจี้ยนจะได้รับการประสานเข้าด้วยกัน
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหละถ้าสภาพแวดล้อมภายในดันเจี้ยนนั้นแย่กว่าที่บนโลก?
นั้นหมายความว่าสภาพแวดล้อมของที่โลกจะได้รับความเสียอย่างหนักหน่วงแน่นอน
ฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับดันเจี้ยนประเภทถ้ำทั่วไปที่ประสานกันแต่ในกรณีส่วนมากของพวกแรงค์ระดับสูงและดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวแล้ว ระบบนิเวศของโลกจะได้รับการทำลายหลังผ่านการประสานเข้าด้วยกัน
ในอีกความหมายก็คือพวกเราอาจจะต้องยอมปล่อยมือไปจากพื้นที่ในส่วนของนอกชายฝั่งทะเลอินชอนหลังจาก ‘หมดเวลาลง’ แล้ว
“รัฐบาลเกาหลีจะต้องไม่อนุญาตให้มันเกิดขึ้นแน่”
“แน่นอนอยู่แล้วแต่อะไรหละที่พวกเขาจะทำได้? ไม่มีใครสักคนที่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่ว่ามันมีองค์กรความร่วมมือการจัดการเรื่องผิดปกติในระดับนานาชาติอยู่หรอ? คนพวกนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้นิ”
“พวกเขาอยู่ที่นี้แล้ว พวกเขาหมดหวังไปแล้วเช่นกัน ตามจริงแล้วนี้เป็นเรื่องปกติเลยหละ”
ใช่แล้วหละ ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวเป็นปกติอยู่แล้วที่มันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปและแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ กับดับที่อยู่ด้านในก็ยากที่จะทำความเข้าใจดังนั้นแล้วมันยากเป็นอย่างมากที่จะเคลียร์มันได้
ฉันก็เคยได้เห็นดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวมาบ้างในอดีตแต่ฉันไม่สามารถที่จะจัดการพวกมันได้สักอันเลย
“…พูดด้วยความสัจจริงเลยว่าฉันก็ไม่รู้สึกว่าอะไรจะเปลี่ยนไปหรอกนะแม้ว่าจะให้ฉันได้ด้วยนะ”
“ฉันรู้น่ามันเป็นไปไม่ได้แม้แต่จะเข้าไปในดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวเลย ดังนั้นพวกมันส่วนใหญ่จึงกลัวว่าเจ้าพวกลูกเจี๊ยบตัวน้อยจะมาเบียดเสียดอยู่ในที่เดียวกัน ฉันรู้ว่านายก็ไม่มีทางที่จะหาทางเข้าไปได้อยู่แล้ว ก็แค่เอามาให้ครบทีมเท่านั้นแหละและฉันก็แค่รำคาญกับสายตาของไอ้เจ้าพวกขี้ขลาดนั้นมากเลยหละในทุกครั้งที่ฉันได้เห็นพวกมัน ฉันสาบานกันพระเจ้าได้เลยว่าฉันจะรัดคอพวกแม่งซะ”
“เธอยังอารมณ์ร้ายเหมือนเคย”
ฉันกำลังคิดว่าจะไปหรือไม่ไปดี
ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยว
ฉันจะไม่ไปเว้นแต่ว่าฉันจะมีอุปกรณ์เกรด 1 อะนะ
อันดับแรกเลยแม้แต่ดันเจี้ยนแรงค์ A ก็ยังยากเกินไปสำหรับการใช้อุปกรณ์เกรด 2 ในการรับมือด้วยซ้ำ
เป็นเหมือนกับความจริงในเรื่องที่ว่าฉันมีแค่ความสามารถทางกายภาพระดับแรงค์ E เท่านั้นเอง
หรือมันอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรถ้าฉันสั่งการจากด้านหลัง
แต่ฉันไม่ต้องการที่จะเสียกระสุนจำนวนมากจากเมก้าชูตเตอร์ในครั้งนี้ในตอนที่กระเป๋าตังของฉันยังคงแฟบอยู่
“ถ้านายไปแสดงใบหน้าของนาย นายจะได้รับเงินและถ้าดันเจี้ยนเปิดออกนายก็ยังสามารถที่จะนั่งรถบัสกลับมาที่บ้านได้ นี่ไม่ใช่ว่ามันเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวหรอกหรอ”
ใช่เลย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่หน่า
……………………………………………………..
