เมืองหลวง ที่อาคารการปกครอง
พ่อลู่เพิ่งจะทำงานเสร็จ คิดว่าจะกลับไปจัดการเรื่องในบ้าน
ใครจะคิดเพิ่งจะลงลิฟท์ไปชั้นล่าง ก็ถูกคนมาขวางไว้
“คุณลู่ คุณชายของฉันอยากจะคุยกับคุณสักหน่อย”
ชายที่เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
พ่อลู่มองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตามองข้ามพวกเขาไป มองรถเก๋งที่เปิดประตูอยู่ไม่ไกล
“อืม ฉันจะตามคุณไป”
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ ก็ตอบตกลง
เพียงแต่ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆเขากังวลใจไม่หยุด
“ท่านลู่?”
พ่อลู่ส่งสายตาบอกเขาให้สบายใจ แล้วเดินตามบอดี้การ์ดขึ้นรถไป
หลังจากเขาขึ้นรถ ก็เห็นชายในรถ ในแววตาก็ประกายความประหลาดใจ
ไม่ใช่ว่าเขารู้จักชายคนนี้ แต่เขาถูกพลังอำนาจของชายคนนี้ทำให้ตกใจ
ในรถที่มืดสลัว ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลา ดวงตาที่ชั่วร้ายคู่นั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เขาเอนหลังพิงเบาะรถอย่างเกียจคร้าน ไขว้ขาเรียวยาวคู่นั้นอย่างสบายๆ ทว่าเป็นท่วงท่าที่ดีมาก
“คุณลู่ คิดไม่ถึงว่าเราจะพบกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้”
เขาเล่นกับไฟแช็กในมือ พูดแล้วยิ้มเบาๆ
พ่อลู่มองแสงไฟอ่อนๆนั่น ในแววตาเต็มไปด้วยความระวังตัว
จากในคำพูดของชายคนนี้ เขาก็ฟังออก คนคนนี้รู้จักตัวตนของเขาเป็นอย่างดี
แต่เขาไม่รู้จักชายคนนี้
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”
เขาถามอย่างระมัดระวัง
เป็นธรรมดาที่ชายคนนั้นจะมองการเตรียมป้องกันของเขาออก หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า : “ฉันแซ่จ่าน ชื่อจริงคือสิงเทียน”
พ่อลู่ฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด ชื่อเสียงของจ่านสิงเทียนนี้ เขาน่าจะได้ยินมาไม่น้อย ทำเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา เป็นคนที่ทำให้องค์กรของเขาปวดหัวที่สุด
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าคนคนนี้ทำเรื่องผิดกฏหมาย แต่เขาก็ไม่มีจุดอ่อนที่จะให้จับได้
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายจ่าน ไม่ทราบว่าทำเช่นนี้เพื่ออะไรหรอ?”
ในใจเขาสับสนไปหมด แต่ไม่ปรากฏบนใบหน้า แล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ
จ่านสิงเทียนฟังคำพูดที่ไม่ได้ออกจากใจจริงของเขา ก็ยิ้มมุมปาก
“คุณลู่ ไม่ต้องตึงเครียดขนาดนี้หรอก จะว่าไป เราถือได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน”
พ่อลู่เม้มปาก มีความคัดค้านในแววตา
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นข้าราชการ ข้อห้ามก็คือห้ามเกี่ยวข้องกับคนประเภทนี้
“คุณชายจ่านพูดตลกแล้ว”
จ่านสิงเทียนได้ฟัง ก็เลิกคิ้วนิดๆ : “ดูเหมือนว่าคุณลู่จะไม่รู้ว่าฉันคือพ่อเด็กในท้องของลูกสาวคุณ”
พ่อลู่ตกตะลึง
“เป็นไปได้ยังไง?”
เขาอ้าปากค้างใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ใบหน้าเคร่งขรึมลงทันที
จ่านสิงเทียนเห็น เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าพ่อลู่โกรธ เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจ แล้วพูดจุดประสงค์ที่มาหาในครั้งนี้
“ฉันรู้ว่าพ่อลู่อาจจะไม่เห็นด้วยกับฉัน เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ในตอนนี้เราควรจะทิ้งไว้ข้างๆก่อน เรื่องที่สำคัญคือช่วยซือหยี่ออกมา คุณว่าไหม?”
