เวลานี้ฉับพลันกู้ฉางฉิงก็เข้าใจเรื่องราว
ก่อนหน้านี้ที่มั่วหลีทิ้งเธอไว้ เดิมทีไม่ใช่ว่ารีบร้อนที่จะช่วยจิ่งเหยา แต่ต้องการอยากให้เธอตาย!
คิดถึงตรงนี้ ในดวงตากู้ฉางฉิงก็หนาวเหน็บขึ้นมา
เธอบังคับให้ตนเองใจเย็นลง พักอยู่ที่จุดบอดนี้เป็นเวลานาน รอทางด้านเย่าซือนั้นค้นหาเสร็จ แล้วแยกย้ายออกไป จึงถอนหายใจแล้วนั่งลงกับพื้น
สายลมเย็นๆกำลังพัดมา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น
เวลานี้ เธอจึงรู้สึกตกใจด้านหลังของตนเองไม่รู้ว่าเหงื่อเปียกชุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอรอสักพัก รอให้ชวี่ยี่และคนอื่นมาหา
แต่เธอไม่รู้ว่ารอนานเท่าไหร่แล้ว ก็ไม่เห็นว่าบนถนนนี้จะมีคน ในใจอดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย โดยเฉพาะในใจเธอที่ยังคงนึกถึงการบาดเจ็บของเฟิงจิ่งเหยา
ท้ายที่สุด เธอตัดสินใจรออีกสิบนาที ถ้าสิบนาทีแล้วชวี่ยี่ยังไม่มา เธอก็จะออกไปเอง
ทันทีหลังจากนั้น กู้ฉางฉิงคาดว่าเกือบจะสิบนาทีแล้ว ยังไม่เห็นว่าชวี่ยี่จะมา ก็ไม่คิดจะรอต่อไป ก็เลยวิ่งไปทางตรงข้ามที่พวกเย่าซือออกไป
แสงสลัวๆบนถนน มีแค่เธอที่วิ่งอยู่คนเดียวอย่างสุดกำลัง ความเงียบรอบๆตัวทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างชัดเจนมาก
พูดตามเหตุผล สภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดเช่นนี้ ก็น่าจะทำให้กู้ฉางฉิงรู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าในใจเธอเป็นห่วงเฟิงจิ่งเหยา เลยไม่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้
ก็ไม่รู้ว่าเธอวิ่งนานแค่ไหน เมื่อเธอหอบจนแทบวิ่งไม่ไหว ในที่สุดก็ทำให้เธอเห็นรถสองสามคันวิ่งเร็วมากอยู่ไกลๆ
แววตาเธอประกายความดีใจ วิ่งออกไปโดยไม่คิด
คนขับจู่ๆก็เห็นคนโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะชวี่ยี่ที่นั่งคู่กับคนขับ ชั่วพริบตาก็มองออกว่าเธอคือกู้ฉางฉิง
“จอดรถ!”
เขาตะโกนเสียงเฉียบขาดรูม่านตาหดแน่น ลูกน้องที่ขับรถอยู่ก็เบรกทันที
พูดได้ว่า ทันทีที่เขาสั่งคำสั่งนี้
รถก็มาหยุดอยู่ใกล้ๆเข่ากู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงได้ยินเสียงเบรกรถที่แสบแก้วหูนั่น ร่างกายก็รับรู้ถึงความรู้สึกอีกครั้ง ใบหน้าก็อนาถขึ้นมา
เธอเสียใจกับแรงกระตุ้นเมื่อกี้
ถ้าไม่ใช่เพราะคนขับเบรกทัน เวลานี้เธอก็ถูกชนลอยไปแล้ว
“คุณนายรอง คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ชวี่ยี่สติกลับมา ทันทีที่ลงจากรถก็ถามอย่างเป็นห่วง
กู้ฉางฉิงได้ยินเสียง ที่ตกใจอยู่ก็มีสติกลับมา : “ชวี่ยี่!”