วันถัดมา
ซอดัมและเทเลอร์ไนน์ได้ตรงไปที่
ชายหาดอุลวังนิในอินชอน
สถานที่ที่มีชื่อเสียงสำหรับการที่มันค่อนข้างจะเป็นที่นิยามตลอดทั้งสี่ฤดูกาล
เมื่อ 30 ปีก่อนในตอนที่ดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวได้ปรากฏครั้งเป็นครั้งแรกและมันได้ ‘หมดเวลาลง’ ทำให้สภาพแวดล้อมได้เกิดการประสานกันซึ่งนำไปสู่การมีตัวตนของ ‘ประการังสีเงิน’ ขึ้นมา
แค่ว่ามันเป็นการประสานดันเจี้ยนกับความเป็นจริงมันไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นจะแย่เสมอไป
อุลวังนิเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับผลลัพธ์ด้านบวกออกมา เห็นได้จากความเป็นจริงที่ธรรมชาติกลับมาใช่สะอาดและป่าที่แสนสวยงามที่ได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ณ เวลาปัจจุบัน ที่อุลวังนิ
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คุณจะสามารถพบเห็นได้ที่หาดนี้ซี่งได้รับการพัฒนาไปสู่แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยว
โดรนลาดตระเวนหลายสิบลำได้โฉบไปมาเหนืออุลวังนิและมีทหารมากมายและเฮลิคอปเตอร์ทางการทหารที่สามารถที่จะเห็นได้เป็นครั้งคราว
มีการตั้งค่ายทหารชั่วคราวใกล้กับชายหาดนี้เป็นเช่นเดียวกันกับที่พักในทุก ๆ ที่ที่เขาเคยเห็นมันทำให้ซอดัมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องสร้างค่ายทหารคุณภาพสูงเช่นนี้เสมอไป
เมื่อรู้สึกถึงลมทะเลที่เย็นยะเยือกซอดัมดึงปกเสื้อของเขาขึ้นมา
มันเป็นปัญหาที่ว่าเสื้อโค้ทอีเทอร์เกรด 3 นั้นไม่มีฟังก์ชันการทำความร้อน
เทเลอร์ไนน์นั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่บางเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเขาที่กำลังหนาวอยู่
กางเกงขาสั้นสีดำที่พอแค่จะไปถึงสะโพกของเธอกับเสื้อจัมเปอร์เบสบอลสีฟ้าที่มีขนปุยและหมวกเบสบอลสีฟ้า
และมันก็ยังมีไม้เบสบอลสีเงินที่แขวนไว้ที่ข้างหลังเธอด้วย
ซอดัมรู้ดีว่าถึงแม้ว่ามันจะเหมือนว่าเธอกำลังจะไปเล่นเบสบอลที่สนามกีฬาข้างบ้านหรือที่ไหนสักที่ เอาจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นพวกเครื่องแบบนั้นหรือแม้กระทั้งไม้เบสบอลนั้นก็เป็นอุปกรณ์เกรด 1 หรือไม่ก็สูงกว่าที่เป็นเกรดที่ ‘มีชื่อ’
ส่วนมากของเครื่องแต่งกายอีเทอร์จะเป็นเครื่องแบบสำหรับสร้างภาพลักษณ์แต่บางครั้งแล้วอุปกรณ์เกรดมีชื่อนั้นก็ดูธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
บางทีเสื้อผ้าของเธอคงมีตัวควบคุมอุณหภูมิที่ดีกว่าของซอดัมหลายเท่าเลยหละ
ถึงแม้ว่ามันจะง่ายสำหรับยอดมนุษย์แรงค์ S ที่จะควบคุมอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาเองโดยไม่ต้องใช้มันก็ตาม
ฮัท!
ทหารได้ทำความเคารพเมื่อได้พวกเขาได้เห็นใบอนุญาตของฮันเตอร์แรงค์ F และแรงค์ S ตรงหน้า
ในทางตรงกันข้ามกับที่เข้าจะมองไปทางซอดัม จุดสนใจกลับมุ่งไปทางเทเลอร์ไนน์ซี่งสามารถสันนิฐานได้ว่ามันเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นแรงค์ S ของเธอ
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นยอดมนุษย์ รูปลักษณ์ของเธอก็ยังคงที่จะดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ อยู่ดี
“อ้า มีพวกหนอนแมลงเยอะจริง ๆ พวกเขาไม่แม้แต่จะได้เข้าไปในดันเจี้ยนด้วยซ้ำ”
เทเลอร์บ่นออกมาเมื่อเหล่าฮันเตอร์ได้มองมาที่เธอ
ในตอนที่เธอกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ในบริเวณนี้แต่อีกส่วนก็เป็นเพราะว่าฮันเตอร์ที่กำลังเสนอหน้าพวกนี้เช่นกัน
เป็นครั้งคราวที่มีฮันเตอร์ที่พยายามที่จะเข้าหาเธอ
“แกไซหัวไปได้ไหม? ให้ตายสิ นี่พวกแกกำลังมองอะไรอยู่กันหะ?”
