ู้ฉางฉิงนอนอยู่บนเบาะด้วยใบหน้าซีดเซียว ในแววตาสิ้นหวัง
เวลานี้ บนหัวของเธอมีเสียงหัวเราะเบาๆ
“ใคร?”
เธอเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก ตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็พบจ่านสิงเทียนใกล้ๆประตูรถ
เมื่อกี้เธอคิดแต่จะสังเกตุดูภายนอก เลยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
ยังไม่รอให้เธอได้พูดอีกครั้ง จ่านสิงเทียนก็แย่งพูดก่อนว่า : “คุณกู้ ถ้าฉันเป็นคุณ เวลานี้จะประหยัดพละกำลังอันน้อยนิดนี่ไว้”
กู้ฉางฉิงเม้มปาก ถามว่า : “คุณจะพาฉันไปไหน?”
จ่านสิงเทียนยับยั้งไว้ ยิ้มพูดว่า : “อีกสักครู่ คุณกู้ก็จะรู้”
เขาพูดจบ ก็ไม่ได้สนใจกู้ฉางฉิง เอนหลังบนเบาะหลับตาพักผ่อน
กู้ฉางฉิงรู้สึกได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากชายคนนี้ ชั่วขณะก็ไม่กล้าถามมาก
บวกกับความเจ็บปวดบนร่างกายทำให้เธอต้องอดทนจนถึงที่สุด อยู่ในอาการสะลึมสะลือหมดสติอีกครั้ง
เธอหมดสติไปไม่นาน รถคันก็จอดอยู่ในโรงงานร้างชานเมือง
“Boss พวกเฟิงจิ่งเหยาอยู่ที่โรงงานแล้ว”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบมารายงานหลังจากตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบแล้ว : “โดยรอบไม่ทีการดักซุ่มโจมตี เฟิงจิ่งเหยาพาบอดี้การ์ดมาสองสามคน”
จ่านสิงเทียนพยักหน้า โบกมือให้ลูกน้องออกไป แล้วหันมองกู้ฉางฉิงที่หมดสติอยู่บนเบาะ
เขาไม่ได้อ่อนโยนต่อผู้หญิงเลย ลากกู้ฉางฉิงที่ไม่ได้สติลงจากรถ เดินไปทางโกดัง
ในโกดัง ลู่ซือหยี่อยากจะพูดคุยกับเฟิงจิ่งเหยาหลายครั้ง แต่เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สนใจเธอเลย
เธอถูกบอดี้การ์ดสองคนควบคุมไว้ จนปัญญาที่จะเดินไปตรงหน้าเฟิงจิ่งเหยา ได้แต่ยืนโมโหอยู่กับที่
ไม่นาน เธอก็เห็นว่ามีคนเดินมาจากนอกโกดัง
เมื่อเธอเห็นชายคนนั้นเดินเข้ามา บนใบหน้าก็มีความตกตะลึงและตื่นตระหนก
เฟิงจิ่งเหยาก็สังเกตเห็นว่ามีคนมา
แต่สายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่ชายคนนั้น แต่เป็นร่างของกู้ฉางฉิงที่ถูกเขาจับอยู่ในมือ
แค่เห็นกู้ฉางฉิงกระอักกระอ่วนไปทั้งตัว เดิมทีแก้มที่มีเลือดฝาดตอนนี้ก็ซีดเผือดอย่างผิดปกติ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนอดทนต่อความเจ็บปวดทรมาน
เขาเห็นสีหน้าก็เคร่งขรึมลง ความดุร้ายค่อยๆรวบรวมกันในแววตา
“ตอนนี้ก็แลกเปลี่ยนตัวประกันได้!”
