ในวันนั้น มั่วหลีก็โทรหาคุณผู้ชายของตนเอง
มีธุระอะไร?”
โทรศัพท์ถูกรับ น้ำเสียงเย็นชาของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังจากในสาย
มั่วหลีได้ยินน้ำเสียงที่ห่างเหินนี้ ฉับพลันก็รู้สึกน้อยใจ
“คุณผู้ชาย……”
เธอพูดเสียงเบาๆ คำที่อยากจะพูดก็พูดไม่ออก
เฟิงจิ่งเหยาเมื่อได้ยินเสียงปลายสายก็ขมวดคิ้ว
“มีอะไร?”
เจาถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
มั่วหลีได้แต่เก็บอารมณ์ ถามว่า : “ฉันอยากจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วจับคนคนนั้นได้ไหม?”
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้พบความผิดแปลกในน้ำเสียงของเธอ ตอบกลับเรื่องงาน : “ยังไม่มี เรื่องเหล่านี้คุณไม่ต้องสนใจหรอก พักผ่อนให้เพียงพอเถอะ”
มั่วหลีได้ฟังคำพูดเป็นห่วงนี้ ความขมขื่นในใจค่อยๆลดลง ยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณ ก็ถูกเฟิงจิ่งเหยาตัดบทว่า
“ฉันยังมีงาน คุณมีเรื่องอะไรก็ติดต่อชวี่ยี่ เขาจัดการให้คุณได้”
มั่วหลีได้ฟังคำพูดที่เย็นชานี้ แล้วมองโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป ในใจก็ไม่สบายใจอย่างมาก
ทำไมคุณผู้ชายถึงทำกิริยากับเธอเช่นนี้?
นี่มันไม่ถูกต้อง!
แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นจะสร้างความบาดหมางในความสัมพันธ์ของเธอกับคุณผู้ชายในช่วงที่เธอได้รับความบาดเจ็บอยู่
มิเช่นนั้นก่อนหน้าที่เธอจะได้รับบาดเจ็บ คุณผู้ชายยังถามไถ่ทุกข์สุข เดิมทีไม่ใช่ท่าทางเย็นชาเช่นนี้
เธอไม่ยินยอม เธอต้องแย่งความสนใจของคุณผู้ชายกลับคืนมาให้ได้
คิดเสร็จ เขาก็กดเรียกพยาบาล
“ฉันต้องการออกจากโรงพยาบาล!”
รอพยาบาลมา เธอก็พูดข้อเรียกร้องออกไป
“แต่แผลของคุณยังไม่หายดี จำเป็นต้องอยู่สังเกตอาการที่โรงพยาบาลนะ!”
พยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่รู้ว่าคนๆนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับประธานของพวกเธอ ไม่กล้าผิดใจ พูดโน้มน้าวดีๆ
แต่ไม่สามารถต้านทานจิตใจที่มั่นคงของมั่วหลีได้
พยาบาลจนปัญญา ได้แต่ติดต่อชวี่ยี่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้
“คุณรอก่อน ฉันจะไปถามท่านประธาน แล้วจะให้คำตอบคุณอีกที”
ชวี่ยี่ไม่กล้าจัดการตามอำเภอใจ กำชับหมอเสร็จ ก็ไม่ขอคำสั่งจากเฟิงจิ่งเหยา
“ท่านประธาน ทางด้านคุณมั่วต้องการจะออกจากโรงพยาบาล แต่หมอบอกว่าแผลคุณมั่วยังไม่หายดี คุณว่าจะให้จัดการอย่างไร?”
เฟิงจิ่งเหยาได้ฟังคำนี้ ก็คิ้วขมวด
“เธอคิดยังไง?”