“นี่พวกแกกำลังจะเตาะสาวในสถานการณ์แบบนี้อะนะ? นี่แกเป็นฮันเตอร์หรือกระต่ายกันแน่? พวกแกยังต้องการที่จะเก็บไอ้นั่นที่อยู่ระหว่างขาพวกแกเอาไว้หรือฉันควรที่จะตัดมันทิ้งดีหละ?”
“นี่แกกำลังคิดว่าตัวเองเป็นใครกันหาถึงได้มาเรียกชื่อของฉันได้นะ?”
…พวกเขาทั้งหมดนั้นถูกขวางไว้ด้วยกำแพงที่ยากที่จะผ่านเข้ามาได้และเร่งรีบลนลานที่จะจากไป
“โอ้ว ดูเหมือนว่าเม็ดยาหนอนแมลงสีดำจะมาที่นี้แล้ว”
ด้วยคำพูดของเทเลอร์ ซอดัมได้หันหน้าของเขาไปดู
มันมีฮันเตอร์หลายสิบคนที่มาพร้อมกับปลอกแขนของลอสเดย์และสามคนในนั้นเป็นฮันเตอร์แรงค์ S
ถึงแม้ว่าฮันเตอร์แรงค์ S เหล่านั้นจะได้รับการดูแลที่เปรียบเสมือนว่าเป็นดาราในเกาหลีก็ตาม ฮันเตอร์มีประสบการณ์มากที่สุดในพื้นที่นี้ก็ยังเป็นเทเลอร์อยู่ดี และไปมองคนพวกนั้นเปรียบเสมือนกับหนอนแมลง
“เฮ้ นี่เธอจะไปทำลายภาพลักษณ์ของไอ้พวกขี้โก้งนั้นอีกแล้วหรอ?”
ในตอนนี้ ลอสเดย์ได้ถูกข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ รังควานในเรื่องที่ไปเกี่ยวข้องกับปัญหาการกลายพันธุ์
เทเลอร์ไนน์พบว่ามันเป็นสถานการณ์ที่น่าสนุกแต่ก็รู้ดีว่าภาพลักษณ์ของพวกเขาจะได้รับการกู้คืนในเร็ว ๆ นี้
เป็นเพราะว่ายูฮาราม กิลด์มาสเตอร์ของลอดเดย์นั้นเป็นหนึ่งในสามคนของยอดมนุษย์ที่มีแรงค์ SS ในเกาหลี
“ไอ้พวกสารเลวนั้น วันหนึ่งฉันจะกระทืบพวกมัน…”
“ทำไมเธอถึงโกรธหละ? พวกมันไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนิ”
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของเทเลอร์ก็ได้บิดเบี้ยวราวกับว่าเป็นปีศาจที่แสดงออกประมาณว่า ‘นี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่’
“ก็ไอ้บ้าพวกนั้นมันไล่นายออก แม้จะเป็นอย่างนั้นนายยังไม่ดูเสียใจบ้างเลย นี่นายไม่โกรธบ้างเลยหรือไง?”
“อะไรหละมันแน่นอนอยู่แล้วว่าฉันต้องโกรธสิ”
มันไม่ใช่ว่าซอดัมไม่ได้โกรธเลย
มันเป็นแค่ว่ามันไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้เลยในตอนนี้ดังนั้นแล้วเขาก็แค่รอคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง
ในขณะที่กำลังเดินไปกับเทเลอร์ไปที่ทางเข้าของดันเจี้ยน ซอดัมได้หยิบเอาโทรศัพท์ของเขาออกมาเนื่องจากอยู่ ๆ มันก็สั่น
[สายเรียกเข้า-เซเลสเต้]
“หืม?”
กลับมาคิดอีกที ประวัติการโทรสามารถที่จะตรวจสอบย้อนหลังได้ในหลังจากที่กลับมาที่โลกแล้ว
ซอดัมกำลังสงสัยว่าเขาควรที่จะรับสายดีไหม แต่แล้วเขาก็สายหัวในทันที
เขาไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นใกล้ดันเจี้ยนได้เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าจะมีสิ่งผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือป่าว
ในตอนที่เขากำลังที่จะปฏิเสธสายเรียกเข้านี้
เขาได้เห็นอะไรแปลกบางอย่าง
[สายที่ไม่ได้รับ – 56 สาย]
‘…มันคือะไรนะ?’
‘…เรื่องอะไรกัน?’
‘…ไม่สิ อย่าพึ่งไปใส่ใจกับมันตอนนี้’
ส่วนมากของสายที่ไม่ได้รับนั้นมาจากเซเลสเต้
‘หรือว่าฉันลืมคืนของที่ฉันยืมมาจากเธอหรือป่าว?’
เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะ
เขากำลังสงสัยว่าเขาควรที่จะโทรกลับไปหาเธอแต่ซอดัมก็ได้ปิดเครื่องของเขาแทนในทันที
เพราะว่าเขาได้มาถึงใกล้กับทางเข้าของดันเจี้ยนแล้ว
“นี่มันแปลกนิดหน่อยนะ…?”
เป็นเรื่องปกติที่ดันเจี้ยนจะปรากฏตัวในพื้นที่ที่แตกต่างกันไปแต่พวกมันมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน
คือทางเข้าพวกนั้นมีลักษณะเหมือนกับหลุมดำที่มีทางให้เดินเข้าไปได้ดังนั้นคุณสามารถที่จะเห็นข้างในของดันเจี้ยนได้
อย่างไรก็ตามที่ด้านหน้าของซดดัมในตอนนี้ในตอนนี้เองมันกลับเป็นประตูขนาดยักษ์ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ นี้เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเหมือนกัน
“ดังนั้นแล้วนี้คือดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยว เป็นครั้งแรกของฉันเลยที่ได้เห็นบางสิ่งที่เหมือนแบบนี้ ไม่ใช่สิครั้งก่อนมันจะน่าเป็นที่เรือนั้นในตอนนั้น?”
“โอ้ว นั้นหรือ? ที่นายเกือบจะตายอะนะ?”
“เงียบปากไปเลยน้า”
ในทันใดนั้นเองที่ซอดัมพยายามที่จะเข้าไปใกล้กับประตูที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศเหมือนกับภาพลวงตา ทหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐจากองค์กรความร่วมมือการจัดการเรื่องผิดปกติในระดับนานาชาติได้เขามาหาเขา
“ขอประทานโทษด้วยนะครับ แต่ว่าคุณบอกเราได้ไม่ว่าคุณมีธุระอะไรกันครับ?”
“ออกไปให้พ้นทางซะ เขากำลังที่จะเปิดประตูนี้”
“เฮ้ อะไร…”
ซอดัมมองไปที่เธอด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อแต่เทเลอร์ได้หัวเราะคิกคักอย่างไม่สนใจใด ๆ
“โอ้ มันเป็นอันเตอร์เทเลอร์ไนน์นี้เอง ขอบคุณสำหรับการทำงานหลักของคุณในวันนี้นะครับ”
“เอ่อ ขอให้เป็นวันที่ดีแล้วกัน”
โชคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าใจได้ว่าทำพูดของเธอเป็นแค่มุขตลก
เทเลอร์ไนน์นั้นด่าทุก ๆ คนในทุกครั้งที่มีคนถามในตอนที่เธอกำลังจะเข้าไปในดันเจี้ยนและไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามมันได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีท่ามกลางผู้คนที่อยู่ที่นี้
ในขณะที่ฮันเตอร์คนอื่น ๆ กำลังมองดูมัน เธอกลับทำเหมือนกันว่าเธอจะทุบดันเจี้ยนนี้ให้เป็นชิ้นได้ยังงั้นแหละถ้าเธอมีโอกาส
ไม่มีใครสักคนที่จะเกลียดฮันเตอร์แรงค์ S ที่กำลังทำงานของพวกเขา
“งั้น นายมีความคิดอะไรดี ๆ ไหม?”
เทเลอร์ได้ถามซอดัมโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
อย่างแรกเลยก็คือแม้แต่องค์กรพิเศษที่ดูแลเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะยังไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยเพราะงั้นเธอเลยไม่คิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าอีกสำหรับฮันเตอร์
นี่เป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่ซอดัมที่กำลังจะส่ายหน้าของเขา
แต่แล้วข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นภายในตัวของเขา
<สิ่งนี้จะนำทางไปสู่โลกที่ล้มสลายของพระราชวังเวทมนตร์ของจักรวรรดิจูลซ่า>
จักรวรรดิจูลซ่าหรอ?
ด้วยคำถามนี้เองอีกหนึ่งข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นมา
<โลกนี้ได้จบสิ้นเรียบร้อยแล้วทั้ง ‘บทส่งท้าย’ และ ‘ตัวเอก’ ไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไปแล้ว>
“หะ…?”
กระพริบตาของเขาไปมา ซอดัมจองมองไปที่ประตูขนาดยักษ์นี้
ลาดลายแปลก ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะมีหลักการบางอย่างอยู่เบื้องหลังพวกมัน ความรู้สึกที่คุ้นเคยทั้งยังไม่แตกต่างไปจากอะไรก็ตามที่เขาจำได้
ใช่แล้ว มันต้องเป็นวงเวทย์อย่างแน่นอนเลย