เขาไม่สนใจตัวตนของจ่านสิงเทียน เสนอข้อตกลงทันที
จ่านสิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้คัดค้าน
เขาส่งสายตาให้ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ให้เขาพากู้ฉางฉืงไปส่ง
ในเวลาเดียวกันมั่วหลีกํนำลู่ซือหยี่มาส่งให้พวกเขาเช่นกัน
ช่วงเวลาไม่ถึงสามนาที ก็แลกเปลี่ยนกันเสร็จ
เฟิงจิ่งเหยาประคองกู้ฉางฉิงที่ถูกส่งกลับมา ตบๆแก้มเธอเบาๆ “ฉางซิน ตื่นตื่น”
กู้ฉางฉิงไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับ หัวก็เอียงไปด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นบาดแผลจากแส้ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า
เฟิงจิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะตกใจ ก็ต้องการตรวจสอบโดยจิตใต้สำนึก ทว่าทำมห้กู้ฉางฉิงเจ็บปวด ทำให้เธอร้องออกมาทั้งๆที่หมดสติ
เขาเยือกเย็นลงในชั่วพริบตา อุ้มกู้ฉางฉิงขึเนแล้วเดินไปด้านนอก
“มั่วหลี ออกรถ ไปโรงพยาบาล
ในน้ำเสียง นำพาด้วยความกังวลใจโดยที่เขาเองไม่ทันสังเกตเห็น
ลู่ซือหยี่เห็นเขาออกไป ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความริษยาและไม่ยินยอม
เวลานี้ ใบหน้าของเธอก็ถูกบีบจนแน่น
“เจ็บ——”
เธอร้องด้วยดวงตาที่แดงกล่ำ แก้มขาวๆถูกบีบจนเปลี่ยนรูปร่าง
“คุณผู้หญิง คุณลืมคำเตือนของฉันไปแล้วใช่ไหม?”
จ่านสิงเทียนสีหน้าเคร่งขรึม ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด : “ใครให้คุณใจกล้า มองผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉัน?”
ลู่ซือหยี่เห็นเช่นนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เธออดไม่ได้ที่จะโมโหในใจ รีบส่ายหัวซ้ำๆ
“ฉันเปล่า ฉันแค่ไม่ยินดีที่จะปล่อยนังสารเลวนั่นไปเช่นนี้!”
ใจเธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เชื่อ จึงหาข้ออ้างปิดบัง
จ่านสิงเทียนจ้องมองเธอ เห็นในสายตาเธอไม่ได้ปกปิดอะไร จึงปล่อยเธอ
“จำไว้ ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงของฉัน ถ้าฉันเห็นคุณมองผู้ชายคนอื่นอีก ฉันจะควักดวงตาคุณออกมา!”
ลู่ซือหยี่ได้ฟัง ก็อดตัวสั่นไม่ได้ ในใจยิ่งเดือดดาลไม่หยุด แต่ไม่กล้าโต้แย้ง
เพราะเธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้พูดจริงทำจริง
ช่วงเวลาหนึ่ง เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจ
แน่นอนว่าจ่านสิงเทียนสังเกตเห็นได้ โอบเธอเดินเดินไปยังด้านนอกอย่างตบหัวแล้วลูบหลัง
“คุณไม่ต้องรู้สึกน้อยใจ แม่ของคุณสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นแทนคุณแล้ว!”
เขาพูดพลาง ก็เอ่ยเรื่องที่แม่ลู่ใช้แส้ตีกู้ฉางฉิงเล่าให้ฟังเล็กน้อย ลู่ซือหยี่จึงคลายความอาฆาตแค้นไปเล็กน้อย
……
ทางด้านเฟิงจิ่งเหยารีบไปโรงพยาบาลทันที
เพราะรถขับเร็วมาก ทำให้โคลงเคลงเล็กน้อย บาดแผลบนร่างกายที่ถูกตีด้วยแส้ของกู้ฉางฉิงฉีกขาดเล็กน้อย มีเลือดซิบๆซึมออกมา
เฟิงจิ่งเหยียนสังเกตเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“ขับเร็วหน่อย แล้วเอาฉากกั้นลงมา”
เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ในขณะเดียวกันก็ปลดเสื้อผ้าของกู้ฉางฉิงออกด้วยความกังวลใจที่เขาไม่ทันสังเกต
รอยตีด้วยแส้ที่ลายพร้อยปรากฎต่อสายตาของเขาในชั่วพริบตา ทำให้เขาต้องตกตะลึง ความดุร้ายในใจก็ทะยานขึ้น
“ตระกูลลู่ ดีมาก ดีอย่างมาก!”
เขากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วสวมเสื้อผ้าให้กู้ฉางฉิงใหม่อีกครั้ง
กู้ฉางฉิงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะได้กลิ่นที่คุ้นเคยบนร่างกายของเขาหรือไม่จึงคว้ามุมเสื้อของเขาไว้แน่น พูดพึมพำเบาๆอย่างเจ็บปวดทรมาน “เฟิงจิ่งเหยา ฉันเจ็บ”
เฟิงจิ่งเหยามองใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ หัวใจก็เจ็บปวด
“เชื่อฟังนะ เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว อดทนอีกหน่อยนะ”
เขาสัมผัสที่ศีรษะของเธอ กล่าวปลอบโยนเบาๆ
กู้ฉางฉิงสะลึมสะบือฟังไม่ชัดเจนว่าเขาพูดอะไร แต่สังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ข้างกายคือเฟิงจิ่งเหยา จึงผ่อนคลายลงมาแล้วอิงซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินลมหายใจที่มั่นคงของเธอแล้ว ก็รู้ว่าปลอบขวัญได้แล้ว จึงหยิบมือถือโทรไปยังชวี่ยี่
“ชวี่ยี่ ฟ้องร้องลู่ซื่อกรุ๊ปทันทีในข้อหาลักพาตัวและฆาตกรรมโดยเจตนา!”
“ครับ!”
ชวี่ยี่ได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วนความโกรธแค้นของเฟิงจิ่งเหยา ก็ไม่กล้าเบนความสนใจแม้แต่น้อย ตอบรับด้วยเสียงเคร่งขรึม
เฟิงจิ่งเหยากล่าวต่อไปว่า: “ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ส่งข้อมูลที่รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ให้กระทรวงยุติธรรม รายงานลู่หงกั๋วต่อทางรสชการโดยไม่ออกนาม ฉันต้องการให้หลังจากวันนี้ไป ไม่มีตระกูลลู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป!”
ชวี่ยี่ตกตะลึง ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วตอบรับว่า: “ครับ!”
เฟิงจิ่งเหยาจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ ก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว
เขาอุ้มกู้ฉางฉิงลงจากรถอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน
หลี่ม่านที่ตามหลังมา เห็นความกังวลจากด้านหลังของเขา ก็อดกลั้นไฟอิจฉาในใจไว้ไม่อยู่
น่ารังเกียจจริงๆ ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงไม่ตายที่ตระกูลลู่นะ!
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สังเกตเห็นถึงสายตาที่ดุร้ายของเธอ อุ้มกู้ฉางฉิงไปให้หมอตรวจทันที
“ประธานเฟิง คุณผู้หญิงท่านนี้มีบาดแผลแส้บนร่างกายอย่างมาก บาดแผลก็ลึกอย่างมาก อาจจะมีการติดเชื้อได้ เห็นว่าต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล”
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หมอก็ตรวจเสร็จ เดินออกมาบอกอาการด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เฟิงจิ่งเหยาได้ยิน สีหน้าก็ไม่น่าดูถึงที่สุด
มั่วหลี อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แต่ก็ถูกเธอซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว
“คุณผู้ชาย ฉันจะไปช่วยทำขั้นตอนการนอนโรงพยาบาลให้คุณนายรอง”
เธอเอ่ยปาก เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้า
“จัดการขั้นตอนเสร็จ คุณก็กลับไปเอาเสื้อที่ใช้เปลี่ยนของกู้ฉางฉิงมาด้วย”
มั่วหลีตกตะลึง ในใจก็ขัดขืนอย่างมาก แต่ยังพยักหน้าตอบรับ
กู้ฉางฉิงถูกส่งไปยังห้องผู้ป่วย
เฟิงจิ่งเหยาเห็นกู้ฉางฉิงหลับสนิท ก็หยิบมือถือวางแผนที่จะติดต่อชวี่ยี่ถามถึงเรื่องแผนการทำงาน