พ่อลู่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
จ่านสิงเทียนไม่สนใจ พูดต่อว่า : “ฉันรู้ว่าพวกคุณให้คนไปจับกู้ฉางซินเพื่อใช่ข่มขู่เฟิงจิ่งเหยาแล้ว และเฟิงจิ่งเหยาก็ตอบรับเงื่อนไขของพวกคุณ เพียงแต่ว่า เรื่องต่อไป ฉันรู้สึกว่าไม่เหมาะที่คุณลู่แล้วก็ตระกูลลู่ที่จะออกหน้า”
พร้อมกับคำพูดนี้ออกมา ในแววตาของพ่อลู่ก็มีแสงประกาย
เห็นได้ชัดว่าที่จ่านสิงเทียนมาเพราะเตรียมการมาแล้ว ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพวกเขาจนแน่ใจแล้ว
“คุณอยากจะพูดว่าอะไร?”
พ่อลู่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจ้องมองจ่านสิงเทียน
จ่านสิงเทียนหัวเราะ ไม่ปฏิเสธที่จะพูด : “ฉันจะเป็นตัวแทนคุณไปทำธุรกิจกับเฟิงจิ่งเหยา”
ดวงตาของพ่อลู่เป็นประกาย แต่ไม่ตอบสนองกลับในทันที
เขาไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ คล้ายกับคิดอย่างลึกซึ้งและระมัดระวัง แล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“คุณชายจ่านพูดไม่เลว เรื่องนี้จริงๆให้พวกเราออกหน้าก็ไม่สะดวก ในเมื่อคุณชายจ่านมีกะจิตกะใจ งั้นก็รบกวนคุณชายจ่านแล้วกัน”
……
เวลาเดียวกันนี้ เฟิงจิ่งเหยาก็เดินทางมาถึงสำนักงานตำรวจ
อธิบดีมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“ประธานเฟิง ลมอะไรพัดคุณมาเนี่ย ไป พวกเราไปคุยกันที่ห้องทำงาน ฉันเพิ่งได้ชาดีๆมาหนึ่งห่อเมื่อไม่นานมานี้เอง พอดีเลยจะให้คุณลองดื่ม”
เขายิ้มแย้มทักทาย ยับยั้งเฟิงจิ่งเหยา
“ไม่ได้ ที่มาครั้งนี้มีเรื่องที่ต้องทำ”
เขาพูดพลาง ก็พูดเกี่ยวกับลู่ซือหยี่ “ฉันต้องการนำคนที่นี่ไป อธิบดีจะสะดวกไหม?”
“นี่มีอะไรสะดวกไม่สะดวก ประธานเฟิงต้องการคน ก็แค่เอาไป”
แบบนี้ ลู่ซือหยี่จึงถูกปล่อยออกมา
เดิมทีเธอคิดว่าพ่อแม่หาเงื่อนไขได้ จึงจัดการตนเองออกไป แต่คาดไม่ถึงเมื่อเห็นเป็นเฟิงจิ่งเหยา
ช่วงเวลาหนึ่ง ในสายตาเธอก็สับสนและใจเต้นอย่างยากที่จะอธิบาย
“พี่จิ่งเหยา……..”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินเสียงนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พาเธอขึ้นรถ!”
เขาไม่มองลู่ซือหยี่ กล่าวสั่งชวี่ยี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ไม่นานก็ขึ้นรถไปโดยไม่หันกลับมา
ลู่ซือหยี่เห็นเช่นนี้ ก็จะตามไปด้วยจิตสำนึก แต่ถูกมั่วหลีขัดขวางไว้
“คุณลู่ เชิญขึ้นรถ!”
