เฟิงจิ่งเหยาคว้ามือที่ทุบตีวุ่นวายของกู้ฉางฉิง เอามาจูบ
“ฉันผิดเอง”
ท่าทีรู้สึกผิดของเขานี้ทำให้กู้ฉางฉิงตกตะลึง
ชวี่ยี่กลับมาอีกครั้ง ก็เห็นภาพอันอบอุ่นนี้
เขากระแอมเบาๆ ให้ทั้งสองคนสนใจเขา
“ผู้ช่วยพิเศษชวี่!”
หู้ฉางฉิงสติกลับมา พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย
ส่วนเฟิงจิ่งเหยา ก็สงบไม่สะทกสะท้าน
“คนล่ะ?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชวี่ยี่รู้ว่าเขาถามถึงเจียวหนู จึงตอบกลับด้วยความเคารพว่า : “หนีไปแล้ว แต่ฉันได้ส่งคนติดตามไปแล้ว”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้า
ชวี่ยี่เห็นเช่นนั้น จึงถามต่อว่า : “ท่านประธาน ตอนนี้ให้ฉันจัดคนมาส่งคุณกลับไปไหม?”
เฟิงจิ่งเหยาคิดๆแล้ว ก็พยักหน้า : “ส่งฉันไปที่สวนยู่จิ่ง แล้วเรียกหนานกงเช่อมาด้วย”
ชวี่ยี่พยักหน้า รอการเตรียมการเหล่านี้ดีแล้ว เขาก็ช่วยกู้ฉางฉิงประคองคนออกไป
แน่นอนว่าพวกเขายังแจ้งแขกทางด้านนั้นด้วย
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลุ่มคนก็มาถึงสวนยู่จิ่ง
เฟิงจิ่งเหยามาถึงด้านนอก
เวลานี้ไฟด้านในก็สว่างไสว เห็นได้ชัดว่ามีคนมาถึงเร็วกว่าพวกเขา
“คุณกู้”
หนานกงเช่อได้ยินการเคลื่อนไหว ก็ลุกจากโซฟายืนขึ้นทักทาย จากนั้นเมื่อเห็นสภาพอ่อนแอของเฟิงจิ่งเหยา สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็ให้คนพาเฟิงจิ่งเหยาไปที่ห้องนอนเพื่อพักผ่อน แล้วก็ตรวจอาการ
“คุณหนานกง จิ่งเหยาเขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”
กู้ฉางฉิงเห็นเขาตรวจเสร็จแล้ว จึงถามอย่างเคร่งเครียด
“ครั้งนี้ช่วยไว้ทันเวลา ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ดีกว่าการเจ็บป่วยครั้งก่อนๆมาก”
หนานกงเช่อสรุปสั้นๆ
กู้ฉางฉิงได้ฟังก็โล่งใจ แต่เห็นเฟิงจิ่งเหยาที่สีหน้าซีดขาว ในใจยังคงสงสาร
โชคดีที่เธอดูแลเอาใจใส่ วันรุ่งขึ้นเฟิงจิ่งเหยาก็หน้าตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“อยากทานอะไร?”
เพราะว่าอพาร์ตเม้นต์ทางด้านนี้ ไม่มีคนรับใช้ กู้ฉางฉิงจึงต้องปรนนิบัติเฟิงจิ่งเหยา ถามออกไป
“อยากกินอาหารที่คุณทำ”
เฟิงจิ่งเหยาก็ไม่เกรงใจ ตอบไปตรงๆ
กู้ฉางฉิงพยักหน้า นึกถึงว่าเขายังคงป่วยอยู่ ก็ไปที่ห้องครัวต้มโจ๊กให้ แล้วเสิร์ฟพร้อมผักดองยกเข้าไปในห้อง
เดิมทีเธอคิดจะป้อนเฟิงจิ่งเหยา สรุปคือถูกเฟิงจื่งเหยาหนอกล้อ
“ฉันเพียงแค่ตื่นตกใจ ไม่ได้แขนขาด”
เขาพูดจบก็หยิบช้อนซุปในมือกู้ฉางฉิงมาทานอาหาร
กำลังกินอยู่ เขาเห็นกู้ฉางฉิงที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนว่าจะนึกอะไรได้ จึงถามว่า : “คุณทานแล้วหรือยัง?”