ชวี่ยี่ผายมือ บอกใบ้ว่าเขาก็ไม่รู้
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเช่นนั้น ก็นวดหัวคิ้วอย่างปวดหัว : “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะถาม”
ในโรงพยาบาล มั่วหลีรู้ว่าหมอวิ่งไปติดต่อเฟิงจิงเหยา ฉับพลันในใจก็กระวนกระวาย เฝ้ารอเล็กน้อย
ในเวลานี้เธอได้รับโทรศัพท์จากเฟิงจิ่งเหยา ปกปิดอาการใจสั่นไว้ไม่ไหว
ดูๆแล้ว คุณผู้ชายยังคงห่วงใยเธออยู่
เฟิงจิ่งเหยาไม่รู้ความคิดของเธอ หลังจากรู้ว่าส่งโทรศัพท์ให้มั่วหลีแล้ว ก็ถามตรงๆว่า : “ทำไมต้องการออกจากโรงพยาบาล”
มั่วหลีอมยิ้มตอบกลับว่า : “มั่วจุยยังไม่ส่งคนมาที่นี่ ในบ้านไม่มีคนเฝ้าดูความปลอดภัย ฉันไม่ไว้วางใจ”
เฟิงจิ่งเหยาขมวดคิ้ว
มั่วหลีมองเห็น เพียงแต่ในความเงียบของเขายังฟังออกว่าไม่พอใจเล็กน้อย
“แน่นอน อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะฉันไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาล คุณผู้ชาย คุณให้ฉันออกไปเถอะนะ”
พูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็ออดอ้อนเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
เพียงแต่เฟิงจิ่งเหยาฟังไม่ออก
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยังคงเห็นด้วย
“ฉันรู้แล้ว ฉันจะจัดให้คนไปรับคุณกลับมา”
มั่วหลีได้ฟังคำนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็สดใสยิ่งขึ้น
“ขอบคุณคุณผู้ชาย”
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้พูดอะไร วางสายแล้วก็ไปจัดการ
บ่ายวันนั้น มั่วหลีก็ออกจากโรงพยาบาลกลับมาที่ตระกูลเฟิง
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นมั่วหลีปรากฏตัวที่ตระกูลเฟิง ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“คุณกลับมาได้อย่างไร?”
มั่วหลีฟังถึงคำพูดนี้ รู้สึกไม่พอใจ ตอบกลับด้วยเสียงที่ฉุนว่า “ทำไม? ฉันกลับมาไม่ได้หรอ?”
กู้ฉางฉิงฟังน้ำเสียงของเธอที่แฝงไปด้วยความดุเดือดนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายถึง ร่างกายของคุณบาดเจ็บ หมออนุญาตให้คุณออกจากโรงพยาบาลได้ยังไง?”
มั่วหลีได้ยิน ก็คล้ายกับนึกถึงอะไรได้ เชิดคางอย่างลำพองใจ พูดโป้ปดว่า: “เดิมทีหมอก็ไม่เห็นด้วยหรอก แต่ฉันบอกกับคุณผู้ชายว่าฉันไม่ชอบโรงพยาบาล คุณผู้ชายก็เลยให้ฉันกลับมา”
กู้ฉางฉิงจะฟังไม่ออกถึงความโป้ปดในคำพูดของเธอได้อย่างไร ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจ
เพราะเธอรู้ว่าเฟิงจิ่งเหยาไม่มีความคิดอื่นต่อเธอโดยสิ้นเชิง
“อ้อ งั้นคุณก็พักฟื้นให้เต็มที่แล้วกัน”
เธอตอบรับด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วหันเดินกลับห้องไป
มั่วหลีเห็นเธอจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ก็โมโหจนกัดฟันแน่น
เธอพูดไปแบบนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่โกรธ ดูแล้วเธอคงไม่ค่อยสนใจคุณผู้ชาย เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าที่แต่งงานเข้ามาก็เพื่อทรัพย์สินเงินทองของคุณผู้ชายจริงๆ
เธอคิดพลาง ก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะคิดจัดการให้ผู้หญิงคนนี้ออกไป
กู้ฉางฉิงไม่ได้รับรู้
เธอกลับมายังห้องหมกมุ่นกับงานอีกครั้ง
รอถึงตอนเย็น เฟิงจิ่งเกยากลับมา คนทั้งสองก็รับประทานอาหารด้วยกัน
ใครจะคิดว่าพอนั่งลง มั่วหลีที่เดิมที่ควรจะพักฟื้นอยู่ที่ห้องก็ปรากฎตัวออกมาที่ห้องอาหาร
“คุณผู้ชาย”
มั่วหลีอดทนต่อบาดแผลบนร่างกาย อยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“คุณออกมาได้ยังไง? ไม่ใช่ให้คุณพักฟื้นให้เต็มที่หรอ?”