เธอถอนหายใจ แล้วจับคว้าชวี่ยี่อย่างกระวนกระวายใจทันที พูดอย่างตึงเครียด : “ฉันไม่เป็นไร คุณรีบตามมั่วหลีไป จิ่งเหยาได้รับบาดเจ็บ”
ชวี่ยี่ได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
……
และในเวลาเดียวกันนี้ โรงพยาบาลเอกชนภายใต้การบริหารเฟิงซื่อกรุ๊ป
มั่วหลีขับแซงรถตลอดทาง แล้วส่งเฟิงจิ่งเหยาเข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน
หมอพยาบาลได้จัดการเบื้องต้นแล้ว ดำเนินการช่วยเหลือโดยเก็บเป็นความลับ
พวกเขาเอากระสุนออกมาจากไหล่ของเฟิงจิ่งเหยา แล้วเย็บบาดแผล จึงส่งคนออกมา
“อาการคุณผู้ชายเป็นอย่างไรบ้าง?”
มั่วหลีเห็นเฟิงจิ่งเหยาออกมา ก็เป็นห่วงเดินเข้าไปข้างหน้าทันที
“ท่านประธานไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เอากระสุนออกมาแล้ว รอหมดยาสลบก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”
หมอตอบกลับตามความเป็นจริง มั่วหลีถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอช่วยพยาบาลเอาเฟิงจิ่งเหยาไปพักที่ห้องผู้ป่วย จากนั้นก็ดูแลอยู่ที่ห้องผู้ป่วย
เห็นเฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้วแม้ว่าจะหมดสติก็ตาม เพียงแต่มันไม่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขา แต่กลับสง่างามอย่างแปลกประหลาด
มั่วหลีเห็น ก็ห้ามใจไม่ไหวที่จะหลงใหลขึ้นมา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ยาสลบเฟิงจิ่งเหยาค่อยๆถดถอย
ขนตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยและลืมตาขึ้น งุนงงอยู่ชั่วขณะ
“คุณผู้ชาย คุณฟื้นแล้ว!”
มั่วหลีเห็นเขาตื่นขึ้นมา ก้มลงไปมองอย่างเป็นห่วง : “เจ็บแผลไหม?” ต้องให้ฉันเรียกหมอมาไหม?”
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเธอ ความงุนงงในสายตาก็ถอยกลับในชั่วพรอบตา แล้วเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา
เขาไม่ได้สนใจมั่วหลี พยายามลุกขึ้นจากเตียง
“คุณผู้ชาย คุณทำอะไร?”
มั่วหลีเห็นเช่นนี้ ก็รีบยับยั้ง
“หลีกไป!”
เฟิงจิ่งเหยาผลักเธอออกด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ต้องการจะไปดึงหัวเข็มที่รักษาอาการบาดเจ็บออก
มั่วหลีตื่นตกใจ รีบคว้ามือของเฟิงจิ่งเหยา
“คุณผู้ชาย ดึงไม่ได้นะ!”
“ไปให้พ้น! อย่ามาขวางฉันจะไปตามหาคน!”
เฟิงจิ่งเหยาสลัดเธอออก ตำหนิด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
มั่วหลีเข้าใจขึ้นมาทันใด คุณผู้ชายของเธอวางแผนที่จะไปตามหากู้ฉางซิน ในใจก็กลับมารู้สึกอิจฉา แต่ยังอดกลั้นพูดโน้มน้าว
“คุณผู้ชาย คุณนายรองไม่เป็นไรหรอก เมื่อกี้ชวี่ยี่โทรศัพท์มาว่า รับคุณนายรองมาแล้ว!”
เฟิงจิ่งเหยาฟังถึงคำพูดนี้ จึงหยุดดิ้นรน
เขาจ้องมองมั่วหลีด้วยสายตาที่เยือกเย็น กล่าวถามด้วยความโมโหว่า: “มั่วหลี ฉันตามใจคุณมากเกินไปใช่ไหม จนทำให้คุณลืมว่าฐานะตนเองคืออะไรจนถึงบัดนี้!”
มั่วหลีได้ยิน ในก็สั่นเล็กน้อย
เธอรู้ว่าคุณผู้ชายจะต้องคิดบัญชีเรื่องเมื่อกี้กับเธอ
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เฟิงจิ่งเหยาจะสลบ แต่สติสัมปชัญญะยังคงมีอยู่บ้าง
เขาได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองเข้ามาในหูชัดเจน
“ทิ้งฉางซินไว้สถานที่แบบนั้น คุณกล้าทำได้ยังไง?”