กู้ฉางฉิงส่ายหัวโดยจิตใต้สำนึก
เฟิงจิ่งเหยาเห็นเช่นนี้ ก็ไม่พูดมาก ก็เริ่มมาป้อนกู้ฉางฉิง
ในตอนแรก กู้ฉางฉิงปฏิเสธ แต่คัดค้านเฟิงจิ่งเหยาไม่ไหว
ไม่นาน โจ๊กถ้วยไม่ใหญ่ก็ถูกพวกเขาทานจนเกลี้ยง
กู้ฉางฉิงเอาของไปเก็บ แล้วกลับมาที่ห้อง
พอดีกับที่เธอคิกดจะถามอาการของเฟิงจิ่งเหยา ชวี่ยี่ก็มาแล้ว นำเอกสารล่าสุดของบริษัทมาด้วย
กู้ฉางฉิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เลยไม่ได้ถาม เลยได้แต่เว้นช่องว่างให้ทั้งสองคนได้จัดการเรื่องงานกัน
พร้อมกับที่เธอออกไป เฟิงจิ่งเหยาถามความคืบหน้ากับชวี่ยี่อีกครั้ง
“หาคนเจอแล้วหรือยัง?”
ชวี่ยี่ส่ายหน้าอย่างละอายใจ: “ขอโทษครับท่านประธาน ฝ่ายตรงข้ามมีความเชี่ยวชาญในการสกัดกั้นการติดตามอย่างมาก คนของพวกเราจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย”
เฟิงจิ่งเหยาฟังถึงคำพูดนี้ ก็ขมวดคิ้วแน่น
ชวี่ยี่เห็นเช่นนี้ ก็กล่าวต่อไปว่า: “แต่พวกเราแจ้งความต่อตำรวจแล้ว ให้ตำรวจจราจรช่วยพวกเราปิดกั้นทางออกทุกแห่งแล้วตรวจสอบ”
……
เวลาเดียวกันนี้ ในคืนนั้นที่เจียวหนูกลับถึงศูนย์บัญชาการ ขณะที่ได้รับรายงานข่าวใหม่ล่าสุดจากลูกน้อง ก็โมโหจนทุบขวดไวน์แดงดีๆขวดหนึ่งทิ้ง
“นังผู้หญิงสารเลวสมควรตาย คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำลายเรื่องดีงามของฉัน!”
เธอตะคอกอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใบหน้าที่งดงามก็ยิ่งดุร้ายจนน่ากลัว
นานมากแล้วที่ลูกน้องไม่เคยเห็นเจ้านายโกรธมากเช่นนี้ แต่ละคนก็มองหน้ากันไปมา ไม่กล้าพูดแทรก
และทางด้านของเจียวหนูนั้นก็ยังด่าทอต่อว่าไม่จบสิ้น
“กู้ฉางซิน รอดูฉันเถอะ ว่าหลังจากจับตัวคุณได้จะจัดการกับคุณยังไง!”
ลูกน้องรอเธอระบายอารมณ์อย่างเต็มที่แล้ว จึงเอ่ยปากกล่าวถามว่า: “เจ้านาย ต่อไปพวกเราควรจะทำยังไง?”
“ตอนนี้ตีหญ้าจนงูตื่นแล้ว อีกทั้งเฟิงจิ่งเหยาผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลในเมืองหลวงที่ไม่ควรมองข้าม ตามที่กล่าวมาแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“จุดนี้ฉันเห็นด้วย ถ้าหากทำตามแผนการเดิม พวกเราจะเป็นจุดจบของประเทศหมู่เกาะที่สองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ลูกน้องทั้งสามวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้ทางซ้ายทีทางขวาที แต่ทำให้เจียวหนูฟังแล้วแสดงหูอย่างมาก
“อะไรคือจุดจบของประเทศหมู่เกาะที่สอง ทำไม ล้มเหลวครั้งหนึ่งก็ทำให้พวกคุณขวัญเสียจนกลายเป็นแบบนี้เลยหรอ? ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณเปลี่ยนเป็นพวกขี้ขลาดเหมือนหนูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เธอดุด่าอย่างรุนแรง