เฟิงจิ่งเหยามองเธอ ก็ขมวดคิ้วแน่น
มั่วหลีถูกถามสีหน้าก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ
“ฉันอยู่ในห้องเฉยๆก็เบื่อ พอได้ยินว่าคุณกลับมาแล้ว ก็อยากจะมารับประทานอาหารด้วยกันกับคุณ”
เธอพูดอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเฟิงจิ่งเหยาจะแสดงความไม่พอใจออกมา
โชคดีที่เฟิงจิ่งเหยาเพียงแค่พยักหน้าอย่างเย็นชา
ก็เพราะแบบนี้ ทำให้ความระมัดระวังบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นดีใจ
“ใช่แล้ว ฉันยังให้ทางห้องครัวตุ๋นซุปโสมไว้ด้วย คุณผู้ชายเหน็ดเหนื่อยทุกวันขนาดนี้ ควรจะต้องบำรุงให้มากๆ”
เธอพูดจบ ก็กวักมือเรียกพ่อบ้านด้วยท่าทางที่ราวกับคุณผู้หญิง
“พ่อบ้าน ยกซุปโสมออกมาให้คุณผู้ชาย”
กู้ฉางฉิงฟังแล้ว ก็ขมวดคิ้ว
เธอมองไปยังเฟิงจิ่งเหยาด้วยจิตสำนึก
เฟิงจิ่งเหยาคล้ายกับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร เห็นสายตาของเธอ ในสายตาก็งุนงง
“เป็นอะไรไป?”
กู้ฉางฉิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้ฟังไม่ออกถึงความผิดปกติในคำพูดเมื่อกี้
เวลานี้ พ่อบ้านก็ยกซุปโสมเดินออกมา
“คุณผู้ชาย คุณลองชิม นี่ตอนบ่ายฉันให้ห้องครัวตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆเลยนะ”
“มีกะจิตกะใจ”
เฟิงจิ่งเหยาตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ไม่ได้สนใจที่จะดื่ม กลับสั่งพ่อบ้านว่า: “ตักมาให้คุณนายรองถ้วยหนึ่ง”
พ่อบ้านรับคำสั่ง รีบกลับไปยกออกมาอีกถ้วยหนึ่ง
“คุณดื่มเยอะๆหน่อย ก่อนหน้านี้เสียเลือดไปมาก กลัวว่าร่างกายจะอ่อนแออย่างรุนแรง”
กู้ฉางฉิงมองซุปโสมตรงหน้า ในใจก็ซาบซึ้งขึ้นมาฉับพลัน
เธออมยิ้มยกถ้วยขึ้น ดื่มซุปโสมอึกเดียวเกลี้ยง
พอเธอวางถ้วยซุปลงก็มองไปยังมั่วหลีด้วยจิตสำนึก
มั่วหลีแสดงใบหน้าที่บิดเบี้ยว
ผู้หญิงคนนี้กล้าดีดื่มซุปโสมที่เธอตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณผู้ชายได้ยังไง!
ก็ไม่รู้ว่าอยู่กับเฟิงจิ่งเหยามานานหรือไม่ กู้ฉางฉิงเห็นสีหน้าที่ไม่หน้าดูของมั่วหลี ทันใดในใจก็อยากจะกระตุ้นทำให้คนอื่นอับอาย
“รสชาติไม่เลวเลย ดูท่าห้องครัวจะใส่ฝีมือลงไป”
เธอชมเชยพ่อบ้าน มั่วหลีโมโหจนแทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่
แต่เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้เห็น เห็นกู้ฉางฉิงชอบดื่ม ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า: “รสชาติดี พรุ่งนี้ก็ให้ห้องครัวตุ๋นต่อ จะได้บำรุงร่างกายของคุณ”
กู้ฉางฉิงหยุดชะงักไปทันที
ถึงแม้เธอจะไม่ปฏิเสธซุปบำรุง แต่ถ้าดื่มทุกวัน ก็ทำให้เธอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่บ้านใหญ่ส่งซุปบำรุงมาให้ ก็หนังศีรษะชาขึ้นมาทันทีทันใด