เธอพูดพลาง ส่งสายตาให้บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ
พวกเขาเข้ามาแล้วบังคับให้ลู่ซือหยี่นั่งรถอีกคันหนึ่ง
“พวกคุณทำอะไร? ปล่อยฉัน!”
ลู่ซือหยี่ต่อสู้ดิ้นรน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
อย่างรวดเร็ว รถก็เคลื่อนออก
และอีกด้านหนึ่ง ตระกูลลู่
กู้ฉางฉิงถูกแม่ลู่ทรมานจนหมดสติไป
แต่ก็ยังไม่ปลดทุกข์ความแค้นในใจของแม่ลู่
ขณะที่เธอกำลังวางแผนสาดน้ำเรียกกู้ฉางฉิงให้ตื่น พ่อลู่ก็กลับมา
“ทำไมคุณถึงตีคนจนเป็นแบบนี้?”
พ่อลู่เห็นรอยแผลนับไม่ถ้วนของกู้ฉางฉิง ก็ขมวดคิ้วแน่น กล่าวถามอย่างไม่พอใจ
นี่ทำให้แม่ลู่ไม่พอใจขึ้นมา
“ทำไมถึงจะทำไม่ได้ เธอทำให้ซือหยี่ของเราทุกข์ทรมานมากแค่ไหน ไม่ฆ่าเธอก็ถือเป็นความเมตตาของฉันแล้ว!”
พ่อลู่เห็นความโกรธแค้นบนใบหน้าของเธอ ก็ขี้เกียจจะโต้เถียงกับเธอ
“คุณชายจ่าน คนเป็นแบบนี้ ทางด้านเฟิงจิ่งเหยาจะไม่ยอมยุติเรื่องราวไหม พวกเราต้องเตรียมร่วมมือกันไหม?”
เขาเอียงหน้าไปกล่าวถาม ในสายตามีความกังวลใจ
เวลานี้แม่ลู่ก็พบจ่านสิงเทียนอยู่ข้างๆพ่อลู่ ในสายตาก็แปลกใจ และอยากรู้อยากเห็น
ยังไม่รอให้เธอเอ่ยปากถาม จ่านสิงเทียนก็พูดก่อนว่า: “จำเป็นต้องร่วมมือกัน คุณให้คนพาผู้หญิงคนนี้ไปอาบน้ำก่อน เวลาร่วมมือทางธุรกิจใกล้จะถึงแล้ว ฉันจะรีบเข้าไปทันที”
พ่อลู่พยักหน้า เรียกพ่อบ้านเข้ามา ให้เขานำคนพากู้ฉางฉิงไปอาบน้ำ
และเพราะการกระทำนี้ทำให้กู้ฉางฉิง ฟื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
เธอสังเกตเห็นว่ามีคนดึงเสื้อผ้าของเธอ ก็ต่อต้านด้วยจิตสำนึก แต่บาดแผลทั่วทั้งตัวของเธอ ทำให้ไม่มีแรงต่อต้านโดยสิ้นเชิง ฉันทำได้เพียงให้สาวใช้เหล่านี้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ
หลังจากนั้นเธอก็ถูกประคองออกมาจากห้อง พบว่าตนเองถูกสามีภรรยาตระกูลลู่ส่งให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
แต่ยังไม่รอให้เธอได้ตำหนิ ก็ถูกตีจนสลบไป
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน พอเธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองถูกมัดอยู่บนรถ
เธอนึกถึงฉากก่อนที่จะถูกตีจนสลบไป สีหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป
เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอถูกสามีภภรยาตระกูลเฟิงส่งมอบให้กับใคร รวมทั้งไม่รู้ว่าตนเองจะถูกพาไปที่ไหน
เธอระงับให้ตนเองใจเย็น เวลาเดียวกันก็อดทนต่อความเจ็บปวดบนร่างกาย พยายามลุกขึ้นนั่งสังเกตสถานการณ์ด้านนอก
แต่สุดท้ายเธอก็ประเมินตนเองสูงไป การกระทำสองสามรอบไร้ประโยชน์ แต่กลับทำให้ตนเองเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ ทั่วทั้งตัวปวดจนถึงที่สุด