ลูกน้องทั้งสามถูกเธอดุด่าจนอดกลั้นสีหน้าไว้ไม่อยู่ แต่ก็ปรับสภาพจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้านายที่พูดคือ เพียงแค่ตอนนี้แผนการล้มเหลว ทางด้านเฟิงจิ่งเหยาก็จะต้องมีการเตรียมป้องกัน พวกเราต้องการเข้าไปใกล้อีกก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก”
เจียวหนูได้ยิน ก็ไม่ได้โต้แย้ง
เพราะเธอก็นึกถึงจุดๆนี้
ตัวเฟิงจิ่งเหยาเองนี้ก็ระวังตัวเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ที่เธอเข้าใกล้ก็ต้องใช้ความพยายาม ตอนนี้แผนการล้มเหลว เธออยากจะเข้าใกล้อีก ดูแล้วคงทำได้เพียงหาวิธีอื่น……
เธอคิดพลางในใจก็ค่อยๆมีการตัดสินใจ
“ตอนนี่อย่าเพิ่งรีบร้อน รอให้ลมแรงนี้พัดผ่านไป พวกเราค่อยคิดหาหนทางใหม่อีกครั้ง”
สองวันต่อมา เพราะพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหว ชัดเจนว่าเมืองหลวงมีความสงบอย่างมาก
เกี่ยวกับเรื่องที่เฟิงจิ่งเหยาเกิดเรื่อง ครอบครัวตระกูลเฟิงล้วนไม่รู้
แต่มั่วหลีที่พักฟื้นอยู่ที่ตระกูลเฟิงก็ยังได้รับข่าว
เธอรีบไปที่อพาร์ตเม้นต์อย่างร้อนใจเหมือนไฟเผา พอดีเจอกับกู้ฉางฉิงตรงทางเดินที่กำลังยกผลไม้เข้าไปให้เฟิงจิ่งเหยา
ทันใดนั้น มั่วหลีมองไปยังกู้ฉางฉิงอย่างโกรธแค้น ขุ่นเคือง
“ตัวหายนะ คุณผู้ชายอยู่ด้วยกันกับคุณไม่มีสักวันที่จะสงบสุข”
เธอจ้องมองด่าทอกู้ฉางฉิงด้วยความโกรธเคือง
กู้ฉางฉิงได้ยิน สีหน้าก็เคร่งขรึมลงไปทันที
“คุณพูดอะไร?”
เธอกล่าวถามอย่างแฝงไปด้วยความโกรธ มั่วหลีก็ไม่เกรงกลัว
“ฉันบอกว่าคุณเป็นตัวซวยตัวหนึ่ง ทำได้แค่นำความซวยมาให้คุณผู้ชาย ถ้าฉันเป็นคุณ ก็คงจะอับอายขายขี้หน้าแล้วจากไปเองตั้งนานแล้ว ใครจะเหมือนคุณ พัวพันคุณผู้ชายอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย”
กู้ฉางฉิงถูกคำพูดนี้ของเธอทำให้หัวเราะเยาะโดยตรง
“คุณมั่ว คุณไม่คิดว่าคุณยุ่งมากเกินไปหน่อยหรอ?”
เธอหัวเราะมั่วหลีอย่างเย็นชา ในสายตาเต็มไปด้วยความระอา: “จะว่าไป คุณก็เป็นเพียงลูกน้องข้างกายจิ่งเหยาคนหนึ่ง แม้แต่จิ่งเหยายังไม่พูดอะไรเลย แล้วคุณมีหน้ามาชี้นิ้วบงการฉันได้ยังไง?”
มั่วหลีถูกเธอยั่วเย้าจนสีหน้าไม่น่าดู กำลังคิดจะโต้แย้งสักสองสามคำ กู้ฉางฉิงก็กล่าวต่อไปว่า: “อีกอย่าง ในฐานะที่คุณเป็นลูกน้องของจิ่งเหยา เวลาที่เขาเกิดเรื่องทำไมถึงไม่เห็นคุณมา?”
มั่วหลีฟังถึงคำถามนี้ ก็โมโหจนตัวสั่น
“ถ้าไม่ใช่คุณที่เป็นตัวซวยก่อเรื่องสร้างความยุ่งยากให้คนอื่น ทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บ ฉันก็จะคอยปกป้องอยู่ข้างกายคุณผู้ชายอย่างแน่นอน คงไม่ให้คุณผู้ชายได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!”
กู้ฉางฉิงเม้มปาก จนปัญญาที่จะโต้แย้งไปชั่วขณะ
เพราะสืบสาวราวเรื่องจนถึงที่สุดแล้ว สาเหตุก็ยังเป็นเธอ
ขณะที่เธอกำลังตำหนิตัวเอง เสียงตวาดอย่างรุนแรงก็ดังออกมาจากช่องว่างของประตูห้อง
“มั่วหลี!”
คำสองคำแฝงไปด้วยความโมโหที่รุนแรง
ชัดเจนว่าเฟิงจิ่งเหยาได้ยินคำพูดเมื่อกี้ของคนทั้งสอง