เผชิญหน้ากับคำถามของเฟิงจิ่งเหยา มั่วหลีกัดริมฝีปาก “ในตอนนั้นฉันเห็นว่าคุณผู้ชาย………”
เธออยากพูดแก้ตัว แต่คำพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเฟิงจิ่งเหยาตัดบท
“ฉันไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น หน้าที่ครั้งนี้จบสิ้นแล้ว คุณก็ไสหัวกลับไปต่างประเทศ อย่าให้ฉันเห็นหน้าคุณอีก!”
มั่วหลีเงยหน้าทันที ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าก็ขาวซีดขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณผู้ชาย คุณไล่ฉันหรอ?”
เพิ่งพูดจบไป ทันทีกู้ฉางฉิงก็พุ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู
“จิ่งเหยา!”
เธอเห็นเฟิงจิ่งเหยาฟื้นแล้ว ความกังวลใจที่มีมาโดยตลอดก็ปล่อยวางลง
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเธออยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
เขากล่าวถามอย่างเป็นห่วง
กู้ฉางฉิงส่ายหน้าแสดงออกว่าตนเองไม่เป็นอะไร
ทันใดเธอก็นึกถึงบาดแผลบนร่างกายของเฟิงจิ่งเหยา กล่าวถามอย่างกังวลใจว่า: “คุณล่ะ บาดเจ็บตรงไหน?”
เฟิงจิ่งเหยาไม่อยากให้กู้ฉางฉิงเป็นกังวล ยิ้มแล้วกล่าวว่า: “คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฉันบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ต้องเป็นกังวล”
มั่วหลีฟังถึงคำพูดนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย
เธออ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ได้รับแววตาที่โหดเหี้ยมของเฟิงจิ่งเหยา คนก็ตัวสั่นเล็กน้อย คำพูดในปากก็ถูกเธอกลืนลงคอไป
แน่นอนว่ากู้ฉางฉิงเห็นถึงการกระทำของคนทั้งสอง
เธอรู่ว่านี่คือเฟิงจิ่งเหยาไม่อยากให้เธอเป็นกังวล ก็เลยไม่ถามอีก เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ที่หน้าผากยังมีเหงื่อออก ประคองเขาให้เอนนอนลงบนที่นอนทาทามิอย่างเจ็บปวดใจ
“ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องนอนพักฟื้นให้ดีๆ อย่าทำให้ตนเองบาดเจ็บ”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินคำพูดที่เป็นห่วงของเธอ ความเยือกเย็นบนใบหน้าก็ค่อยๆคลายไป อมยิ้มแล้วเอนตัวนอนลงบนที่นอนทาทามิ
กู้ฉางฉิงเห็นเขาเอนตัวนอนลงบนที่นอนทาทามิอย่างเชื่อฟัง จึงลุกขึ้นยืน จากนั้นยังพบว่ามั่วหลียังยืนอยู่ในห้องผู้ป่วย ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณยังยืนอยู่ที่นี่ทำอะไร? ไม่เห็นหรอว่าจิ่งเหยาจะพักผ่อน? ออกไป!”
มั่วหลีได้ยิน สีหน้าก็ไม่น้าดูขึ้นมาเล็กน้อย
เธออ้าปากอยากจะโต้แย้ง แต่ก็เกรงกลัวเฟิงจิ่งเหยา
สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงส่งสายตามองไปยังเฟิงจิ่งเหยา หวังว่าเขาจะสามารถทำให้ตนเองอยู่ได้
แต่เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สนใจเธอโดยสิ้นเชิง สายตามองอยู่ที่กู้ฉางฉิงตลอด
ช่วงเวลาหนึ่ง สีหน้าของเธอก็ไม่น่าดูถึงขีดสุด ไฟอิจฉาที่อยู่ในใจก็กลับขึ้นมา แต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงหันตัวออกไป
เธอออกจากห้องผู้ป่วยแล้ว ไม่เต็มใจที่จะจากไปแบบนี้ ยืนอยู่ที่หน้าประตูจ้องมองไปที่ห้องผู้ป่วยอย่างอาลัยอาวรณ์